เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 07-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง อ่าวไทยตอนบน และภาคตะวันออก เข้าสู่พายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณ ทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

อนึ่ง พายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองโฮจิมิน ประเทศเวียดนาม ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 470 กิโลเมตร คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนใต้ในวันนี้ (7 ต.ค. 63) หลังจากนั้นจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเข้าสู่บริเวณอ่าวไทยตอนบนในวันที่ 8 ต.ค. 63 โดยจะมีผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในช่วงวันที่ 7-9 ต.ค. 63


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตลอดช่วง ประกอบกับในช่วงวันที่ 6 ? 7 ต.ค.บริเวณความกดอากาศสูงจะแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 7 - 9 ต.ค. 63 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชัน และเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคตะวันออก อ่าวไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบน ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากกับมีลมแรง

สำหรับในช่วงวันที่ 7 ? 10 ต.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรง ทำให้คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-4 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร หลังจากนั้น มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้คลื่นลมมีกำลังอ่อนลง


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยของประเทศไทย ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก สำหรับชาวเรือในบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 7 ? 10 ต.ค. 63



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 7 ? 9 ตุลาคม 2563)" ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 07 ตุลาคม 2563

เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (7 ต.ค. 63) พายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง โดยมีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองโฮจิมิน ประเทศเวียดนามทางตะวันออกประมาณ 470 กิโลเมตร หรือที่ละติจูด 11.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 113.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้เกือบไม่เคลื่อนที่และคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนใต้ในวันนี้ (วันที่ 7 ต.ค. 63) หลังจากนั้นจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเข้าสู่บริเวณอ่าวไทยตอนบนในวันที่ 8 ต.ค. 63 พายุนี้จะมีผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในช่วงวันที่ 7-9 ต.ค. 63

อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกและภาคตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรงดการเดินเรือในช่วงวันที่ 7-10 ต.ค. 63

คาดว่าพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ มีดังนี้


วันที่ 7 ตุลาคม 2563 บริเวณที่มีฝนตกหนักถึงหนักมาก

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

ภาคกลาง: จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม และพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์


วันที่ 8 ตุลาคม 2563 บริเวณที่มีฝนตกหนักถึงหนักมาก

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดมุกดาหาร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร และร้อยเอ็ด

ภาคกลาง: จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง สระบุรี พระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล


วันที่ 9 ตุลาคม 2563 บริเวณที่มีฝนตกหนัก

ภาคกลาง: จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี และชัยนาท

ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และพังงา






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 07-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


หายนะชัดๆ สัตว์ทะเลหลายร้อยตายเกลื่อนหาดรัสเซีย หลังเชื้อเพลิงจรวดรั่วไหล

สัตว์ทะเลหลายร้อยตัว ทั้งปลาหมึก แมวน้ำ หอยเม่น ปลา ปู ตายเกลื่อนชายหาดรัสเซีย ชาวบ้านพากันแสบร้อนผิวหนัง หลังสารพิษเชื้อเพลิงจรวดรั่วไหลลงทะเล ผู้เชี่ยวชาญระบุ เป็นหายนะร้ายแรงของระบบนิเวศ



เมื่อวานนี้ 5 ต.ค. กลุ่มปกป้องสิ่งแวดล้อมกรีนพีซ เผยแพร่ภาพชายหาดคาลัคทีร์สกี บริเวณคาบสมุทรคัมชัตกา ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย เต็มไปด้วยซากสัตว์ทะเลจำนวนหลายร้อยตัวที่มาตายเกยตื้น ขณะที่น้ำทะเลกลายเป็นสีเหลือง และมีโฟมสารพิษลอยอยู่ เมื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเล พบว่า มีปริมาณน้ำมันปนเปื้อนสูงขึ้นกว่า 4 เท่า และสารฟีนอล สูงขึ้น 2.5 เท่า นอกจากนี้ยังมีสารพิษอีกหลายชนิดปนเปื้อนในน้ำทะเล โดยเรียกร้องให้ทางการรัสเซียเร่งเข้ามาขจัดสารพิษ และตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น

