#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่องกับมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออก เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ สำหรับทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 28 - 29 ส.ค. และ 2 ? 3 ก.ย. 64 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในวันที่ 30 ส.ค. ? 1 ก.ย. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
วุ่นอีก! ศึกแย่งลูกหอยแครงอ่าวบ้านดอน ล่าสุดมือดีโรยเศษแก้วจับจองพื้นที่ ประมงพื้นบ้านลงตักหอยถูกบาดหลายราย สุราษฎร์ธานี - ศึกแย่งลูกหอยแครง อ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี วุ่นไม่เลิก ล่าสุดมือดีโรยเศษแก้วลงในทะเลเพื่อจับจองพื้นที่เอาลูกหอยแครงที่เกิดใหม่ เมื่อชาวประมงพื้นบ้านลงตักถูกเศษแก้วแทงบาดได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ล่าสุด รอง ผอ.ศรชล.จังหวัดลงพื้นที่เจอจังๆ ถึงสะอึกพูดไม่ออก วันนี้ (28 ส.ค) ชาวประมงพื้นบ้านในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้นำเรือประมงกว่า 100 ลำ ออกทะเลตักลูกหอยแครง อายุประมาณ 1 เดือน ในพื้นที่อ่าวบ้านดอน ที่เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ เขตอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นลูกหอยแครงที่เกิดขึ้นใหม่ในรอบที่ 4 ของปีนี้ แต่ปรากฏว่ากลุ่มชาวประมงต้องเจอกับเศษแก้ว เศษขวดจำนวนมากที่มีมือดีทุบให้แตกแล้วเอามาโยนในทะเล เพื่อครอบครองและกันพื้นที่หวังเอาลูกหอยแครงและเป็นการป้องกันชาวบ้านลงตักลูกหอยในบริเวณดังกล่าว ซึ่งคาดว่าอาจเป็นฝีมือของอดีตเจ้าคอกหอยแครงเถื่อน ในขณะเดียวกัน วันนี้มีชาวบ้านหลายคนที่ลงตักหอยไม่สวมรองเท้าได้รับบาดเจ็บไปหลายราย สำหรับราคาลูกหอยแครงในวันนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 200 บาท ชาวบ้านบอกว่าในสถานการณ์โควิด-19 ยังแพร่ระบาด ออกทะเลมีรายได้นิดหน่อยยังดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีรายได้ ในเวลาเดียวกัน นาวาเอกวศากร สุนทรนันท์ รอง ผอ.ศรชล.จังหวัดสุราษฎร์ธานี นำเจ้าหน้าที่ออกมาตรวจความเรียบร้อย ทางชาวบ้านจึงลงทะเลใช้เครื่องมือตักหอยตักเอาเศษแก้วเศษขวดขึ้นมาให้ดู ทางรอง ผอ.ศรชล.จังหวัดสุราษฎร์ธานีถึงกับอึ้งพูดไม่ออก แต่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จับพิกัดนำไปตรวจสอบเพื่อสืบสวนติดตามผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี กลุ่มชาวประมงพื้นบ้านยังได้ร้องเรียนต่อ รอง ผอ.ศรชล.ว่า ในพื้นที่ยังมีการครอบครองพื้นที่อยู่บางส่วนแต่รูปแบบการยึดครองได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยวิธีใหม่อดีตเจ้าของคอกหอยใช้วิธีผลักเสาขนำที่เป็นเสาปูนลงน้ำในลักษณะเอียงเฉียง และมีบางรายนำเอาเศษไม้มากองรวมกันเป็นสัญลักษณ์ และมีบางส่วนปักลำไม้ไผ่เป็นช่วง และมีบางส่วนนำเรือมาจอดเฝ้าพื้นที่ และมีการดัดแปลงเรือประมงขนาดกลางมาจอดลอยลำพร้อมจัดคนเฝ้าหากมีกลุ่มชาวประมงมาตักลูกหอยก็จะมาบอกกล่าวห้ามตักในบริเวณนี้ หากไม่ฟังจะยิงปืนขู่ ทำให้ชาวบ้านต่างหวาดกลัวไม่กล้าขับเรือเข้าไปใกล้เกรงจะได้รับอันตราย ซึ่งชาวบ้านได้นำผู้สื่อข่าวไปถ่ายบันทึกภาพ เพื่อยืนยันว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงว่าพื้นที่นี้ยังมีการครอบครองแต่เปลี่ยนรูปแบบไป สำหรับพื้นที่อ่าวบ้านดอน ก่อนหน้านี้เป็นข่าวดังกรณีกลุ่มนายทุนและชาวบ้านเปิดศึกแย่งชิงลูกหอยแครงมาแล้วครั้งหนึ่ง จน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ ผอ.ศรชล.ส่วนกลาง ได้ส่งกำลังทหารเรือมาเปิดยุทธการล้างบางรื้อถอนขนำเฝ้าคอกหอย และไม้ไผ่ปักแนวเขตคอกหอยเถื่อนในพื้นที่ทะเลที่เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ จนนำความสงบกลับคืนมา และได้ดำเนินการส่งมอบพื้นที่คืนให้ทางจังหวัดสุราษฎร์ธานีดูแลป้องกันการบุกรุกครอบครองพื้นที่เหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา https://mgronline.com/south/detail/9640000085030 ********************************************************************************************************************************************************* เมืองพัทยาเร่งคืนสภาพชายหาดหลังพายุฝนกระหน่ำ ทำผิวทรายถูกซัดหายจำนวนมาก ศูนย์ข่าวศรีราชา - เมืองพัทยา ส่งเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องจักรเข้าฟื้นฟูสภาพชายหาดพัทยาให้กลับมาสวยงามดังเดิม หลังพายุฝนกระหน่ำเมื่อวาน ทำผิวทรายจำนวนมหาศาลถูกซัดหาย จนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่หลายจุด จากกรณีที่ได้เกิดพายุฝนกระหน่ำอย่างหนักในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียงติดต่อกันนานหลายชั่วโมงในช่วงเช้าวานนี้ จนส่งผลให้เกิดมวลน้ำจำนวนมหาศาลไหลบ่าจากฝั่งตะวันออกลงสู่พื้นที่เมืองพัทยา จนก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังซ้ำซากในหลายจุด เช่น ถนนพัทยาสายสาม พัทยาสายสอง พัทยาใต้ รวมทั้งถนนสายชายหาดพัทยา และชุมชนอีกหลายแห่ง สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก และยังทำให้พื้นที่ชายหาดเมืองพัทยา ซึ่งถือเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญซึ่งถูกมวลน้ำไหลบ่า กวาดผิวทรายลงทะเลนับหมื่นลูกบาศก์เมตร และยังก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่หลายจุดนั้น วันนี้ (28 ม.ค.) นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักการช่าง และเจ้าหน้าที่สำนักสิ่งแวดล้อม นำเครื่องจักร รวมทั้งรถแบ็กโฮ รถตัก และกำลังเจ้าหน้าที่เร่งทำการคืนสภาพพื้นที่ชายหาดตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยได้ทำการขนทรายและกวาดทรายที่ไหลลงทะเลกลับขึ้นมากลบ และเกลี่ยตามหลุมทรายขนาดใหญ่ที่ถูกน้ำซัดจนเป็นแอ่งให้กลับคืนสภาพความสวยงามดังเดิม กระทั่งแล้วเสร็จในช่วงบ่ายที่ผ่านมา https://mgronline.com/local/detail/9640000085124
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
พิษโควิด! เรือเร็วลมพระยา แจ้งหยุดให้บริการถึงธ.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เรือเร็วลมพระยาโพสต์ข้อความ ทางเฟซบุ๊คLomprayah Catamaranโดยระบุว่าพวกเราในนามของบริษัท เรือเร็วลมพระยา จำกัด ต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ไว้วางใจการให้บริการของเรามาโดยตลอดด้วยในระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่เกิดวิกฤตโรคระบาดครั้งใหญ่ โควิด-19 อันเป็นที่ทราบ และด้วยมีการกำหนดกฏเกณฑ์ระเบียบการอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้เกิดผลกระทบอันเลวร้ายต่อการดำเนินการของธุรกิจและกิจการต่างๆโดยทั่วไปจนมาถึงที่สุดในขณะนี้สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น เพื่อสนองนโยบายรัฐเรื่องการรักษาสุขภาพอนามัยของประชาชน อีกทั้งบริษัทไม่สามารถแบกรับสภาวะเศรษฐกิจมันซบเซาเช่นนี้ต่อไปได้อีก จึงขอหยุดพักการให้บริการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ มีแผนจะกลับมาให้บริการอีกครั้งในวันที่ 5 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป https://www.matichon.co.th/economy/news_2910771
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
ระทึก! เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว อบจ.กระบี่เร่งช่วยพะยูนบาดเจ็บ ระทึก! เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว อบจ.กระบี่ เข้าช่วยเหลือพะยูนขนาดใหญ่ ยาว 2 เมตร ถูกเรือชนเจ็บหนักกลางทะเล เบื้องต้นเจ้าหน้าที่นำตัวไปรักษา เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 28 ส.ค.64 นายชัยศักดิ์ แสวงผล ผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กระบี่ ได้รับแจ้งจากชาวประมง ทางสายด่วน 1131 ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว อบจ.กระบี่ ว่า พบซากพะยูนลอยตายอยู่กลางทะเล ที่เกิดเหตุอยู่ใกล้กับเกาะนก ม.7 ต.ไสไทย อ.เมืองกระบี่ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯจำนวน 4 นาย นำเรือตรวจการออกไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงจุดที่ได้รับแจ้งพบพะยูนขนาดใหญ่ ไม่ทราบเพศยาวประมาณ 2 เมตร ยังไม่เสียชีวิตกำลังลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ สภาพที่อ่อนล้า บริเวณกลางหลัง มีบาดแผลเป็นรอยถลอกเป็นวงกว้างขนาดใหญ่เต็มแผ่นหลัง เห็นแล้วน่าสงสาร จึงได้นำเรือไปเทียบลอยอยู่ใกล้ๆ เพื่อไม่ให้พะยูนลอยว่ายน้ำหนีไปที่อื่น พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายาก และ จนท.อุทยานหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เข้ามารับตัวไปรักษา ต่อมา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายากจังหวัดตรังได้เดินทางมากับเรือสปีดโบ๊ทของอุทยานฯ รับพะยูนตัวดังกล่าวไปรักษาและหาสาเหตุที่ทำให้เกิดบาดแผลต่อไป เบื้องต้นคาดว่าถูกเรือชน หรือไม่ก็ติดอวนจนทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจน์ นายจิรพรรณ์ ทองชุม เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว อบจ.กระบี่ เล่าว่า หลังจากรับแจ้งจากชาวประมงได้ประสานผู้บังคับบัญชาแล้วนำเรือตรวจการออกตรวจสอบ เมื่อเดินทางไปถึงจุดรับแจ้งพบว่าพะยูน ยังไม่ตายจึงได้ประสานเจ้าหน้าที่เกี่ยวเข้ามารับตัวไปรักษา จากการสังเกตพบว่ามีบาดแผลขนาดใหญ่ บริเวณหลังและโคนหาง ไม่ทราบสาเหตุเห็นแล้วน่าสงสารมาก https://www.naewna.com/likesara/598246
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
รู้จัก "เต่าจักร" สัตว์ป่าคุ้มครองใกล้สูญพันธุ์ พบได้ในป่าดิบทางภาคใต้ อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ได้เผยแพร่ภาพ "เต่าจักร" หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เต่าหนาม" ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่ใกล้สูญพันธุ์ พบได้ในป่าดิบทางภาคใต้ ภาพ : อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี Budo Su ngai Padi National Park อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ได้เผยแพร่ภาพ "เต่าจักร" หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เต่าหนาม" ผ่านเฟซบุ๊กเพจ อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี Budo Su ngai Padi National Park โดยภาพของเต่าจักรได้ถูกบันทึกไว้โดยเจ้าหน้าที่ ขณะที่ลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (Smart Patrol) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "เต่าจักร" (Spiny turtle, Spiny terrapin) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heosemys spinosa เป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทเต่าชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์เต่านา (Geoemydidae) เต่าจักร หรือ เต่าหนาม มีสันหนาเป็นเส็นกลางแผ่นเกล็ดสันหลังทุกแผ่น และมีตุ่มหลายตุ่มบนแผ่นเกล็ดชายโครงแต่ละแผ่น เมื่อยังเป็นเต่าวัยอ่อนจะมีแผ่นเกล็ดขอบกระดองแต่ละชิ้นคล้ายหนามแหลม 1 หนามคล้ายจักร อันเป็นที่มาของชื่อ ยกเว้นแผ่นเกล็ดขอบกระดอง ที่ 4 ที่ 5 จะมี 2 หนาม โดยหนามที่ปรากฏในลูกเต่าจะค่อย ๆ หายไปเมื่อโตเต็มวัย ขาหน้าไม่มีพังผืด กระดองหลังสีน้ำตาลแดง กระดองท้องและด้านข้างแผ่นเกล็ดของขอบกระดองออกสีเหลืองหรือสีส้ม และมีเส้นลายสีน้ำตาลดำ ขาสีน้ำตาลดำเกล็ดลำตัวออกสีชมพูอ่อน ผิวสีน้ำตาลเทา ส่วนหัวสีน้ำตาล การกระจายพันธุ์ในที่ชุ่มชื้นของป่าดิบทางภาคใต้ของประเทศไทยตั้งแต่แหลมมลายูลงไป ทั้งนี้ สถานะทางกฏหมายของเต่าจักหรือเต่าหนาม เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า และสถานภาพตามธรรมชาติ เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ https://www.nationtv.tv/news/378836298
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
อียิปต์พบฟอสซิล "อะนูบิส" ต้นตระกูลวาฬ 4 ขา ออกล่าเหมือนสุนัขแต่สะเทินบกสะเทินน้ำ ฟอสซิลของกระดูกบางส่วนถูกพบในทะเลทรายทางตะวันตกของอียิปต์ โดยมีอายุเก่าแก่ 43 ล้านปี .......... ที่มาของภาพ,DR ROBERT W. BOESSENECKER ทีมนักบรรพชีวินวิทยาชาวอียิปต์ เผยผลวิเคราะห์ฟอสซิลกระดูกบางส่วนของสัตว์โบราณชนิดหนึ่ง ซึ่งถูกค้นพบในทะเลทรายทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์เมื่อปี 2008 โดยชี้ว่าเป็นซากของบรรพบุรุษวาฬที่มี 4 ขา และดำรงชีวิตแบบสะเทินบกสะเทินน้ำ ในช่วงกลางของสมัยอีโอซีน (Eocene) หรือเมื่อราว 43 ล้านปีก่อน แม้จะเคยมีการค้นพบฟอสซิลต้นตระกูลวาฬที่มี 4 ขามาแล้วในประเทศเปรู เมื่อปี 2011 แต่ฟอสซิลที่พบในอียิปต์ครั้งนี้เป็นชนิดพันธุ์หรือสปีชีส์ใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อน โดยมีการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้ว่า Phiomicetus anubis ตามชื่อของเทพเจ้าแห่งความตาย "อะนูบิส" ซึ่งมีเศียรเป็นสุนัขจิ้งจอกสีดำ มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาข้างต้นในวารสารของราชสมาคมอังกฤษ Proceedings of the Royal Society B: Biological Sciences โดยทีมนักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยมานซูราของอียิปต์ระบุว่า ต้นตระกูลวาฬที่มี 4 ขาชนิดนี้ มีขนาดลำตัวยาว 3 เมตร และอาจหนักได้ถึง 600 กิโลกรัม แผนที่แสดงจุดพบฟอสซิลวาฬ 4 ขา ในทะเลทรายทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ พวกมันเป็นนักล่าที่มีกล้ามเนื้อส่วนหัวและกรามแข็งแกร่งทรงพลัง ซึ่งจะช่วยในการจับกินเหยื่อได้คล่องแคล่ว สามารถเดินและออกล่าบนบกได้เหมือนสุนัข ทั้งยังว่ายน้ำเก่ง ทำให้มันเป็นเพชฌฆาตที่น่ากลัวเหมือนเทพแห่งความตายสำหรับสิ่งมีชีวิตรอบข้าง ซึ่งเหยื่อของมันนั้นรวมถึงจระเข้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก และลูกของวาฬยุคดึกดำบรรพ์สายพันธุ์อื่นด้วย นายอับดุลลาห์ โกฮาร์ นักศึกษาระดับปริญญาเอกซึ่งเป็นผู้นำทีมวิจัยในครั้งนี้บอกว่า มีการขุดค้นจนพบฟอสซิลของ "อะนูบิส" ในแอ่งที่ลุ่มต่ำฟายุม (Fayum Depression) ซึ่งอยู่ในทะเลทรายทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ที่น่าจะเคยเป็นท้องทะเลมาก่อน โดยนับเป็นการค้นพบต้นตระกูลวาฬสายพันธุ์สะเทินบกสะเทินน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของทวีปแอฟริกา ทีมนักบรรพชีวินวิทยาของอียิปต์ กับฟอสซิลกระดูกบางส่วนของ "อะนูบิส" นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าบรรพบุรุษวาฬชนิดแรกเริ่มมีวิวัฒนาการขึ้นในแถบเอเชียใต้ เมื่อราว 50 ล้านปีก่อน โดยมีการค้นพบฟอสซิลของสัตว์ชนิดนี้ในประเทศปากีสถาน ซึ่งชี้ว่าต้นตระกูลวาฬถือกำเนิดบนบกและค่อย ๆ มีวิวัฒนาการจนกลายเป็นสัตว์ทะเลไปในที่สุด ส่วนการค้นพบฟอสซิลของ "อะนูบิส" ในครั้งนี้ สามารถเป็นหลักฐานหนึ่งที่ชี้ว่า ต้นตระกูลวาฬเริ่มแตกแขนงวิวัฒนาการ และขยายถิ่นฐานออกไปจากมหาสมุทรของเอเชียใต้สู่ทวีปแอฟริกาและสถานที่อื่น ๆ ทั่วโลกได้อย่างไร https://www.bbc.com/thai/international-58368548
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|