#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคกลาง เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก 1 วัน กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 8 - 9 ก.ย. 65 ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 10 - 14 ก.ย. 65 ร่องมรสุมเริ่มมีกำลังอ่อนลงและจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 8 ? 9 ก.ย. 65 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทย ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนตกสะสมที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในวันนี้อีก 1 วัน ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 9 กันยายน 2565)" ฉบับที่ 12 ลงวันที่ 09 กันยายน 2565 ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคกลาง เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง มีดังนี้ วันที่ 9 กันยายน 2565 ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และนครราชสีมา ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี ลพบุรี สระบุรี รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก 1 วัน
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ย้อนเวลาดูสัตว์แปลกสูญพันธุ์ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติแห่งแรกของไทย ใจกลางสยาม ตะลุยโลกแห่งธรรมชาติใน 'พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย' ที่ซ่อนอยู่ใจกลางสยาม และเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าชมฟรี ทุกวันจันทร์-ศุกร์ พิพิธภัณฑ์นี้จัดแสดงและให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลาย ตั้งแต่สัตว์ที่เราคุ้นเคย สัตว์หายากใกล้สูญพันธ์ุ และสัตว์ที่เราอาจเคยได้ยินชื่อจากวรรณคดี หลายคนอาจไม่รู้ว่าใจกลางสยามมีพิพิธภัณฑ์ซ่อนอยู่ แถมพิพิธภัณฑ์ที่ว่ายังนับเป็นพิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติแห่งแรกของประเทศไทย ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการมานานนับตั้งแต่ พ.ศ. 2530 แล้วด้วย พิพิธภัณฑ์ที่ว่านี้คือ พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ในการดูแลของภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ในตึกชีววิทยา 1 ชั้น 2 ภายในจัดเก็บตัวอย่างสัตว์หายากหลากชนิด ตั้งแต่พยาธิ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน และโครงกระดูกของมนุษย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมตัวอย่างสิ่งมีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติที่สะสมมาแต่เดิม รวมทั้งที่มีการวิจัยและค้นพบใหม่เพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าอ้างอิงทางวิชาการและการอนุรักษ์ และยังเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าชมฟรี ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00 - 16.00 น. แม้ยังไม่เดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ แต่บรรยากาศโดยรอบก็ชวนตื่นเต้น เพราะนอกจากจะอยู่ในตึกเก่าที่ให้ความรู้สึกขลังๆ เหมือนอยู่ในฉากละครย้อนยุค บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์ยังค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงผู้ดูแลกับเราแค่สองคนในพื้นที่เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นทุกตู้จัดแสดงก็ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ เหมือนพาเรากลับไปเป็นเด็ก ทุกพื้นที่แม้จะรับรู้ได้ว่าผ่านอายุมานาน แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรมอย่างที่คิด แถมยังมีการแบ่งเป็นหมวดหมู่ชัดเจน และให้ความรู้ละเอียดซะจนเหมือนเรากำลังมาเข้าคลาสธรรมชาติวิทยาจริงๆ อย่างโซนของสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นอกจากจะมีการจัดแสดงให้เห็นถึงการพรางตัวของงูแต่ละแบบ ที่ทำให้เรารู้ว่าบางครั้งงูก็ไม่ได้พรางตัวเพื่อหลบอันตรายอย่างเดียวเท่านั้น แต่บางครั้งก็ทำไปเพื่อจะจับเหยื่อกินได้โดยง่าย บริเวณนี้ยังมีการจัดแสดงสัตว์หายากพร้อมข้อมูลของสัตว์ให้อ่าน เช่น โหลดองกบทูด ก็มีข้อมูลบอกให้รู้ว่ามันเป็นกบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อาศัยอยู่ในลำธารที่มีกระแสน้ำตลอดปี ในป่าทางด้านตะวันตกของประเทศไทย พฤติกรรมการวางไข่แตกต่างจากกบชนิดอื่น โดยกบทูดจะโกยทรายหรือกรวดบริเวณลำธารมาสร้างเป็นคัน เพื่อลดความแรงของกระแสน้ำ และจะวางไข่หลังคันดังกล่าว หรืออย่างโหลดอง กิ้งก่าน้อยหางยาว สัตว์ชื่อแปลกสำหรับเรา ก็มีบอกลักษณะเด่นคือมีหางที่ยาวเป็นหกเท่าของความยาวจากปลายจมูกถึงรูทวาร แถมยังสามารถพบได้ทุกภาคของประเทศไทย นอกจากนั้นก็ยังมีตู้ที่บอกความแตกต่างของ เหี้ย ตะกวด ตุ๊ดตู่ เห่าช้าง และมีสัตว์ที่เราไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนอย่าง กะท่าง และ จงโคร่ง ด้วย ถัดจากนั้นคือส่วนของสัตว์ปีกที่มีขนาดไข่ของสัตว์แต่ละชนิดวางเทียบกันให้เห็นชัดแจ๋ว ส่วนนี้เองก็ทำให้เราประทับใจไม่น้อย เพราะแม้จะเคยรู้มาว่าไข่ของนกกระจอกเทศนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก แต่ก็เพราะได้มาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นี่แหละ ที่ทำให้เราได้เห็นขนาดที่แตกต่างกันชัดเจน แถมสิ่งที่เซอร์ไพรส์มากไปกว่านั้นคือ ใกล้กันยังมีไข่ของนกยูงวางไว้ด้วย บอกเลยว่าชีวิตนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน หากเห็นแค่ไข่แล้วยังไม่พอใจกับโซนสัตว์ปีก ใกล้ๆ ก็มีตู้จัดแสดงรังนกหลากหลายแบบให้เราเห็นว่านกต่างชนิดกันก็มีรังที่แตกต่างกันไป บ้างก็มีรูปลักษณ์ไม่ต่างไปจากใบไม้ บ้างก็เจาะต้นไม้เป็นโพรง และบ้างก็ใช้น้ำลายทำรัง และถัดไปไม่ไกลก็มีตู้จัดแสดงไก่หลากหลายพันธุ์ ทั้ง ไก่แจ้ ไก่เบตง ไก่ชนสายพันธ์ุผสมจากพม่า ให้เราเห็นความต่างของขนาดและสีสันด้วย สิ่งหนึ่งที่นับเป็นความรู้ที่ได้จากโซนนี้ก็คือ ขนของนกแต่ละส่วนก็มีชื่อเรียกไม่เหมือนกัน เช่น คอนทัวร์ (Contour) คือชื่อเรียกของขนที่พบมากที่สุดบนลำตัวของสัตว์ปีก จะอยู่ในตำแหน่งบริเวณขนปีกและขนหาง เป็นขนที่ทำหน้าที่บิน ส่วน เซมิพลูม (Semiplume) หรือขนที่มีมากทางด้านข้างของท้อง คอ และกลางหลัง และบริเวณโคนของก้านขนปีกและขนหาง ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ความร้อนสูญเสียไปจากร่างกายของสัตว์ แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลอยตัวให้นก