วลาดิมีร์ เบอร์คานอฟ นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาล เปิดเผยว่า คาดว่าสารเคมีในน้ำทะเลอาจมาจากการรั่วไหลของน้ำมันเชื้อเพลิงจรวด ตลอดจนสารพิษอื่นๆ จากแหล่งทดสอบจรวดราดีจีโนที่ถูกนำมาทิ้งบริเวณใต้ภูเขาไฟโคเซลสกี และเมื่อเร็วๆ นี้มีพายุพัดเข้าและมีฝนตกหนัก อาจทำให้สารเคมีถูกน้ำซัดรั่วไหลลงทะเล เนื่องจากบริเวณนี้เป็นเขตธารน้ำแข็ง และยังมีภูเขาไฟ ที่คาดว่าจะเป็นแหล่งทิ้งกากเชื้อเพลิงจรวด สารหนู มาตั้งแต่ยุคอดีตสหภาพโซเวียตล่มสลาย



ด้านสำนักข่าวอาร์ทีของรัสเซีย รายงานว่า บรรดานักท่องเที่ยวที่มาเล่นเซิร์ฟบอร์ด และชาวบ้านบริเวณนั้น ต่างมีอาการแสบร้อนที่ผิวหนัง เป็นไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ทางการประกาศห้ามลงน้ำทะเลตลอดแนวชายฝั่ง และเดินหน้าเร่งตรวจสอบ.

ที่มา: Greenpeace


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1946049


*********************************************************************************************************************************************************


จับฉลามขาวยักษ์ "ราชินีแห่งท้องทะเล" 1,600 กก. ขึ้นมาติดแท็ก

นักวิจัยทางทะเลในแคนาดา จับฉลามขาวยักษ์ "ราชินีแห่งท้องทะเล" น้ำหนักกว่า 1,600 กิโลกรัม ขึ้นมาติดแท็กเพื่อทำการศึกษา



เมื่อวันที่ 5 ต.ค. สำนักข่าว CNN รายงานว่า ทีมนักวิจัยกลุ่ม OCEARCH องค์กรไม่หวังผลกำไรที่ศึกษาประชากรฉลามขาวในทะเลแถบรัฐโนวาสโกเชีย ของแคนาดา สามารถจับฉลามขาวยักษ์ "ราชินีแห่งท้องทะเล" อายุกว่า 50 ปี ที่มีชื่อว่า "นูคูมิ" (Nukumi) ขึ้นมาได้ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการติดแท็ก อุปกรณ์ที่จะทำหน้าที่ติดตามตัวฉลาม เพื่อให้เราได้ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของมัน

นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า นอกจากติดแท็กแล้ว ทีมงานยังได้ทำการวัดขนาด พบว่ามันมีความยาวลำตัว 5.25 เมตร และมีน้ำหนักกว่า 1,600 กิโลกรัม พร้อมตั้งชื่อให้ฉลามตัวนี้ว่า "นูคูมิ" ตามชื่อหญิงชราผู้มีความเฉลียวฉลาด ในตำนานภาษามิกแมก ของชนพื้นเมืองที่มีวัฒนธรรมฝังรากลึกในแถบโนวาสโกเชีย

นอกจากนี้ นักวิทยาศาตร์ยังระบุว่า ข้อมูลของ "นูคูมิ" จะถูกเก็บรวบรวมเพื่อทำการศึกษาในช่วงอีกหลายปีต่อจากนี้ โดย "นูคูมิ" เป็นฉลามขาวยักษ์ตัวใหญ่ที่สุดในบรรดาฉลามขาวยักษ์ที่นักวิทยาศาสตร์เคยจับขึ้นมาติดแท็กและศึกษาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา.

