#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณมีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุโซนร้อนกำลังแรง "ขนุน" (KHANUN) บริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวัน มีแนวโน้มจะเคลื่อนขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นในช่วงวันที่ 8-9 ส.ค. 66 ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าว โปรดตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในระยะนี้ไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 5 - 7 ส.ค. 66 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ส่วนในช่วงวันที่ 8 - 10 ส.ค. 66 ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมาตอนบน และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เปรูพบซากวาฬโบราณ อาจล้มแชมป์สัตว์ที่มีน้ำหนักตัวมากที่สุดในโลก นักวิทยาศาสตร์เปรูค้นพบซากวาฬดึกดำบรรพ์ ที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากกว่าวาฬสีน้ำเงิน สัตว์ใหญ่ที่สุดในโลกถึง 2 เท่า จนอาจจะล้มแชมป์กลายเป็นสัตว์ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลกตัวใหม่ ซากดึกดำบรรพ์ หรือฟอสซิลของวาฬตัวนี้ ถูกขุดขึ้นจากทะเลทรายทางตอนใต้ของประเทศเปรู และถูกตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "เปรูซีตัส โคลอสซัส" (Perucetus colossus) ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วง 38-40 ล้านปีก่อน โดยมีความคล้ายคลึงกับพะยูน แต่มีขนาดใหญ่กว่าวาฬสีน้ำเงิน โดยนักวิจัยประมาณการว่า เจ้า "เปรูซีตัส" นี้น่าจะมีความยาวถึง 20 เมตร และน้ำหนักสูงสุดได้มากถึง 340 เมตริกตัน ขณะที่ตัวที่มีน้ำหนักต่ำสุดน่าจะอยู่ที่ราว 85 ตัน เท่ากับว่าเจ้าเปรูซีตัสจะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยราว 180 ตัน ซึ่งนับว่าพอๆ กันกับสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกยุคปัจจุบันอย่างวาฬสีน้ำเงินขนาดใหญ่ที่สุดที่น้ำหนักอยู่ที่ 190 ตัน หากมันมีลำตัวยาวอยู่ที่ 33.5 เมตร ขณะที่ไดโนเสาร์คอยาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ที่มีชีวิตอยู่ในช่วง 95 ล้านปีก่อนในอาร์เจนตินา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นไดโนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จะมีน้ำหนักตัวราว 76 ตันเท่านั้น นายจิโอวานนี เบียนัคชี นักบรรพชีวินวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยปิซาในอิตาลี และเป็นผู้เขียนหลักงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ ระบุว่าคุณสมบัติหลักของสัตว์ชนิดนี้คือน้ำหนักที่มหาศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวิวัฒนาการสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะพิเศษเหนือจินตนาการของเราได้ ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบฟอสซิลเมื่อ 13 ปีก่อนทางตอนใต้ของเปรู แต่ด้วยขนาดและรูปร่างของมัน ทำให้ต้องใช้เวลา 3 ปี เพื่อนำมันมายังกรุงลิมา เพื่อทำการศึกษา โดยฟอสซิลกระดูกแต่ละชิ้น ทั้งกระดูกสันหลัง 13 ซี่โครง 4 ชิ้น และกระดูกสะโพก จะมีน้ำหนักเฉลี่ยราว 5-8 ตัน แต่ไม่พบชิ้นส่วนของฟัน ทำให้ยากต่อการวิเคราะห์การกินอาหารของพวกมันได้ แต่คาดว่าจากน้ำหนักตัวมหาศาล น่าจะทำให้เจ้าเปรูซีตัสน่าจะเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวในน้ำได้เชื่องช้า. https://www.thairath.co.th/news/foreign/2714739