เป็ด และ ห่าน โซนที่เราชอบถัดมาคือ โซนสัตว์น้ำ เพราะที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นำเสนอได้อย่างน่าสนใจ คือมีการจัดแสดงให้เห็นถึงปลาจากวรรณคดีอย่าง กาพย์เห่เรือ ท่อนที่ว่า นวลจันทร์เป็นนวลจริง เจ้างามพริ้งยิ่งนวลปลา คางเบือนเบือนหน้ามา ไม่งามเท่าเจ้าเบือนชาย เพียนทองงามดั่งทอง ไม่เหมือนน้องห่มตาดพราย กระแหแหนห่างชาย ดังสายสวาทคลาดจากสม แก้มช้ำช้ำใครต้อง อันแก้มน้องช้ำเพราะชม ปลาทุกทุกข์อกกรม เหมือนทุกข์พี่ที่จากนางฯ ก็นับเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นปลาทั้ง 15 ชนิด อย่างปลาแก้มช้ำ ปลานวลจันทร์ ปลาคางเบือน ปลาเพียนทอง (ตะเพียนทอง) ปลากระแห ปลาแก้มช้ำ ปลาน้ำเงิน ปลากราย ปลาหางไก่ ปลาสร้อย ปลาเนื้ออ่อน ปลาเสือ ปลาแมลงภู่ ปลาหวีเกศ ปลาชะแวง ปลาชะวาด ด้วย นอกจากจะมีปลานานาชนิดจัดแสดง ยังมีเปลือกหอยหลายแบบให้ทำความรู้จัก เปลือกหอยบางชนิดอย่าง หอยทับทิม หอยเบี้ย หอยเจดีย์ เป็นสิ่งที่เราเคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยรู้จักชื่อของมันเลยสักครั้ง ก็ได้รู้จักจากที่นี่ นอกจากนั้นยังมีหอยแปลกๆ อย่างหอยหนอนที่มีลักษณะขดเกลียว หอยแสงอาทิตย์ที่มีแฉกแยกเหมือนดวงอาทิตย์ รวมถึงเปลือกหอยหายากอย่าง หอยมือเสือ และหอยตะโกรม แต่โซนที่เปรียบเสมือนไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ เหล่าโครงกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ตามโซนต่างๆ ของพื้นที่ ซึ่งล้วนแต่มาจากฝีมือของเหล่านิสิต ว่ากันว่าในบรรดาโครงกระดูกทั้งหมด โครงกระดูกงูเป็นชิ้นที่เลาะและต่อประกอบยากมาก เพราะงูมีกระดูกที่เล็กและถี่มาก แถมกระดูกทุกชิ้นส่วนก็มีหน้าตาคล้ายคลึงกัน ส่วนในบริเวณชั้นลอยก็มีทั้งโครงกระดูกของม้า ควาย วาฬบรูด้า โลมาปากขวด ซึ่งเมื่อเข้าไปเยี่ยมชมใกล้ๆ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติในต่างประเทศอยู่ไม่เบา นอกจากโครงกระดูกที่วางอยู่รายรอบ ในตู้ไม้โบราณบริเวณส่วนหน้าสุดของพิพิธภัณฑ์ยังอัดแน่นชิ้นส่วนกระดูกของสัตว์ใหญ่นานาชนิด ตั้งแต่ แรดชวา เลียงผาใต้ เต่าตนุที่ถูกคลื่นสึนามิซัด จระเข้สายพันธุ์ต่างๆ ไปจนถึงช้างจากหมู่บ้านกะเหรี่ยง บางชิ้นส่วนก็ไม่ได้มีกำกับไว้ว่าเป็นสัตว์ชนิดอะไร แต่ความยิ่งใหญ่ก็ชวนให้รู้สึกว่าธรรมชาตินี้ช่างอัศจรรย์อยู่จริงๆ นอกจากห้องนิทรรศการใหญ่ ที่นี่ยังมีห้องนิทรรศการย่อยอย่าง ห้องพิพิธภัณฑ์เต่า ซึ่งนับเป็นพิพิธภัณฑ์เต่าและตะพาบที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นี่จัดแสดงตัวอย่างและให้ข้อมูลเต่าบก เต่าทะเล เต่าน้ำจืด และตะพาบกว่า 30 ชนิด ครบทุกชนิดที่พบในประเทศไทย รวมถึงเต่าจากทั่วโลก ส่วนใหญ่จัดแสดงในรูปตัวอย่างแห้ง โครงกระดูก และไข่เต่า ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีความสวยงามและความพิเศษเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกัน หลายสายพันธุ์ก็อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการบุกรุกแหล่งอาศัยและพื้นที่วางไข่ และการบริโภคของมนุษย์ ตัวที่เป็นไฮไลต์คือ ตะพาบม่านลาย ตะพาบพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งสันนิษฐานว่าสามารถพบในธรรมชาติได้เพียงประเทศไทยแห่งเดียวเท่านั้น ห้องถัดมาคือ พิพิธภัณฑ์แมลง ภายในเก็บรวบรวมทั้งแมลงหายาก แมลงที่เป็นอาหาร และแมลงอนุรักษ์ของประเทศไทย เป็นห้องที่ใครรักแมลงและผีเสื้อคงถูกอกถูกใจ เพราะตู้จัดแสดงนั้นอัดแน่นไปด้วยผีเสื้อมากมาย ที่มีทั้งสีสัน ลวดลาย และลักษณะปีกไม่ซ้ำกัน รวมถึงสัตว์ในสัตวาภิธาน หรือหนังสือเสริมการอ่านที่รวบรวมชื่อสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งแต่งขึ้นโดย พระยาศรีสุนทรโวหาร ตั้งแต่ พ.ศ. 2427 แถมยังมีสัตว์หายากอย่าง แมลงสาบยักษ์มาดากัสการ์ ที่ตัวใหญ่ยักษ์ ชนิดที่คนกลัวแมลงสาบคงตกใจไปตามๆ กัน ส่วนสุดท้ายคือห้องที่ได้ยินชื่อแล้วต้องร้องว้าวว่าพิพิธภัณฑ์อย่างนี้ก็มีด้วยอย่าง ห้องพิพิธภัณฑ์หอยทากบกแห่งแรกของประเทศไทย จัดแสดงนิทรรศการหอยทากที่พบในประเทศไทยที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก เช่น หอยมรกต หอยทากที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และหอยจิ๋วปากแตร หอยทากที่มีขนาดเล็กมากจนต้องชมผ่านแว่นขยาย สำหรับใครที่อยากมาตะลุยโลกแห่งธรรมชาติแบบนี้ แนะนำให้เผื่อเวลามาสักนิด เพราะห้องจัดแสดงมีรายละเอียดมากมายซุกซ่อนอยู่ บางอย่างหากมองผ่านไปอาจจะพลาดของดีของเด็ดไปเลยก็ได้ ในเดือนแห่งพิพิธภัณฑ์ไทยอย่างนี้ ใครมีเวลา หรืออยากหาสถานที่เที่ยวใกล้เมือง มาตามดูให้ครบทุกห้องกันนะ https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/102070
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เตือน 'ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก' ที่อาจทำน้ำทะเลสูง 3 ม. 'ละลายเร็วกว่าคาด' นักวิทยาศาสตร์ออกมาเตือนด้วยความกังวล ธารน้ำแข็งทเวตส์ (Thwaites Glacier) หรือรู้จักในอีกชื่อว่า 'ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก' ทางตะวันตกของทวีปแอนตาร์กติกา "กำลังละลายและเกิดการถอยร่นอย่างรวดเร็ว" กว่าที่เคยมีการคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า เนื่องจากภาวะโลกร้อน จนทำให้ขณะนี้สถานการณ์ของธารน้ำแข็งทเวตส์ เสมือนกับกำลัง 'เกาะพื้นดินด้วยปลายเล็บ' เท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าหากไม่มีธารน้ำแข็งทเวตส์และแผ่นน้ำแข็งอยู่ในบริเวณนั้นอีกต่อไป อาจทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 3-10 ฟุต (หรือประมาณกว่า 0.9-3 เมตร) ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล เพราะธารน้ำแข็งทเวตส์ จัดเป็นธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มาก มีพื้นที่กว่า 74,000 ตารางไมล์ หรือใหญ่เกือบเท่าประเทศอังกฤษ และเป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งที่มีความสำคัญที่สุดของทวีปแอนตาร์กติกา การศึกษาวิจัยล่าสุดถึงสถานการณ์ของธารน้ำแข็งทเวตส์ ในทะเลอามันด์เซน ได้ถูกนำมาตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Geoscience เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ก.