ที่มา:OCEARCH


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1946050


*********************************************************************************************************************************************************


ความหวังใหม่ของการกำจัดขยะพลาสติก


(ภาพประกอบ Credit : University of Portsmouth)

พอลิเอทิลีน เทเรฟทาเลต (polyethylene terephthalate-PET) เป็นเทอร์โมพลาสติกที่ใช้กันมากที่สุดในการทำขวดเครื่องดื่ม เสื้อผ้า และพรม PET เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แต่ข้อเสียคือกว่าจะสลายตัวในสิ่งแวดล้อม ก็ต้องใช้เวลานานหลายร้อยปี บรรดานักวิจัยพยายามหาหนทางที่จะกำจัดขยะพลาสติกเหล่านี้อย่างเร่งด่วน เนื่องจากปัจจุบันขยะพลาสติกจำนวนมหาศาลกลายเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขขึ้นทุกที

ล่าสุด ทีมวิจัยนำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธ ในอังกฤษ ประกาศข่าวน่ายินดีกับความสำเร็จในการเปลี่ยนวิธีทำงานของเอนไซม์ PETase ที่ย่อยสลายพลาสติก PET ได้ ให้กลายมาเป็นซุปเปอร์เอนไซม์อีกชนิดเพื่อมาช่วยพิชิตขยะพลาสติก เอนไซม์ตัวใหม่นี้ถูกเรียกว่าเอนไซม์ค็อกเทล เนื่องจากเป็นส่วนผสมของเอนไซม์ PETase กับพันธมิตรเอนไซม์ชื่อ MHETase ซึ่งวิศวกรรมการเชื่อมต่อระหว่างเอนไซม์ทั้ง 2 ชนิด ก็ได้ซุปเปอร์เอนไซม์ที่สามารถย่อยพลาสติก PET ได้เร็วขึ้นถึง 6 เท่า

ทีมวิจัยเผยว่า ทั้งเอนไซม์ PETase และเอนไซม์ที่ได้จากการรวม PETase และ MHETase จะย่อยสลายพลาสติก PET แล้วคืนกลับมาเป็นส่วนประกอบพื้นฐาน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผลิตและนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพาทรัพยากรจากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล อย่างน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1945520

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 07-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


แปลกตา!! นักตกปลาพบ "ฉลามเผือก" ที่ไม่ใช่ฉลามขาว


ภาพจาก SWNS

นักตกปลาชาวอังกฤษจับ "ฉลามเผือก" ที่หายากมากนอกชายฝั่งบริเตน โดยนาย Jason Gillespie วัย 50 ปี ได้ออกไปตกปลาทะเลน้ำลึกกับเพื่อน และพบฉลามขนาดยาวประมาณ 3 ฟุต โดยความแปลกก็คือเป็นฉลามที่มีขาวขาวทั่วทั้งตัว และไม่ใช่ฉลามขาว เนื่องจากฉลามขาวไม่ได้มีสีขาวทั้งตัวแบบนี้

ซึ่งปลาที่มีลักษณะพิเศษแบบนี้ นาย Jason กล่าวไว้ว่า เป็นฉลามสายพันธุ์ Tope Shark มีภาวะ Leucistic ที่ส่งผลต่อการสูญเสียเม็ดสี ทำให้กลายเป็นฉลามที่มีสีขาวทั่วทั้งตัว ซึ่งคล้ายกับฉลามเผือก แต่หากเป็นเช่นนั้นโดยทั่วไปจะมีตาสีแดง และการที่ฉลามมีสีผิวโดดเด่นแบบนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของมัน เพราะสีขาวทั่วทั้งตัวแบบนี้อาจจะเด่นเกินไปตนไม่สามารถล่าเหยื่อได้ และอาจกลายเป็นเหยื่อให้กับนักล่าตัวอื่นๆ แทน

นาย Jason จับปลาตัวดังกล่าวได้เมื่อวันที่ 29 ก.ย. เป็นปลาที่หายากมากๆ โดยตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ตกปลา ยังไม่เคยพบเห็นฉลามที่มีลักษณะนี้มาก่อน และหลังจากจับขึ้นมาเพียงชั่วครู่ ภายหลังจากถ่ายภาพเก็บไว้ก็ได้ปล่อยเจ้าฉลามสีขาวตัวนี้กลับสู่ท้องทะเล

ทั้งนี้ ฉลามสายพันธุ์ Tope Shark มักพบในสหราชอาณาจักร และสามารถว่ายน้ำได้ในระยะไกลไปจนถึงหมู่เกาะคานารี (ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา) ซึ่งพวกมันจะกิอาหารจำพวกปลา กุ้ง หมึก และโดยปกติพวกมันจะมีลำตัวสีเทาและท้องสีขาว


https://mgronline.com/travel/detail/9630000101923

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 07-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


สัตว์ทะเลนับพันตายปริศนาเกลื่อนชายหาดรัสเซีย



สัตว์ทะเลรัสเซียตายหลายพันตัวตายเกลื่อนนักเคลื่อนไหวเรียกร้องคำตอบ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่ามลพิษทางน้ำในมหาสมุทรเลวร้ายส่งผลให้น้ำเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสัตว์ทะเลหลายพันตัวทั้งปลาหมึก ดาวทะเล ปลา และหอยตายเกลื่อนชายหาดในคาบสมุทรคัมชัตคา ประเทศรัสเซีย

ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีทั้งรูปภาพและคลิปวิดีโอถูกแชร์อย่างแพร่หลายบนโลกออนไลน์ ท่ามกลางความสงสัยของประชาชนว่าสาเหตุของปรากฏการณ์นี้คืออะไร ทั้งที่คัมซัตคาเป็นมหาสมุทรที่อยู่ห่างไกลเมืองและมีชื่อเสียงด้านเขตอนุรักษ์ธรรมชาติและภูเขาไฟที่บริสุทธิ์

นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเรียกร้องคำตอบของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเชื่อว่าเกิดจากการรั่วไหลของสารพิษในมหาสมุทร

ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของรัสเซียทำการประเมินขนาดของมลพิษ และกล่าวว่ามลพิษดังกล่าวไม่น่าจะเกิดจากการกระทำของมนุษย์



รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนิเวศวิทยาเผยว่า ขณะนี้การวิจัยพบระดับธาตุเหล็กและฟอสเฟตในน้ำที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นผลจากพายุที่เพิ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ทางตะวันออกของรัสเซีย

ด้านเจ้าหน้าที่ได้เตือนให้ชาวบ้านอยู่ห่างจากชายหาดคัมชัตคาเนื่องจากกรีนพีซกล่าวว่าการก่อมลพิษที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็น "หายนะทางระบบนิเวศ"

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายหาดยอดนิยมของนักโต้คลื่นนี้ยังส่งผลให้นักโต้คลื่นบางคนคลื่นไส้ อาเจียน รวมทั้งได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา


https://www.posttoday.com/world/634850

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 07-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


คุ้มหรือไม่ "เชื่อมอ่าวไทย-อันดามัน"



ความพยายามจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางเรือมีมาตลอด โดยเฉพาะการย่นระยะทางให้สั้นลง ไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา อดีตอาจจะมีโครงการขุดคลองไทยแต่ผลักดันไม่สำเร็จ จนเริ่มมีข้อเสนอสร้างสะพานเชื่อมอ่าวไทยกับอันดามัน มูลค่ากว่า 9 แสนล้านบาท

วันนี้ (6 ต.ค.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 5 ปีที่ผ่านมา มีการผลักดันโครงการสำคัญในอีอีซีไปแล้ว คือ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, สนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก รวมถึงท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ล่าสุดกำลังจะมีอีก 3 เมกะโปรเจกต์ มูลค่ากว่า 1.18 ล้านล้านบาท กำลังจะถูกอัดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ

โครงการท่าเรือบก จะเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ เช่น จีน สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม ส่วนไทยจะมี 3 แห่ง คือ ท่าเรือบกฉะเชิงเทรา มูลค่า 8 พันล้านบาท ท่าเรือบกขอนแก่นและท่าเรือบกนครราชสีมา 1.6 หมื่นล้านบาท



ถัดมา โครงการเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน หรือ แลนด์บริดจ์ โดยรัฐจะพัฒนาระบบการเชื่อมโยงท่าเรือน้ำลึก 2 แห่งที่ จ.ระนองและชุมพร เพื่อขนส่งสินค้าในเอเชียใต้ ซึ่งจะลดเวลาและค่าใช้จ่าย เพราะไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ทั้งนี้ต้องใช้เงินประมาณ 1.67 แสนล้านบาท ขณะที่โครงการสะพานไทย จะเชื่อมโยงอีอีซีไปสู่เอสอีซี ผ่านถนนเชื่อม จ.ชลบุรีและเพชรบุรี ระยะทาง 80-100 กิโลเมตร ประหยัดเวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง มูลค่า 9.9 หมื่นล้านบาท

รศ.วันชัย รัตนวงษ์ ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า อยากให้รัฐศึกษาให้ชัดมากกว่านี้ เพราะบางโครงการรัฐบาลอาจได้ไม่คุ้ม ไม่มีคนใช้ เช่น โครงการท่าเรือบก ซึ่งมีแผนจะก่อสร้างหลายแห่ง ส่วนโครงการแลนด์บริดจ์ ก็มีคำถามว่ามีสายเรือ สินค้า หรือความต้องการเพียงพอหรือไม่ และ จ.ระนอง จะรับเรือใหญ่ได้หรือไม่

การไฟเขียวเเลนด์บริดจ์ สะท้อนว่ารัฐอาจไม่สนใจแผนขุดคลองไทยเเล้วหรือไม่ ซึ่งถ้าเทียบ 2 โครงการ แลนด์บริดจ์ เป็นรถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์เชื่อมท่าเรือน้ำลึก ชุมพร-ระนอง ส่วนคลองไทย กว้าง 400 เมตร ลึก 30 เมตร ระยะทาง 120-135 กิโลเมตร

นายคงฤทธ์ จันทริก ผอ.บริหาร สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ระบุว่า หากเปรียบเทียบโครงการแลนด์บริดจ์ กับโครงการขุดคลองไทยเดิม คงเปรียบเทียบได้ยาก เพราะยังไม่มีความชัดเจนด้านมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและการค้า



อย่างโครงการขุดคลองไทยเดิม สรท.เคยมีผลการศึกษาว่าแม้จะพัฒนาให้เชื่อมกัน แต่ค่าขนส่งสินค้าทางเรือจากตะวันออกไปสู่ภาคใต้ อยู่ที่ 38,000 บาทต่อเที่ยว ขณะที่การขนส่งไทยไปสหภาพยุโรปก็มีต้นทุนเท่ากัน ดังนั้นรัฐควรศึกษาจนมีข้อมูลทางเศรษฐกิจที่บ่งชี้ได้ว่าจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ก็จะเป็นประโยชน์

ขณะที่ธนิต โสรัตน์ นักธุรกิจด้านโลจิสติกส์ ระบุว่า "โครงการเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน และโครงการสะพานไทย" แค่คิดก็ผิดแล้ว เนื่องจากการขนส่งสินค้าของไทย ร้อยละ 70 อยู่ทางฝั่งตะวันออก และท่าเรือระนองตั้งอยู่บนภูมิศาสตร์แบบภูเขา ซึ่งไม่เหมาะกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่จะเข้าไปรับสินค้าจากท่าเรือ

โดยเฉพาะโครงการสะพานไทย ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีก่อสร้างจากจีน และต้องสร้างสะพานสูงขนาดตึก 3-4 ชั้น เป็นระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร อาจทำให้รัฐบาลได้ "แลนด์มาร์ก" มากกว่าโครงสร้างพื้นฐาน หลังประเมินว่าสายการเดินเรือต่างประเทศอาจไม่ใช้บริการ เพราะค่าขนส่งทั้งกระบวนการอาจสูงกว่า 40,000-50,000 บาท



นายธนิตไม่เชื่อว่า 3 เมกะโปรเจกต์นี้ จะทำให้ไทยกลับมาเนื้อหอมในสายตานักลงทุนต่างชาติ หลังปัญหาการเมืองไทยไม่แน่นอนมานานกว่า 10 ปี อีกทั้งยังมีปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์และตลาดในประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม อินโดนีเซีย และบังกลาเทศแล้ว

มีข้อเสนอว่า หากรัฐบาลต้องการผลักดันโครงการขนาดใหญ่เพื่อประโยชน์ชาติ ควรทบทวนโครงการแลนด์บริจน์ และสะพานไทย แล้วหันกลับมาศึกษาเรื่องอื่น เช่น โครงการขนส่งทางชายฝั่ง ควบคู่กับการพัฒนาท่าเรือเอนกประสงค์ใน จ.นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยีก่อสร้างของไทย และมีการจ้างงานในพื้นที่ได้จริง ช่วยกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่น


https://news.thaipbs.or.th/content/297112

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:44


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger