เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 20-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาวเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 14-21 องศาเซลเซียส ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดอุณหภูมิต่ำสุด 2-14 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย สำหรับภาคใต้ตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้

ฝุ่นละออง ในระยะนี้ บริเวณภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ลมที่พัดปกคลุมบริเวณดังกล่าวเป็นลมอ่อน ทำให้ฝุ่นละอองยังคงสะสมได้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วน กับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 19 - 20 ม.ค. 63 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศยังคงเย็นถึงหนาว โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-15 องศาเซลเซียส

ในช่วงวันที่ 20 - 21 ม.ค. 63 บริเวณภาคเหนือตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง ส่วนภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออกตามบริเวณชายฝั่ง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนเป็นบางพื้นที่ และ

ในช่วงวันที่ 22 - 25 ม.ค. 63 บริเวณภาคเหนือตอนบนอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ส่วนภาคอื่นๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้นกับมีหมอกในตอนเช้า

สำหรับภาคใต้ ในช่วงวันที่ 19 - 23 ม.ค. 63 จะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 20 - 21 ม.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ระมัดระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตก และในช่วงวันที่ 22-25 ม.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ รักษาสุขภาพเนื่องสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย และชาวเรือบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 20 - 23 ม.ค. 63





__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 20-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ลูกเต่ามะเฟืองชุดแรกออก 30 ตัว หลังลุ้นมาทั้งวัน ส่วนการติดตามแม่เต่าขึ้นวางไข่ เกือบได้เฮ หลังพบรอยที่หาดไม้ขาว

พังงา - ลูกเต่ามะเฟืองชุดแรก 30 ตัว เจ้าหน้าที่ต้องขุดทรายช่วย หลังไม่พบออกจากหลุมทรายเพิ่มตลอดทั้งวัน โดยตัวแรกโผล่ออกมาตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ขณะที่ชุดติดตามการขึ้นวางไข่เต่ามะเฟืองเกือบได้เฮอีกหลับพบรอยเต่ามะเฟืองขึ้นหาดไม้ขาว



จากกรณีเมื่อเวลา 06.20 น วันนี้ ( 19 ม.ค.) เจ้าหน้าที่พบลูกเต่ามะเฟืองตัวแรกโผล่ออกจากหลุมทราย หลังแม่เต่าขึ้นมาวางไข่เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา นับรวมจนถึงวันนี้ 63 วันแล้ว อย่างไรก็ตามหลังจากมีลูกเต่าโผล่ออกมา 1 ตัว เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ปรากฎว่าตลอดทั้งวัน ไม่พบลูกเต่าโผล่ออกจากหลุมทราบเพิ่มอีกเลย

จนกระทั้งเวลา เวลา 20.30 น.วันเดียวกัน กรม ทช. โดยนายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรชายฝั่ง พร้อมด้วย พลเรือโท เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ ๓ และ ผู้บริหาร ทช. เดินทางไปศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เต่ามะเฟืองหาดท้ายเหมือง จ.พังงา หลังจากได้รับทราบข่าวดีว่า มีลูกเต่ามะเฟือง 1 ตัวได้ขึ้นมาจากหลุมฟักไข่ เมื่อช่วงเช้าวันนี้ โดยเจ้าหน้าที่กรม ทช. ร่วมกับอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-ท้ายเหมือง ได้วางแผนและขุดผ่ารังช่วยลูกเต่ามะเฟืองในหลุมฟักแรกที่หาดท้ายเหมืองหลังรอมาทั้งวันแต่ไม่มีลูกเต่าออกมาให้เห็นเพิ่ม



ปรากฏว่าจากการขุดผ่ารังสามารถช่วยให้ลูกเต่ามะเฟือง ออกมาลืมตาดูโลกทั้งสิ้น 30 ตัว เป็นตัวที่แข็งแรง 24 ตัว จึงนำไปปล่อยลงทะเล ส่วนอีก 6 ตัว ยังอ่อนแอ จึงนำไปอนุบาลก่อนพิจารณาปล่อยลงทะเลต่อไป ส่วนไข่ที่ไม่ได้ฟักมี 55 ฟอง ได้นำไปฝังกลบใต้ผิวทรายบริเวณที่เดิม เพื่อให้มีการพัฒนาเป็นตัวที่สมบูรณ์อีกรอบ และคาดว่าอีกประมาณ 1 - 2 วัน อาจจะฟักออกเป็นตัวเพิ่มอีก