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
นักสืบโซเชียลเชื่อมั่น ภาพจากกล้องติดเรือดำน้ำ ?ไททัน? ช่วยไขปริศนาเรือระเบิดได้ เหล่านักสืบออนไลน์ชี้ว่า กล้องที่ติดอยู่ภายนอกเรือดำน้ำ ?ไททัน? อาจมีข้อมูลสำคัญที่จะช่วยตอบคำถามว่า เรือเกิดระเบิดขึ้นจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตคนไปถึง 5 คนได้อย่างไร โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเรือดำน้ำ 'ไททัน' ของบริษัทโอเชียนเกต ระหว่างดำน้ำลงไปชมซากเรือไททานิกที่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2566 นั้น ได้ดึงดูดความสนใจของนักสืบโซเชียลจำนวนมาก ในการติดตามหาสาเหตุของการระเบิดแบบยุบตัวเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร จนทำให้คนในเรือทั้ง 5 คน เสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งรวมทั้ง สต็อกตัน รัช ผู้บังคับเรือและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโอเชียนเกต นักสืบโซเชียลจำนวนมากเชื่อว่ากล้องที่ติดตั้งอยู่บนเรือไททัน อาจเก็บบันทึกข้อมูลที่สำคัญไว้ได้ และน่าจะเป็นข้อมูลที่ช่วยไขปริศนาว่าเรือดังกล่าว เกิดระเบิดขึ้นได้อย่างไร หลังจากเรือไททันออกเดินทางครั้งสุดท้ายเป็นเวลา 105 นาที เรือก็ขาดการติดต่อกับเรือพี่เลี้ยง 'โพลาร์พรินซ์' ต่อมาภายหลังได้มีการคาดเดาว่า เรือไททันน่าจะระเบิดในช่วงเวลานั้น โดยสาเหตุอาจเป็นไปได้ทั้งระบบไฟฟ้าขัดข้อง น็อตที่ยึดปิดห้องโดยสารเกิดเสียหายหรือเกิดความไม่เสถียรของระบบควบคุมแรงดันอากาศในเรือ หลังจากมีข่าวออกไป นักสืบออนไลน์ได้รวมกลุ่มกันถกเถียงและอภิปรายถึงความเป็นไปได้ว่า ระบบกล้องบันทึกภาพของเรือไททัน อาจจะเก็บข้อมูลที่สำคัญระหว่างเกิดเหตุการณ์ระเบิดเอาไว้ได้?เนื่องจากระบบกล้องซึ่งได้รับการติดตั้งอยู่ภายนอกตัวเรือไททันนั้นคือระบบบันทึกภาพใต้น้ำที่คมชัดระดับ 4K ของเรย์ฟิน เบนทิค (Rayfin Benthic) เป็นกล้องระบบวงจรปิดแบบ IP-Based? ก่อนหน้านี้ ระบบกล้องนี้เคยแสดงให้เห็นว่ามันสามารถเก็บภาพใต้น้ำได้อย่างน่าทึ่งในบริเวณซากเรือไททานิก มันเก็บรายละเอียดได้ทั้งแผงปะการัง ฟองน้ำทะเลและสัตว์ใต้น้ำลึกอื่น ๆ ที่อยู่แถวซากเรือ? แต่แม้ว่าหลายคนจะเชื่อว่ากล้องเรย์ฟินอาจรอดจากแรงระเบิดของเรือไททันได้ เนื่องจากติดตั้งอยู่ภายนอกตัวเรือ และการระเบิดของเรือไททันเป็นลักษณะของการยุบตัวเข้าสู่แกนกลาง ไม่ใช่ระเบิดออก แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญกลับแสดงความไม่มั่นใจว่ากล้องจะเก็บภาพของช่วงเวลาสำคัญไว้ได้เพราะเรืออยู่ในระดับความลึกที่มีแสงน้อย อีกทั้งระบบไฟฟ้าของเรืออาจขัดข้องจนมีการตัดกระแสไฟฟ้า สันนิษฐานกันว่า กล้องเรย์ฟินน่าจะติดตั้งไว้ด้านนอกของเรือตรงส่วนที่เป็นโดมของห้องโดยสาร และเนื่องจากมีการติดตั้งกล้องไว้หลายตัว ก็น่าจะมีกล้องสักตัวที่รอดจากแรงระเบิดและเก็บภาพเหตุการณ์นาทีชีวิตเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังเป็นไปได้ว่ากล้องเหล่านี้อาจเก็บภาพในช่วงเวลา 