ย. 2565 ระบุว่า ธารน้ำแข็งทเวตส์ หรือธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการละลายอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า โดยกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำในระดับลึกที่นำความร้อนสามารถไหลเข้าไปใต้ธารน้ำแข็งทเวตส์ได้มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า ธารน้ำแข็งทเวตส์ได้เกิดการถอยร่นหลุดจากการยึดเกาะกับ 'กราวด์โซน' หรือพื้นดินบริเวณธารน้ำแข็งทเวตส์ ในอัตราที่เข้าใกล้กว่า 2 กิโลเมตรต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วกว่าการสังเกตการณ์จากภาพถ่ายดาวเทียมระหว่างปี 2011-2019 โรเบิร์ต ลาร์ตเนอร์ นักวิทยาศาสตร์จาก British Antarctic Survey กล่าวเตือนว่า 'วันนี้ธารน้ำแข็งทเวตส์กำลังเกาะกับพื้นดินด้วยปลายเล็บจริงๆ และพวกเราควรจะมองถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากกว่าการเปลี่ยนแปลงแค่ระดับเล็กๆ ในอนาคต' ที่มา : metro, abcnews https://www.thairath.co.th/news/foreign/2494880
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
เกิดปรากฏการณ์น้ำเบียดชายหาดบ้านบางเก่า ชาวบ้านนับร้อยแห่จับปลาทะเลขายสร้างรายได้ เพชรบุรี - เกิดปรากฏการณ์น้ำเบียด บริเวณชายหาดบ้านบางเก่า ยาวไปจนถึงบริเวณชาดหาดปึกเตียน ต.ปึกเตียน อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี กว่า 5 กิโลเมตร ชาวบ้านนับร้อยแห่จับปลาทะเลขายสร้างรายได้ วันนี้ (8 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ริมชายหาดบ้านบางเก่า ต.บางเก่า อ.ชะอำ ยาวไปจนถึงบริเวณชายหาดปึกเตียน ต.ปึกเตียน อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี กว่า 5 กิโลเมตร มีชาวประมงพื้นบ้าน และชาวบ้านกว่า 100 คน ต่างนำเครื่องมือจับปลา แห อวน สวิง เดินทางออกมาที่ชายหาด โดยบางคนเริ่มใช้วิธีทอดแหบ้าง หรือลงไปใช้อวนลากบ้าง เนื่องจากเกิดปรากฏการณ์น้ำเบียด ทำให้สามารถเดินจับสัตว์น้ำได้ตามแนวชายหาด นอกจากนี้ ยังมีชาวประมงนำเรือประมงขนาดเล็ก แล่นออกไปในทะเลบริเวณชายฝั่งนำอวนตาข่ายลงไปลากปลาเข้าฝั่ง ได้มาตั้งแต่ 50-100 กิโลกรัม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลากดทะเล ปูม้า กุ้งลายเสือ ปลาอกกะแล้ ปลาจวด ปลาแป้น และปลาชนิดอื่นๆ เป็นจำนวนมาก โดยชาวบ้านที่ไปจับปลาได้เยอะจะนำไปขาย กิโลกรัมละ 50-80 บาท กุ้งกิโลละ 250-350 บาท ส่วนปลาแป้นที่มีจำนวนมาก และไม่นิยมนำไปกิน ชาวบ้านจะนำไปขายให้เป็นอาหารสัตว์ในราคากิโลกรัมละ 3-4 บาท สร้างรายได้ให้ครอบครัว นายอำนวย นิลเถื่อน สมาชิกสภาเทศบาลตำบลหาดเจ้าสำราญ เปิดเผยว่า ได้เกิดปรากฏการณ์น้ำเบียด ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย 1 ปี อาจจะเกิด 1-2 ครั้ง เนื่องจากพื้นที่มีฝนตกลงมามาก ทำให้น้ำจืดที่ไหลลงสู่ทะเลในพื้น ทำให้สัตว์น้ำเกิดอาการน็อกน้ำ และว่ายหนีเข้าหาฝั่งเพื่อหาออกซิเจนหายใจ ได้ทั้งปลาเล็ก ปลาใหญ่ ส่วนมากจับไปขาย และนำไปกิน การลงหาปลาช่วงนี้ต้องใส่รองเท้าหนาๆเนื่องจากมีปลาที่มีเงี่ยง ปลากระเบน และปลาเงี่ยงชนิดอื่นๆ จำนวนมากเพื่อป้องกันเงี่ยงตำเท้า ส่วนนักท่องเที่ยวช่วงนี้ควรระมัดระวังในการลงเล่นน้ำ ซึ่งคาดว่าสถานการณ์น้ำเบียดอีก 4-5 วันนี้จะหมดไป https://mgronline.com/local/detail/9650000086307
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|