อย่างไรก็ตามบริเวณหลุมไข่เต่า ตลอดทั้งวันหลังจากทราบว่ามีลูกเต่าฟักออกจากไข่เป็นรังแรกของปี 63 ปรากฏว่ามีประชาชน และนักท่องเที่ยว รวมทั้งผู้แทนจากหน่วยงานในพื้นที่ ประมาณ ๒๐๐ คน มาร่วมเป็นสักขีพยานเฝ้าดูการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และให้กำลังใจแก่ลูกเต่ามะเฟืองในการเดินลงทะเลอีกด้วย



ขณะที่ชุดเดินเต่าในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีการสนธิกำลังของหลายหน่วยงานในพื้นที่ เกือบได้เฮ อีก หลังตรวจพบรอยแม่เต่ามะเฟืองขึ้นที่หาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต ช่วงค่ำวันนี้ (19 ม.ค.) แต่จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ไม่พบการวางไข่แต่อย่างใด


https://mgronline.com/south/detail/9630000005979


*********************************************************************************************************************************************************


คลองไทย จีนขุด ใครได้ประโยชน์ ..................... โดย นพ นรนารถ




"คลองไทย" ถูกปลุกผีขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาขุดคลองไทยเส้น 9A กระบี่ ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช สงขลา ตามข้อเสนอของพล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังชาติไทย

ส.ส.ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน กลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สนับสนุนให้ตั้งกรรมาธิการศึกษาเรื่องนี้จำนวน 49 คน โดยมีกำหนดพิจารณาเรื่องนี้ให้เสร็จภายใน 120 วัน

โครงการขุดคลองไทยถูกผลักดันมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่มาเข้มข้นเอาจริงเอาจังกันในยุค คสช.มีการปล่อยข่าวปลอมว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมลงนามในเอ็มโอยูกับฝ่ายจีนที่เมืองกวางโจว ศึกษาโครงการขุดคอคอดกระ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นคลองไทย แต่ถูกคนใกล้ชิดบิ๊กจิ๋ว ปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องของนายหน้าหลอกเงินจีน ปล่อยข่าว

ที่ฮือฮากันมาก คือ สามารถทำให้นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ขณะที่ยังดำรงตำแหน่ง องคมนตรี เขียนจดหมายถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี สนับสนุนการสร้างคลองไทย ในขณะที่สมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ หรือ สปท.สายทหาร เตรียมที่จะเสนอพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พิจารณาสร้างคลองไทย พล.อ.ประยุทธ์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า จะไม่มีการสร้างคลองไทยในยุคที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นอันขาด อย่างไรก็ตาม มักจะรายงานข่าว "ลักไก่" ออกมาเป็นระยะๆ ว่า นายกฯ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง

น่าสังเกตว่า โครงการขุดคลองไทยนี้ เคลื่อนไหวผ่านนายทหารนอกราชการที่เกษียณอายุราชการแล้ว อย่างเช่น พล.อ.หาญ ลีลานนท์ อดีตแม่ทัพภาค 4 พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และพล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการมูลนิธิรัฐบุรุษ ซึ่งเป็นนายกสมาคมคลองไทย เพื่อการศึกษาและพัฒนา เป็นต้น

สมาคมคลองไทย เพื่อการศึกษาและพัฒนา เป็นองค์กรเคลื่อนไหวให้ข้อมูลผ่านสื่อมวลชนถึงคุณประโยชน์ของคลองไทย การจัดรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ หลายครั้งในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทุกครั้งมีข้อสรุปว่า ประชาชนเห็นด้วย


คลองไทย คือ คลองที่เชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทย แนวคลองจะอยู่ตรงไหน ยังไม่มีความชัดเจน ล่าสุดคือ แนว 9 A ตัดผ่าน 5 จังหวัด คือ ตรัง กระบี่ นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา

ประโยชน์ของคลองไทยที่ผู้สนับสนุนยกขึ้นมาอ้าง คือ ช่วยย่นระยะเวลาการเดินเรือจากมหาสมุทรอินเดียไปทะเลจีนใต้ ไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกาซึ่งแออัดตัดตรงผ่านคลองไทยได้เลย ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการเดินเรือในภูมิภาคนี้แทนสิงคโปร์

ระยะเวลาที่จะประหยัดได้ จากข้อมูลของสมาคมคลองไทยฯ เอง บอกว่า 1-2 วัน ซึ่งทำให้ผู้ที่อยู่ในธุรกิจเดินเรือหัวเราะอยู่ในใจ เพราะถ้าประหยัดเวลาได้แค่ 1-2 วัน จะมีประโยชน์อะไร คลองสุเอซหรือคลองปานามาประหยัดเวลาได้ 1 ใน 3 หรืออย่างน้อย 10 วัน

เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว คลองไทยก็ตกม้าตายแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเทคนิคการก่อสร้าง ที่ความต่างของระดับน้ำที่ฝั่งมหาสมุทรอินเดียกับระดับน้ำในคลองไทยที่ต่างกันมาก เรือขนาดใหญ่ออกจากคลองแล้ว จะลงไปในมหาสมุทรอย่างไร จะวิ่งลงไปแบบสไลเดอร์ได้หรือไม่ แนวคลองที่ตัดผ่านป่าชายเลน ชุมชนชายฝั่งซึ่งจะทำลายระบบนิเวศวิทยา และวิถีชีวิตของชุมชน งบประมาณก่อสร้างจะมาจากไหน ฯลฯ

เรื่องการขุดคลองไทยนี้ เป็นความต้องการของทุนจีน ซึ่งยังไม่เปิดเผยตัว วัตถุประสงค์ก็ชัดๆ ง่ายๆ เป็นเรื่องของธุรกิจล้วนๆ คือ มีรายได้หลักจากการขุดคลอง ประชาชนในพื้นที่ที่แนวคลองผ่าน เคยเล่าให้สื่อบางสำนักฟังว่า มีคนจีนมาสำรวจพื้นที่ พูดคุยด้วยว่า คลองไทยจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น

เมื่อปี 2556 สภาผู้แทนราษฎร นิการากัวลงมติให้สัมปทาน บริษัท ฮ่องกง เพื่อการลงทุนพัฒนาคลองนิการากัว (เอชเคเอ็นดี) ของนายหวัง จิ้ง มหาเศรษฐีจีน ขุดคลองผ่านตอนใต้ของนิการากัว เชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกเข้ากับทะเลแคริบเบียน โดยมีอายุสัมปทาน 50 ปี

จนถึงบัดนี้ โครงการคลองนิการากัวยังไม่ได้มีการดำเนินการอะไรเลย แต่มีข่าวว่า อาจจะมีการต่ออายุสัมปทานอีก 50 ปี

ยุทธศาสตร์ของจีนในยุคสี จิ้นเผิง เป็นผู้นำ คือ การส่งออกทุนจีนผ่านโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในนาม หนึ่งแถบหนึ่งสะพาน โดยบริษัทจีนเป็นผู้ก่อสร้าง ใช้วัสดุแรงงานจากจีน ใช้เงินกู้จีน หลายๆ โครงการเมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วขาดทุน ไม่มีการใช้ประโยชน์ เพราะการลงทุนไม่ได้เกิดจากการศึกษาความเป็นไปได้จริงๆ เมื่อขาดทุนชำระหนี้ที่กู้จากจีนไม่ได้ ก็จะถูกยึดโครงการ

โครงการท่าเรือน้ำลึกศรีลังกาเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว โครงการรถไฟจีน-ลาวกำลังจะเป็นรายต่อไป รัฐบาล คสช.รู้ทันเรื่องนี้ จึงดึงโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนมาลงทุนเองทั้งหมด

โครงการคลองไทยถูกนำเสนอจากจีนมาก่อนที่สี จิ้นผิง จะมีอำนาจ ก่อนที่จะมีโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง คือ มีการผลักดันผ่านวุฒิสมาชิกเมื่อประมาณปี 2547 แต่ไม่ค่อยมีความคืบหน้า เพราะไม่มีความชัดเจนว่า เมื่อขุดคลองแล้วไทยจะได้ประโยชน์อะไร มีแต่การบรรยายสรรพคุณว่า จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเดินเรือ ประชาชนสองฝั่งคลองจะพ้นจากความยากจน

เมื่อสี จิ้นผิง ประกาศโครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง โครงการคลองไทยก็ถูกโมเมเอาไปพ่วงกับหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางด้วย เพื่อให้ดูขลัง แต่ความจริงแล้วไม่เกี่ยวกันเลย

ก็หวังว่า การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล สร้างมิติใหม่ เห็นด้วยกัน จะเป็นเพียงผลการศึกษา คงไม่ถึงกับลงมติให้สร้าง ให้ขุดแบบสภานิการากัว เมื่อ 7 ปีก่อนนะ เพราะเห็นอยู่ว่า ขุดคลองไทยแล้วใครจะได้ประโยชน์


https://mgronline.com/daily/detail/9630000005935
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 20-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ


กลไก "ลดคาร์บอน" ไร้น้ำยา อุณหภูมิโลกพุ่งต่อเนื่อง



ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นทั่วโลก สาเหตุจากภาวะโลกร้อนเป็นความท้าทายสำคัญของโลก ส่งผลให้ประชาคมโลกให้ความสนใจและร่วมกันหาทางออก

โดยตามเป้าหมายของความตกลงปารีส ปี 2015 หรือกรอบอนุสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน กำหนดให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมกันรักษาการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไว้ที่ระดับไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส จากช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม อัลจาซีรารายงานผลสำรวจภูมิอากาศ ประจำปี 2019 ของกรมอุตุนิยมวิทยาสหรัฐอเมริกา ซึ่งเปิดเผยเมื่อ 15 ม.ค. 2020 พบว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเมื่อปี 2019 สูงกว่าอุณหภูมิช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมถึง 1.15 องศาเซลเซียส และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับงานวิจัยจากหลายสำนักซึ่งคาดการณ์ว่า อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียสจากช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมภายในปี 2100

ทั้งนี้ทั่วโลกดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนด้วยวิธีการ "กำหนดราคาคาร์บอน" (carbon pricing) เพื่อกำหนดต้นทุนสำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมี 2 วิธีที่ได้รับความนิยม ได้แก่
1.การเก็บภาษีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ "ภาษีคาร์บอน" และ
2.จัดตั้งตลาดซื้อขายใบอนุญาตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ "ตลาดคาร์บอนเครดิต"

การเก็บภาษีคาร์บอนเป็นวิธีการที่ดำเนินการง่าย แต่ก็เป็นวิธีการที่มีผลกระทบธุรกิจ ทำให้หลายประเทศยังไม่สามารถเก็บภาษีในอัตราที่เพียงพอต่อการรักษาระดับอุณหภูมิโลก

ซีเอ็นบีซีรายงานอ้างอิงงานวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า ปัจจุบันมีกว่า 40 ประเทศ จัดเก็บภาษีคาร์บอนเฉลี่ย 2 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันเท่านั้น ซึ่งยังห่างกับอัตราภาษีที่ไอเอ็มเอฟประเมินว่าเป็นอัตราที่จำเป็นสำหรับการรักษาอุณหภูมิโลกตามข้อตกลงปารีสคือที่ระดับ 75 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน แต่หากรัฐบาลเก็บภาษีอัตราที่ไอเอ็มเอฟเสนอคาดว่าจะส่งผลให้ราคาก๊าซหุงต้มครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 75% และราคาน้ำมันเบนซินอาจเพิ่มขึ้น 5-15% ตามโครงสร้างของแต่ละประเทศ ดังนั้นการเก็บภาษีคาร์บอนเพิ่มจะส่งผลกระทบต่อประชาชนมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดการต่อต้านรัฐบาล เช่น ขบวนการเสื้อกั๊กเหลืองในฝรั่งเศส เป็นต้น

ขณะที่การจัดตั้ง "ตลาดคาร์บอน" อาจเกิดแรงเสียดทานต่อรัฐบาลน้อยกว่า แต่กระบวนการจัดตั้งตลาดดังกล่าวของแต่ละประเทศก็มีขั้นตอนและกฎเกณฑ์จำนวนมาก โดยบลูมเบิร์กรายงานว่า การจัดตั้งตลาดคาร์บอนเครดิตของจีน ประเทศที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วน 27% ของโลก ต้องล่าช้าถึง 3 ปี เนื่องจากติดขัดเรื่องกฎเกณฑ์ โดยทางจีนเลื่อนกำหนดการเปิดตัวตลาดจากปี 2017 เป็นปี 2020 นอกจากนี้มาตรฐานของตลาดคาร์บอนเครดิตในแต่ละประเทศยังมีความแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพตลาด และในการประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 25 เมื่อ ธ.ค. 2019 ประเทศสมาชิกไม่สามารถตกลงเรื่องมาตรฐานร่วมของตลาดคาร์บอนเครดิตได้

ตลาดคาร์บอนเครดิตถือเป็นวิธีการที่อิงกับกลไกตลาด ซึ่งเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงและไม่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจเท่ากับการเก็บภาษีคาร์บอน นอกจากนี้การกำหนดโควตาการปล่อยคาร์บอน ที่พิจารณาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็เป็นการเพิ่มแรงจูงใจอีกทาง

อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งตลาดคาร์บอนเครดิตที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งกินเวลานานและอาจไม่ทันกับธรรมชาติที่กำลังเสื่อมโทรมลงทุกวัน


https://www.prachachat.net/world-news/news-412119

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:18


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger