#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง อ่าวไทยตอนบน และภาคตะวันออก เข้าสู่พายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณ ทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองโฮจิมิน ประเทศเวียดนาม ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 470 กิโลเมตร คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนใต้ในวันนี้ (7 ต.ค. 63) หลังจากนั้นจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเข้าสู่บริเวณอ่าวไทยตอนบนในวันที่ 8 ต.ค. 63 โดยจะมีผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในช่วงวันที่ 7-9 ต.ค. 63 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตลอดช่วง ประกอบกับในช่วงวันที่ 6 ? 7 ต.ค.บริเวณความกดอากาศสูงจะแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 7 - 9 ต.ค. 63 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชัน และเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคตะวันออก อ่าวไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบน ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากกับมีลมแรง สำหรับในช่วงวันที่ 7 ? 10 ต.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรง ทำให้คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-4 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร หลังจากนั้น มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้คลื่นลมมีกำลังอ่อนลง ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยของประเทศไทย ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก สำหรับชาวเรือในบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 7 ? 10 ต.ค. 63 ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 7 ? 9 ตุลาคม 2563)" ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 07 ตุลาคม 2563 เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (7 ต.ค. 63) พายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง โดยมีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองโฮจิมิน ประเทศเวียดนามทางตะวันออกประมาณ 470 กิโลเมตร หรือที่ละติจูด 11.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 113.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้เกือบไม่เคลื่อนที่และคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนใต้ในวันนี้ (วันที่ 7 ต.ค. 63) หลังจากนั้นจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเข้าสู่บริเวณอ่าวไทยตอนบนในวันที่ 8 ต.ค. 63 พายุนี้จะมีผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในช่วงวันที่ 7-9 ต.ค. 63 อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกและภาคตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรงดการเดินเรือในช่วงวันที่ 7-10 ต.ค. 63 คาดว่าพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ มีดังนี้ วันที่ 7 ตุลาคม 2563 บริเวณที่มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาคกลาง: จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม และพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ วันที่ 8 ตุลาคม 2563 บริเวณที่มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดมุกดาหาร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร และร้อยเอ็ด ภาคกลาง: จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง สระบุรี พระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล วันที่ 9 ตุลาคม 2563 บริเวณที่มีฝนตกหนัก ภาคกลาง: จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี และชัยนาท ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และพังงา
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
หายนะชัดๆ สัตว์ทะเลหลายร้อยตายเกลื่อนหาดรัสเซีย หลังเชื้อเพลิงจรวดรั่วไหล สัตว์ทะเลหลายร้อยตัว ทั้งปลาหมึก แมวน้ำ หอยเม่น ปลา ปู ตายเกลื่อนชายหาดรัสเซีย ชาวบ้านพากันแสบร้อนผิวหนัง หลังสารพิษเชื้อเพลิงจรวดรั่วไหลลงทะเล ผู้เชี่ยวชาญระบุ เป็นหายนะร้ายแรงของระบบนิเวศ เมื่อวานนี้ 5 ต.ค. กลุ่มปกป้องสิ่งแวดล้อมกรีนพีซ เผยแพร่ภาพชายหาดคาลัคทีร์สกี บริเวณคาบสมุทรคัมชัตกา ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย เต็มไปด้วยซากสัตว์ทะเลจำนวนหลายร้อยตัวที่มาตายเกยตื้น ขณะที่น้ำทะเลกลายเป็นสีเหลือง และมีโฟมสารพิษลอยอยู่ เมื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเล พบว่า มีปริมาณน้ำมันปนเปื้อนสูงขึ้นกว่า 4 เท่า และสารฟีนอล สูงขึ้น 2.5 เท่า นอกจากนี้ยังมีสารพิษอีกหลายชนิดปนเปื้อนในน้ำทะเล โดยเรียกร้องให้ทางการรัสเซียเร่งเข้ามาขจัดสารพิษ และตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น วลาดิมีร์ เบอร์คานอฟ นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาล เปิดเผยว่า คาดว่าสารเคมีในน้ำทะเลอาจมาจากการรั่วไหลของน้ำมันเชื้อเพลิงจรวด ตลอดจนสารพิษอื่นๆ จากแหล่งทดสอบจรวดราดีจีโนที่ถูกนำมาทิ้งบริเวณใต้ภูเขาไฟโคเซลสกี และเมื่อเร็วๆ นี้มีพายุพัดเข้าและมีฝนตกหนัก อาจทำให้สารเคมีถูกน้ำซัดรั่วไหลลงทะเล เนื่องจากบริเวณนี้เป็นเขตธารน้ำแข็ง และยังมีภูเขาไฟ ที่คาดว่าจะเป็นแหล่งทิ้งกากเชื้อเพลิงจรวด สารหนู มาตั้งแต่ยุคอดีตสหภาพโซเวียตล่มสลาย ด้านสำนักข่าวอาร์ทีของรัสเซีย รายงานว่า บรรดานักท่องเที่ยวที่มาเล่นเซิร์ฟบอร์ด และชาวบ้านบริเวณนั้น ต่างมีอาการแสบร้อนที่ผิวหนัง เป็นไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ทางการประกาศห้ามลงน้ำทะเลตลอดแนวชายฝั่ง และเดินหน้าเร่งตรวจสอบ. ที่มา: Greenpeace https://www.thairath.co.th/news/foreign/1946049 ********************************************************************************************************************************************************* จับฉลามขาวยักษ์ "ราชินีแห่งท้องทะเล" 1,600 กก. ขึ้นมาติดแท็ก นักวิจัยทางทะเลในแคนาดา จับฉลามขาวยักษ์ "ราชินีแห่งท้องทะเล" น้ำหนักกว่า 1,600 กิโลกรัม ขึ้นมาติดแท็กเพื่อทำการศึกษา เมื่อวันที่ 5 ต.ค. สำนักข่าว CNN รายงานว่า ทีมนักวิจัยกลุ่ม OCEARCH องค์กรไม่หวังผลกำไรที่ศึกษาประชากรฉลามขาวในทะเลแถบรัฐโนวาสโกเชีย ของแคนาดา สามารถจับฉลามขาวยักษ์ "ราชินีแห่งท้องทะเล" อายุกว่า 50 ปี ที่มีชื่อว่า "นูคูมิ" (Nukumi) ขึ้นมาได้ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการติดแท็ก อุปกรณ์ที่จะทำหน้าที่ติดตามตัวฉลาม เพื่อให้เราได้ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของมัน นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า นอกจากติดแท็กแล้ว ทีมงานยังได้ทำการวัดขนาด พบว่ามันมีความยาวลำตัว 5.25 เมตร และมีน้ำหนักกว่า 1,600 กิโลกรัม พร้อมตั้งชื่อให้ฉลามตัวนี้ว่า "นูคูมิ" ตามชื่อหญิงชราผู้มีความเฉลียวฉลาด ในตำนานภาษามิกแมก ของชนพื้นเมืองที่มีวัฒนธรรมฝังรากลึกในแถบโนวาสโกเชีย นอกจากนี้ นักวิทยาศาตร์ยังระบุว่า ข้อมูลของ "นูคูมิ" จะถูกเก็บรวบรวมเพื่อทำการศึกษาในช่วงอีกหลายปีต่อจากนี้ โดย "นูคูมิ" เป็นฉลามขาวยักษ์ตัวใหญ่ที่สุดในบรรดาฉลามขาวยักษ์ที่นักวิทยาศาสตร์เคยจับขึ้นมาติดแท็กและศึกษาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา. ที่มา:OCEARCH https://www.thairath.co.th/news/foreign/1946050 ********************************************************************************************************************************************************* ความหวังใหม่ของการกำจัดขยะพลาสติก (ภาพประกอบ Credit : University of Portsmouth) พอลิเอทิลีน เทเรฟทาเลต (polyethylene terephthalate-PET) เป็นเทอร์โมพลาสติกที่ใช้กันมากที่สุดในการทำขวดเครื่องดื่ม เสื้อผ้า และพรม PET เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แต่ข้อเสียคือกว่าจะสลายตัวในสิ่งแวดล้อม ก็ต้องใช้เวลานานหลายร้อยปี บรรดานักวิจัยพยายามหาหนทางที่จะกำจัดขยะพลาสติกเหล่านี้อย่างเร่งด่วน เนื่องจากปัจจุบันขยะพลาสติกจำนวนมหาศาลกลายเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขขึ้นทุกที ล่าสุด ทีมวิจัยนำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธ ในอังกฤษ ประกาศข่าวน่ายินดีกับความสำเร็จในการเปลี่ยนวิธีทำงานของเอนไซม์ PETase ที่ย่อยสลายพลาสติก PET ได้ ให้กลายมาเป็นซุปเปอร์เอนไซม์อีกชนิดเพื่อมาช่วยพิชิตขยะพลาสติก เอนไซม์ตัวใหม่นี้ถูกเรียกว่าเอนไซม์ค็อกเทล เนื่องจากเป็นส่วนผสมของเอนไซม์ PETase กับพันธมิตรเอนไซม์ชื่อ MHETase ซึ่งวิศวกรรมการเชื่อมต่อระหว่างเอนไซม์ทั้ง 2 ชนิด ก็ได้ซุปเปอร์เอนไซม์ที่สามารถย่อยพลาสติก PET ได้เร็วขึ้นถึง 6 เท่า ทีมวิจัยเผยว่า ทั้งเอนไซม์ PETase และเอนไซม์ที่ได้จากการรวม PETase และ MHETase จะย่อยสลายพลาสติก PET แล้วคืนกลับมาเป็นส่วนประกอบพื้นฐาน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผลิตและนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพาทรัพยากรจากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล อย่างน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1945520
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
แปลกตา!! นักตกปลาพบ "ฉลามเผือก" ที่ไม่ใช่ฉลามขาว ภาพจาก SWNS นักตกปลาชาวอังกฤษจับ "ฉลามเผือก" ที่หายากมากนอกชายฝั่งบริเตน โดยนาย Jason Gillespie วัย 50 ปี ได้ออกไปตกปลาทะเลน้ำลึกกับเพื่อน และพบฉลามขนาดยาวประมาณ 3 ฟุต โดยความแปลกก็คือเป็นฉลามที่มีขาวขาวทั่วทั้งตัว และไม่ใช่ฉลามขาว เนื่องจากฉลามขาวไม่ได้มีสีขาวทั้งตัวแบบนี้ ซึ่งปลาที่มีลักษณะพิเศษแบบนี้ นาย Jason กล่าวไว้ว่า เป็นฉลามสายพันธุ์ Tope Shark มีภาวะ Leucistic ที่ส่งผลต่อการสูญเสียเม็ดสี ทำให้กลายเป็นฉลามที่มีสีขาวทั่วทั้งตัว ซึ่งคล้ายกับฉลามเผือก แต่หากเป็นเช่นนั้นโดยทั่วไปจะมีตาสีแดง และการที่ฉลามมีสีผิวโดดเด่นแบบนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของมัน เพราะสีขาวทั่วทั้งตัวแบบนี้อาจจะเด่นเกินไปตนไม่สามารถล่าเหยื่อได้ และอาจกลายเป็นเหยื่อให้กับนักล่าตัวอื่นๆ แทน นาย Jason จับปลาตัวดังกล่าวได้เมื่อวันที่ 29 ก.ย. เป็นปลาที่หายากมากๆ โดยตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ตกปลา ยังไม่เคยพบเห็นฉลามที่มีลักษณะนี้มาก่อน และหลังจากจับขึ้นมาเพียงชั่วครู่ ภายหลังจากถ่ายภาพเก็บไว้ก็ได้ปล่อยเจ้าฉลามสีขาวตัวนี้กลับสู่ท้องทะเล ทั้งนี้ ฉลามสายพันธุ์ Tope Shark มักพบในสหราชอาณาจักร และสามารถว่ายน้ำได้ในระยะไกลไปจนถึงหมู่เกาะคานารี (ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา) ซึ่งพวกมันจะกิอาหารจำพวกปลา กุ้ง หมึก และโดยปกติพวกมันจะมีลำตัวสีเทาและท้องสีขาว https://mgronline.com/travel/detail/9630000101923
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์
สัตว์ทะเลนับพันตายปริศนาเกลื่อนชายหาดรัสเซีย สัตว์ทะเลรัสเซียตายหลายพันตัวตายเกลื่อนนักเคลื่อนไหวเรียกร้องคำตอบ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่ามลพิษทางน้ำในมหาสมุทรเลวร้ายส่งผลให้น้ำเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสัตว์ทะเลหลายพันตัวทั้งปลาหมึก ดาวทะเล ปลา และหอยตายเกลื่อนชายหาดในคาบสมุทรคัมชัตคา ประเทศรัสเซีย ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีทั้งรูปภาพและคลิปวิดีโอถูกแชร์อย่างแพร่หลายบนโลกออนไลน์ ท่ามกลางความสงสัยของประชาชนว่าสาเหตุของปรากฏการณ์นี้คืออะไร ทั้งที่คัมซัตคาเป็นมหาสมุทรที่อยู่ห่างไกลเมืองและมีชื่อเสียงด้านเขตอนุรักษ์ธรรมชาติและภูเขาไฟที่บริสุทธิ์ นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเรียกร้องคำตอบของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเชื่อว่าเกิดจากการรั่วไหลของสารพิษในมหาสมุทร ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของรัสเซียทำการประเมินขนาดของมลพิษ และกล่าวว่ามลพิษดังกล่าวไม่น่าจะเกิดจากการกระทำของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนิเวศวิทยาเผยว่า ขณะนี้การวิจัยพบระดับธาตุเหล็กและฟอสเฟตในน้ำที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นผลจากพายุที่เพิ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ทางตะวันออกของรัสเซีย ด้านเจ้าหน้าที่ได้เตือนให้ชาวบ้านอยู่ห่างจากชายหาดคัมชัตคาเนื่องจากกรีนพีซกล่าวว่าการก่อมลพิษที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็น "หายนะทางระบบนิเวศ" เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายหาดยอดนิยมของนักโต้คลื่นนี้ยังส่งผลให้นักโต้คลื่นบางคนคลื่นไส้ อาเจียน รวมทั้งได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา https://www.posttoday.com/world/634850
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
คุ้มหรือไม่ "เชื่อมอ่าวไทย-อันดามัน" ความพยายามจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางเรือมีมาตลอด โดยเฉพาะการย่นระยะทางให้สั้นลง ไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา อดีตอาจจะมีโครงการขุดคลองไทยแต่ผลักดันไม่สำเร็จ จนเริ่มมีข้อเสนอสร้างสะพานเชื่อมอ่าวไทยกับอันดามัน มูลค่ากว่า 9 แสนล้านบาท วันนี้ (6 ต.ค.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 5 ปีที่ผ่านมา มีการผลักดันโครงการสำคัญในอีอีซีไปแล้ว คือ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, สนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก รวมถึงท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ล่าสุดกำลังจะมีอีก 3 เมกะโปรเจกต์ มูลค่ากว่า 1.18 ล้านล้านบาท กำลังจะถูกอัดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ โครงการท่าเรือบก จะเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ เช่น จีน สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม ส่วนไทยจะมี 3 แห่ง คือ ท่าเรือบกฉะเชิงเทรา มูลค่า 8 พันล้านบาท ท่าเรือบกขอนแก่นและท่าเรือบกนครราชสีมา 1.6 หมื่นล้านบาท ถัดมา โครงการเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน หรือ แลนด์บริดจ์ โดยรัฐจะพัฒนาระบบการเชื่อมโยงท่าเรือน้ำลึก 2 แห่งที่ จ.ระนองและชุมพร เพื่อขนส่งสินค้าในเอเชียใต้ ซึ่งจะลดเวลาและค่าใช้จ่าย เพราะไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ทั้งนี้ต้องใช้เงินประมาณ 1.67 แสนล้านบาท ขณะที่โครงการสะพานไทย จะเชื่อมโยงอีอีซีไปสู่เอสอีซี ผ่านถนนเชื่อม จ.ชลบุรีและเพชรบุรี ระยะทาง 80-100 กิโลเมตร ประหยัดเวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง มูลค่า 9.9 หมื่นล้านบาท รศ.วันชัย รัตนวงษ์ ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า อยากให้รัฐศึกษาให้ชัดมากกว่านี้ เพราะบางโครงการรัฐบาลอาจได้ไม่คุ้ม ไม่มีคนใช้ เช่น โครงการท่าเรือบก ซึ่งมีแผนจะก่อสร้างหลายแห่ง ส่วนโครงการแลนด์บริดจ์ ก็มีคำถามว่ามีสายเรือ สินค้า หรือความต้องการเพียงพอหรือไม่ และ จ.ระนอง จะรับเรือใหญ่ได้หรือไม่ การไฟเขียวเเลนด์บริดจ์ สะท้อนว่ารัฐอาจไม่สนใจแผนขุดคลองไทยเเล้วหรือไม่ ซึ่งถ้าเทียบ 2 โครงการ แลนด์บริดจ์ เป็นรถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์เชื่อมท่าเรือน้ำลึก ชุมพร-ระนอง ส่วนคลองไทย กว้าง 400 เมตร ลึก 30 เมตร ระยะทาง 120-135 กิโลเมตร นายคงฤทธ์ จันทริก ผอ.บริหาร สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ระบุว่า หากเปรียบเทียบโครงการแลนด์บริดจ์ กับโครงการขุดคลองไทยเดิม คงเปรียบเทียบได้ยาก เพราะยังไม่มีความชัดเจนด้านมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและการค้า อย่างโครงการขุดคลองไทยเดิม สรท.เคยมีผลการศึกษาว่าแม้จะพัฒนาให้เชื่อมกัน แต่ค่าขนส่งสินค้าทางเรือจากตะวันออกไปสู่ภาคใต้ อยู่ที่ 38,000 บาทต่อเที่ยว ขณะที่การขนส่งไทยไปสหภาพยุโรปก็มีต้นทุนเท่ากัน ดังนั้นรัฐควรศึกษาจนมีข้อมูลทางเศรษฐกิจที่บ่งชี้ได้ว่าจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ก็จะเป็นประโยชน์ ขณะที่ธนิต โสรัตน์ นักธุรกิจด้านโลจิสติกส์ ระบุว่า "โครงการเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน และโครงการสะพานไทย" แค่คิดก็ผิดแล้ว เนื่องจากการขนส่งสินค้าของไทย ร้อยละ 70 อยู่ทางฝั่งตะวันออก และท่าเรือระนองตั้งอยู่บนภูมิศาสตร์แบบภูเขา ซึ่งไม่เหมาะกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่จะเข้าไปรับสินค้าจากท่าเรือ โดยเฉพาะโครงการสะพานไทย ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีก่อสร้างจากจีน และต้องสร้างสะพานสูงขนาดตึก 3-4 ชั้น เป็นระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร อาจทำให้รัฐบาลได้ "แลนด์มาร์ก" มากกว่าโครงสร้างพื้นฐาน หลังประเมินว่าสายการเดินเรือต่างประเทศอาจไม่ใช้บริการ เพราะค่าขนส่งทั้งกระบวนการอาจสูงกว่า 40,000-50,000 บาท นายธนิตไม่เชื่อว่า 3 เมกะโปรเจกต์นี้ จะทำให้ไทยกลับมาเนื้อหอมในสายตานักลงทุนต่างชาติ หลังปัญหาการเมืองไทยไม่แน่นอนมานานกว่า 10 ปี อีกทั้งยังมีปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์และตลาดในประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม อินโดนีเซีย และบังกลาเทศแล้ว มีข้อเสนอว่า หากรัฐบาลต้องการผลักดันโครงการขนาดใหญ่เพื่อประโยชน์ชาติ ควรทบทวนโครงการแลนด์บริจน์ และสะพานไทย แล้วหันกลับมาศึกษาเรื่องอื่น เช่น โครงการขนส่งทางชายฝั่ง ควบคู่กับการพัฒนาท่าเรือเอนกประสงค์ใน จ.นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยีก่อสร้างของไทย และมีการจ้างงานในพื้นที่ได้จริง ช่วยกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่น https://news.thaipbs.or.th/content/297112
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|