1 ชม. 45 นาทีระหว่างที่เรือไททันดำลงไปที่ความลึกเกือบ 4,000 เมตร ทำให้ได้รับรู้สภาพแวดล้อมของเรือก่อนเกิดการระเบิด นอกจากนี้ ในช่วงของการเก็บกู้ซากเรือไททันก็มีรายงานข่าวระบุว่า กล้องอย่างน้อย 1 ตัว รอดจากแรงระเบิดและถูกเก็บกู้ขึ้นมาได้ และเป็นไปได้ว่าหน่วยบันทึกไฟล์ภาพของมันจะมีข้อมูลบางส่วนที่เป็นประโยชน์ในการไขปริศนาโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ที่มา : digitalcameraworld.com https://www.dailynews.co.th/news/2594161/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
เกลื่อนหาด! คราบน้ำมันและขยะทะเลสีดำ ถูกคลื่นซัดติดชายหาดในยาง ห้ามลงเล่นน้ำ หวั่นเกิดอันตรายและคลื่นสูง ศูนย์ข่าวภูเก็ต ? คลื่นซัดคราบน้ำมันและขยะทะเลที่ถูกเคลือบด้วยน้ำมันสีดำ เกลื่อนตลอดแนวชายหาดในยางและหาดใกล้เคียง อุทยานสิรินาถส่งเจ้าหน้าที่เก็บกวาดทำความสะอาด เบื้องต้นคาดเป็นน้ำมันเตาที่เรือปล่อยลงทะเล แจ้งเตือนนักท่องห้ามลงเล่นน้ำช่วงนี้ หวั่นเกิดอันตรายและคลื่นสูง วันนี้ (4 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หาดในยาง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชายหาดที่นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาตินิยมไปท่องเที่ยวและพักผ่อน ได้มีคราบน้ำมันที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกลื่อนตลอดแนวชายหาด โดยน้ำมันที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมานั้นเป็นสีดำและเหนียว อยู่บนชายหาดตลอดทั้งแนว รวมไปถึงขยะทะเลที่ถูกเคลือบด้วยน้ำมัน มีสภาพเป็นสีดำ ไม่ว่าขยะชิ้นนั้นๆสภาพเดิมจะเป็นสีอะไรก็ตาม ถูกคลื่นซัดขึ้นมาจำนวนมาก กระจายเกลื่อนทั้งชายหาด บางจุดคลื่นซัดคราบน้ำมันไปติดผักบุ้งทะเลก็มี ทำให้ชายหาดในยางในขณะนี้สกปรก ไม่สวยงาม เต็มไปด้วยขยะสีดำ และคราบน้ำมัน ไม่เหมาะกับการลงเล่นน้ำทะเลและเดินเล่นชายหาด เพราะอาจจะเหยียบกับคราบน้ำมันได้ นอกจากนี้ หาดอื่นๆที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ไม่ว่าจะเป็นหาดไม้ขาว หาดในทอน หาดลายัน ก็มีคราบน้ำมันเช่นกัน มากน้อยต่างกัน ซึ่งทางอุทยาแห่งชาติสิรินาถได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปทำเก็บคราบน้ำมันดังกล่าว ขณะเดียวกันที่หาดในยางในช่วงบ่ายวันนี้ เจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯได้ลงมาเก็บตัวอย่างของคราบน้ำมันแล้ว เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นน้ำมันอะไร ด้าน นายสรศักดิ์ รณะนันทน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีคราบน้ำมันที่ถูกคลื่นซัดมาติดหาดต่างๆ ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ตั้งแต่หาดไม้ขาว หาดในยาง หาดลายัน หาดในทอน ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา (3 ส.ค.) ซี่งเป็นช่วงน้ำใหญ่และคลื่นแรง มีจำนวนค่อนข้างมากในบางหาด เช่น หาดในยาง จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปจัดเก็บก้อนน้ำมันและคราบน้ำมันที่ถูกคลื่นซัดมาติดตามชายหาดตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้ ในทุกๆหาด เพื่อทำความสะอาดชายหาดให้สวยงาม เพราะนอกจากคราบน้ำมันที่เป็นก้อนเหนียวสีดำติดอยู่ตามชายหาดแล้ว ยังมีขยะทะเลที่ถูกเคลือบด้วยน้ำมันเกลื่อนชายหาด ทำให้ชายหาดสกปรกและไม่สวยงาม นอกจากนี้ ยังได้ประสานไปทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บตัวอย่างคราบน้ำมันดังกล่าว เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นน้ำมันชนิดใด และจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ หัวหน้าอุทยานสิรินาถ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นคราบน้ำมันเตา ที่ถูกเรือปล่อยลงทะเลเหมือนที่ผ่านมาในช่วงมรสุม ซึ่งทางอุทยานฯได้จัดเจ้าหน้าที่ประจำหาดเพื่อแจ้งเตือนไม่ให้นักท่องเที่ยวลงไปเล่นน้ำทะเลในช่วงนี้ จนกว่าจะเก็บกวาดคราบน้ำมันและเศษขยะที่เปื้อนคราบน้ำมันออกจากชายหาดทั้งหมด ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เพราะมีจำนวนค่อนข้างมาก และในช่วงนี้คลื่นยังสูงอีกด้วย https://mgronline.com/south/detail/9660000070254
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก
พบ 'คราบน้ำมัน' เกลื่อนหาด พังงา - ภูเก็ต เต่าทะเล น้ำมันเกาะตัว ลอยเข้าฝั่ง พบ 'คราบน้ำมัน' ถูกซัดขึ้นฝั่งเกลื่อนหาด พังงา - ภูเก็ต ขณะที่ เต่าทะเล โดนน้ำมันเกาะทั้งตัว ลอยเข้าฝั่ง เจ้าหน้าที่ ศูนย์วิจัยฯ รับตัวไปดูแลแล้ว วันนี้ (4 ส.ค. 2566) ได้รับแจ้งพบก้อน น้ำมันดิบ เกยหาดไม้ขาว ในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต ซึ่งในพื้นที่ หาดเลพัง อ.ถลาง ก็พบเจอ 'คราบน้ำมัน' สีดำ ถูกซัดขึ้นมาบริเวณชายหาดเช่นกัน ขณะที่ บริเวณหน้าหาดโรงแรมลากูน่าบีช อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พบเจอ ลูกเต่าทะเล ติด 'คราบน้ำมัน' ลอยเข้าฝั่ง ได้ให้การช่วยเหลือและแจ้งให้ จนท.ศูนย์วิจัยฯ มารับตัวไปดูแลแล้ว ขณะที่คราบน้ำมันบริเวณ ชายหาดโรงแรม JW Marroitt เขาหลัก ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ซึ่งถูกพบเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2566 ได้มีเจาหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่คราบน้ำมันบริเวณ โรงแรม JW Marroitt เขาหลัก พบว่ามีคราบน้ำมันเป็นบริเวณทางยาวเเนวชายหาดหน้าโรงแรม โดยทางโรงแรมตรวจพบคราบน้ำมันบริเวณชายหาดช่วงขณะระดับน้ำลง ปัจจุบัน จนท.ทางโรงแรมกำลังช่วยกันเก็บ 'คราบน้ำมัน' บริเวณทางยาวประมาณ 500 เมตร ในระยะสายตา สำหรับน้ำมันนั้นคาดว่าเป็น น้ำมันเตา ซึ่งเกิดมาได้จากเรือสินค้า แต่จะเป็นน้ำมันจากเรือสินค้าที่แล่นผ่านบริเวณนี้หรือไม่นั้น ก็ยังไม่สามารถฟันธงได้ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนของการสืบหาข้อเท็จจริง คงต้องรอตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจน ว่าต้นตอมาจากไหน https://www.komchadluek.net/news/local/555261
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'เกาะหลีเป๊ะ' ถูกบุกรุก จ่อเพิกถอน 42 แปลง ฟันโรงแรม 103 แห่ง บิ๊กโจ๊ก ลุย "เกาะหลีเป๊ะ" รื้อจัดระเบียบใหม่ เหตุแผนที่ดาวเทียมทางทหารชี้ชัดบุกรุก 42 แปลง เตรียมเพิกถอน หลังดำเนินคดีโรงแรมทั้งหมด 103 แห่ง กรณี "เกาะหลีเป๊ะ" จะถูกรื้อจัดระเบียบใหม่นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) หรือ บิ๊กโจ๊ก ในฐานะประธานคณะกรรมการ ตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ลงพื้นที่ประชุมตรวจติดตามความคืบหน้าการบังคับใช้กฎหมายและแก้ไขข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องในชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ และติดตามความคืบหน้าการบังคับใช้กฎหมายกรณีบุกรุกที่อุทยานฯ รุกล้ำที่ราชพัสดุ และความผิด พรบ.โรงแรมและ พรบ.ควบคุมอาคาร โดยมีนายชาตรี ณ ถลาง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในครั้งนี้ ซึ่งความคืบหน้าประธานคณะกรรมการ ตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล กล่าวว่า ขณะนี้การดำเนินคดีโรงแรมทั้งหมด 103 คดีเป็นโรงแรมทั้งหมดในพื้นที่ 100 กว่าโรงแรม ได้แจ้งดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหาไปหมดแล้ว ยกเว้นโรงแรมที่ เป็นไปตามคำสั่ง คสช. ซึ่งส่วนนี้ต้องให้ความเป็นธรรม จำนวนสามสิบกว่าโรงแรมในส่วนของจำนวนทั้งหมดประมาณ 103 จำนวนจะดำเนินการสั่งคดีให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนนี้ ส่วนของการบุกรุกตั้งแต่เรื่องการบุกรุกที่ดินของโรงแรม การก่อสร้างโรงแรมไม่ได้รับอนุญาต การต่อเติมสร้างอาคารต่าง ๆ โดยผิดกฎหมายไม่ได้รับอนุญาต เพราะฉะนั้นวันนี้การดำเนินการของที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะหลักการต้องดำเนินตามกฎหมายเพราะว่าการใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน จะสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกคนบนเกาะหลีเป๊ะ และจากนี้ไปก็เป็นเรื่องการเพิกถอนที่ต้องใช้เวลา โดยอธิบดีกรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการฯ มาพิจารณายกเลิกเพิกถอนกรณีมีการออกเอกสารสิทธิ์โดยไม่ชอบ โดยอาศัยหลักฐานทั้งเอกสาร ดีเอสไอ และเอกสารจากกรมอุทยานแห่งชาติ ซึ่งวันนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา วันนี้มาเพื่อเร่งกระบวนการต่าง ๆ ให้เร็วขึ้น และในส่วนของหลักฐานก็เพิ่มความชัดเจนให้มากขึ้น คือภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศขณะนี้กรมแผนที่ทหารโดยเจ้ากรมแผนที่ทหารรับรองแล้ว ว่าภาพถ่ายทางอากาศมีการรับรองโดยเอกสารราชการโดยถูกต้อง ต้องกลับไปใช้พ.ศ. 2493 ถึง 2494 เพราะฉะนั้นในเอกสารทั้งหมดที่ทำรายงานทั้งหมดประมาณ 10,000 กว่าแผ่น พิจารณาให้เพิกถอนทั้งหมด 42 แปลงหมดทั้งเกาะ ในส่วนนี้ก็จะเซ็ทซีโร่ใหม่ ในส่วนของชาวบ้านที่จะทำกินก็ให้ดำเนินการไป ในส่วนของเอกชนที่จะเข้ามาเพื่อสร้างให้เกาะหลีเป๊ะมีความเจริญเป็นแหล่งท่องเที่ยวเอารายได้เค้าขอหลีเป๊ะก็ต้องว่าไปก็จะได้จัดสรรปันส่วน โดยส่วนนี้ก็จะเป็นของกรมอุทยานแห่งชาติในฐานะเจ้าของพื้นที่จากที่มีการเพิกถอนหมดทั้งเกาะแล้วอันนี้ยึดหลักกฎหมาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนปัญหาทางเดินโรงเรียนและลงชายหาดที่เป็นข้อพิพาทนั้น แม้ขณะนี้ยังไม่เปิดเส้นทาง โดยในวันอังคารหน้านี้ตนจะลงพบเอกชน และติดตามปัญหาทางเดินสารธารณะพร้อมกับ กรมที่ดิน กรมอุทยาน กรมธนารักษ์ และในส่วนของนายอำเภอ ลงไปชี้แนวเขตทั้งหมด เพื่อให้จบและได้ออกเอกสารสิทธิ์ ส่วนวันนี้ถามว่าทำไมมันสั่งสมมานาน อย่าลืมนะว่าผู้ว่าราชการจังหวัด ก็หนักใจต่างคนต่างอยู่ กรมอุทยานก็กรมนึง กรมที่ดินก็กรมนึง กรมธนารักษ์ก็กรมหนึ่ง เมื่อกรมธนารักษ์พร้อมแต่กรมที่ดินไม่พร้อม ด้วยเหตุนี้ทางนายกจึงได้ตั้งคณะกรรมการกลางขึ้นมาเพื่อเอาทุกกรม ไปดำเนินการได้มันจะได้เสร็จ https://www.bangkokbiznews.com/busin...siness/1081913
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#7
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
มหาสมุทรร้อนขึ้น ทำฉลามพฤติกรรมเปลี่ยน ย้ายถิ่นไปเขตเย็นกว่าแต่อาหารน้อย คำถามชวนให้ต้องฉุกคิด หากไม่มีฉลามในทะเลจะเป็นอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลามจาก WWF เยอรมนี Heike Zidowitz เผยว่า การไม่มีฉลามในมหาสมุทรเป็นการสูญเสียที่น่าสะเทือนใจมากที่สุด มหาสมุทรที่ร้อนมากขึ้น ขึ้นทำฉลามพฤติกรรมเปลี่ยน ย้ายถิ่นไปเขตที่เย็นกว่าแต่อาหารน้อย นักวิทย์หวั่นใจ ฉลามเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการทำประมงที่เกินขนาด ทำให้อาหารของสัตว์ชนิดนี้น้อยลง ซึ่งเมื่อบวกกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change ที่ทำให้มหาสมุทรร้อนขึ้น จนส่งผลกับวิถีชีวิตของฉลามในหลายๆ เรื่อง ทั้งการกิน การหายใจ การสืบพันธุ์ ฯลฯ ทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวลว่าฉลามจะสูญพันธุ์ในไม่ช้า อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทำให้น้ำในมหาสมุทรร้อนขึ้น ด้วยวิกฤตสภาพอากาศแปรปรวนแบบนี้ทำให้มหาสมุทรเป็นกรดมากขึ้น ส่งผลให้สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ อย่าง ฉลาม ย้ายไปในเขตทางเหนือที่มีน้ำที่เย็นกว่า แต่ก็มีอาหารที่น้อยกว่า เพราะทางเหนือซึ่งเป็นที่ที่เย็นกว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพน้อยกว่าเขตอุ่น นั่นหมายถึงมีอาหารให้ฉลามกินน้อยกว่า ซึ่งสร้างความเครียดให้ฉลาม หากไม่มีฉลามในทะเลจะเป็นอย่างไร? ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลามจาก WWF เยอรมนี Heike Zidowitz เผยว่า การไม่มีฉลามในมหาสมุทรเป็นการสูญเสียที่น่าสะเทือนใจที่สุด ไม่เพียงจะเกิดความไม่สมดุลของมหาสมุทร แต่ยังส่งผลกระทบกับระบบนิเวศอย่างมหาศาลอีกด้วย นอกจากนี้ บรรดานักนิเวศสรีรวิทยาและนักชีวกลศาสตร์ Valentina Di Santo ยังเสริมอีกว่า การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในมหาสมุทรส่งผลกับฉลามทั้งเรื่องการเจริญเติบโต การหายใจ การสืบพันธุ์ การย่อยอาหาร ซึ่งทำให้ฉลามโตเร็วขึ้น นั่นหมายความว่าความต้องการอาหารก็มากขึ้นตามไปด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลาม กล่าวว่า การอนุรักษ์เพื่อปกป้องฉลามควรปรับตัวให้เร็วกกว่านี้ เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามที่เกิดขึ้น รวมถึงทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่น จะสามารถช่วยเหลือฉลามสัตว์ที่สำคัญกับระบบนิเวศของมหาสมุทรไว้ได้ ขอขอบคุณที่มา : CNN https://www.nationtv.tv/gogreen/378925818
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|