#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง โดยในภาคเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส สำหรับยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 2-11 องศาเซลเซียส และยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-13 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงในระยะนี้ไว้ด้วย อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ปกคลุมประเทศมาเลเซียได้เคลื่อนลงสู่ช่องแคบมะละกาแล้ว แต่ยังคงทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ตอนล่างฝั่งตะวันออก ระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับพายุไต้ฝุ่น "ราอี" ในทะเลจีนใต้ตอนกลาง ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 19-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย 19 - 20 ธ.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาว กับมีลมแรง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก จะมีอุณหภูมิจะลดลง 3?5 องศาเซลเซียส ส่วนภาคเหนือ และภาคกลาง อุณหภูมิจะลดลง 2?4 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 21 - 24 ธ.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น 2?4 องศาเซลเซียส กับมีหมอกบางในตอนเช้า ในขณะที่คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนจะเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ทำให้มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นบางแห่งในบริเวณดังกล่าว ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 19 - 22 ธ.ค. 64 หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณ อ่าวเบงกอลจะเคลื่อนเข้าปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง และทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "ราอี" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง และมีแนวโน้มเคลื่อนไปทางเกาะไหลำ ประเทศจีน ในช่วงวันที่ 19 - 21 ธันวาคม 2564 และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับในระยะถัดไป โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 19-22 ธ.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก สำหรับชาวเรือบริเวณภาคใต้ตอนล่างควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ หลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ในช่วงวันที่ 19 - 20 ธ.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 21-24 ธ.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุไต้ฝุ่น "ราอี"" ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2564 เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (19 ธ.ค. 2564) พายุไต้ฝุ่น "ราอี" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด12.9 องศาเหนือ ลองจิจูด 111.7 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง มีแนวโน้มเคลื่อนไปทางเกาะไหหลำ ประเทศจีน ในช่วงวันที่ 19 - 21 ธันวาคม 2564 และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับในระยะถัดไป โดยพายุไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เปรียบเทียบความคุ้มค่า "แลนด์บริดจ์-คลองไทย" แม้อาจจะปรับเปลี่ยนโครงการที่แตกต่างกัน เช่น การขุดคลองไทย หรือ การสร้างแลนด์บริดจ์เชื่อม 2 ฝั่ง แต่นักวิชาการ เห็นตรงกันว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดโครงการ แลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง น่ามีมากกว่า เพราะการขุดคลองขนาดใหญ่ ผ่านหลายจังหวัดอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ "แลนด์บริดจ์ชุมพร - ระนอง" และ "คลองไทย" เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์คล้ายกันคือเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน ลดระยะเวลาการขนส่งสินค้า พร้อมชิงความได้เปรียบเส้นทางเดินเรือ "คลองไทย" เป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่เสนอให้ศึกษาและก่อสร้างมาหลายครั้ง มีทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้านจากหลายฝ่าย เส้นทาง คลองไทย จะผ่าน จ.สงขลา จ.พัทลุง จ.ตรัง จ.นครศรีธรรมราช และ จ.กระบี่ ระยะทาง 135 กม.ความกว้าง 300 - 400 ม. ความลึก 25 - 35 ม. คาดว่า จะช่วยย่นระยะทางการเดินเรือได้ 1,200 ? 3,500 กม. การศึกษายังเสนอให้มีการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษคลองไทยขึ้นบริเวณปากคลองไทย รวมงบประมาณ 2 ล้านล้านบาท นำมาสู่การถกเถียงเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ยืนยันว่า คลองไทย จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นแน่นอน หากเปรียบเทียบโครงการแลนด์บริดจ์ และ คลองไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ความสนใจกับแลนด์บริดจ์มากกว่า เพราะจะมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ จ.ชุมพร และ จ.ระนอง ด้วยระบบขนถ่ายสินค้าออโตเมชัน โดยสร้างรถไฟทางคู่และมีมอเตอร์เวย์เชื่อมทั้ง 2 ฝั่ง ประหยัดเวลาการขนส่งได้อย่างน้อย 2-3 วัน ด้าน ผศ.พิสิษฐ์ เพ่งอัมพร นักวิชาการอิสระด้านโลจิสติกส์ จ.ชุมพร ที่ติดตามการก่อสร้างในภาคใต้มานาน กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง เพราะเห็นโอกาสทางการค้า การขนส่ง ขณะที่การขุดคลองไทยต้องใช้เงินลงทุนมากและใช้เวลานาน สำหรับลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ที่คาดว่าจะสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ และ คลองไทย นายศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มองว่า แตกต่างกัน เช่น ชุมพร มีระดับน้ำทะเลที่ลึก การเคลื่อนตัวของทรายก็น้อยกว่า แถบ จ.นครศรีธรรมราช หรือ จ.สงขลา ซึ่งจะมีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมากกว่า นายศักดิ์อนันต์ ระบุว่า โครงการคลองไทย จะทำลายระบบนิเวศน์ และสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ เช่น ชายฝั่ง จ.ตรัง ที่มีความสมบูรณ์มาก ทั้งแนวป่าชายเลน และมีแนวหญ้าทะเล ขณะที่ แลนด์บริดจ์ ยังมีโอกาสเกิดขึ้รและสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศน้อยกว่า https://news.thaipbs.or.th/content/310784
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
4 ทิศสิ่งแวดล้อมโลก หลัง COP26 .................... โดย กองบรรณาธิการ GREENNEWS OPINION Rocket Media Lab ชวนส่องทิศสิ่งแวดล้อมโลกหลังเวทีเจรจาโลกร้อน COP26 ผ่านข้อมูลการลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับ 4 ประเด็นสำค้ญ : ยุติการทำลายป่า ลดการปล่อยมีเทน หนุนพลังงานหมุนเวียน และ หยุดพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหิน ที่จะนำไปสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภาพ: Rocket Media Lab ยุติการทำลายป่า จาก 197 ประเทศที่เข้าร่วมการประชุม มี 140 ประเทศร่วมลงนามในข้อตกลง Glasgow Leaders? Declaration on Forests and Land Use เพื่อยุติการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใน 2030 ทั้งนี้ ประเทศที่ลงนาม 140 ประเทศ มีการสูญเสียพื้นที่ป่าธรรมชาติ/พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ในปี 2020 รวมกัน 218,932.27 ตร.กม. คิดเป็น 93% (ไม่ปรากฏข้อมูล 9 ประเทศ) และประเทศที่ไม่ลงนาม 57 ประเทศ มีการสูญเสียพื้นที่ป่าธรรมชาติ/พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ในปี 2020 รวมกัน 16,069.86 ตร.กม. คิดเป็น 7% (ไม่ปรากฏข้อมูล 22 ประเทศ) โดยประเทศที่สูญเสียพื้นที่ป่าธรรมชาติ/พื้นที่ปกคลุมด้วยต้นไม้มากที่สุด ในปี 2020 ใน 5 อันดับแรก (รวม 138,500 ตร.กม.) คือ รัสเซีย (54,400 ตร.กม.) บราซิล (32,000 ตร.กม.) ออสเตรเลีย (23,100 ตร.กม.) สหรัฐอเมริกา (15,900 ตร.กม.) และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (13,100 ตร.กม.) ร่วมลงนามทั้งหมด ขณะที่ไทยซึ่งสูญเสียพื้นที่ป่าธรรมชาติ/พื้นที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ 1,190 ตร.กม. ไม่ได้ร่วมลงนาม จะเห็นได้ว่าในประเด็นเรื่องการทำลายป่าไม้ ประเทศส่วนใหญ่ลงนามในข้อตกลงเพื่อผลักดันให้เกิดการยุติการทำลายป่า และเป็นข้อตกลงใหญ่ในการประชุม COP26 ที่มีการลงนามร่วมมากที่สุด ที่สำคัญประเทศที่เผชิญปัญหาการสูญเสียป่าไม้จากการทำลายป่าในลำดับต้นๆ ของโลกลงนามร่วมในข้อตกลงนี้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน ลดการปล่อยมีเทน จาก 197 ประเทศ มี 105 ประเทศร่วมลงนามใน Global Methane Pledge เพื่อลดการปล่อยมีเทน ลง 30% ในปี 2030 แม้จำนวนประเทศที่ลงนามกับไม่ลงนามจะมีสัดส่วนต่างกันไม่มาก แต่จากข้อมูลการปล่อยก๊าซมีเทนในปี 2020 จะพบว่า 105 ประเทศที่ร่วมลงนาม มีการปล่อยก๊าซมีเทนคิดเป็นเพียง 42.4% ของทั้งโลก (ไม่ปรากฏข้อมูล 71 ประเทศ) ส่วน 92 ประเทศที่ไม่ได้ลงนาม พบว่าปล่อยก๊าซมีเทน 55.8% ของทั้งโลก (ไม่ปรากฏข้อมูล 61 ประเทศ) โดยเมื่อดูไปที่ 5 อันดับแรกของประเทศที่ปล่อยก๊าซมีเทนมากสุด จะพบว่า มีสัดส่วนมากถึง 54% ของทั้งโลก ได้แก่ รัสเซีย (14,804 กิโลตัน) สหรัฐอเมริกา (12,311 กิโลตัน) อิหร่าน (6,360 กิโลตัน) อิรัก (4,284 กิโลตัน) เติร์กเมนิสถาน (3,543 กิโลตัน) ซึ่งกลับไม่มีใครลงนามเพื่อลดการปล่อยมีเทนเลยนอกจากอิรัก ส่วนไทยที่ปล่อยมีเทน 288 กิโลตัน ก็ไม่ได้ลงนามเช่นกัน ทั้งนี้ เครือข่ายความร่วมมือเพื่อลดก๊าซมีเทน (Global Methane Pledge) ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในการประชุม COP26 นำโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา โดยตั้งเป้าว่าจะลดการปล่อยก๊าซให้ได้ 30% ภายในปี 2030 ที่ผ่านมาก๊าซมีเทนอาจไม่ได้รับความสนใจมากนักเมื่อเทียบกับก๊าซคาร์บอนในฐานะที่เป็นก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตามมีงานศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์มากขึ้นที่ชี้ให้เห็นว่า ควรจะให้ความสำคัญกับการควบคุมก๊าซมีเทนซึ่งเป็นตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 รองจากคาร์บอนด้วย นอกจากนี้ยังมีรายงานที่ชี้ให้เห็นว่าก๊าซมีเทนถูกปล่อยออกมาในปริมาณมากจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งจากภาคเกษตรกรรม และข้อเสนอเชิงนโยบายของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ระบุว่า มีเทนเป็นหนึ่งในก๊าซที่มีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น 1.1 องศาเซลเซียสนับจากจากทศวรรษ 1850 หนุนพลังงานหมุนเวียน จาก 197 ประเทศที่เข้าร่วมการประชุม มี 88 ประเทศร่วมลงนาม Green Grids Initiative ? One Sun One World One Grid: ONE SUN DECLARATION มีเป้าหมายเพื่อส่งมอบพลังงานสะอาดที่เพียงพอต่อความต้องการของทุกคนบนโลก โดยจะลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมและพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ จากข้อมูลปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในปี 2019 จะพบว่า ประเทศที่ลงนาม 88 ประเทศ ผลิตได้รวมกัน 2,145,492 กิกะวัตต์ชั่วโมง หรือแค่ 31% ของทั้งหมด (ไม่ปรากฏข้อมูล 1 ประเทศ) ขณะที่อีก 109 ประเทศที่ไม่ลงนามว่าจะช่วยกันผลักดันการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนนั้น ผลิตได้มากกว่าเท่าตัว คือ 4,799,808 กิกะวัตต์ชั่วโมง หรือ 69% (ไม่ปรากฏข้อมูล 6 ประเทศ) ขณะที่ 4 ประเทศท้ายตารางที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้น้อยที่สุดในโลก อยู่ที่ 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง ได้แก่ ซูดานใต้ นาอูรู บรูไน และจิบูตี กลับร่วมลงนามเกือบหมดยกเว้นเพียงบรูไนเท่านั้น ขณะที่ไทยที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ 47,243 กิกะวัตต์ชั่วโมงไม่ได้ลงนามด้วย ทั้งนี้ Green Grids Initiative ? One Sun One World One Grid: ONE SUN DECLARATION (GGI-OSOWOG) ริเริ่มโดยนเรนทรา โมดิ นายกรัฐมนตรีอินเดียในการประชุมพันธมิตรพลังงานแสงอาทิตย์ระหว่างประเทศ (ISA) ในปี 2018 ต่อมารวมกับ Green Grids Initiative (GGI) สหราชอาณาจักรนำโดยบอริส จอห์นสัน โครงการนี้ตั้งเป้าไปที่การสร้างความร่วมมือกันระหว่างประเทศผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้ได้ 24 ชั่วโมง และส่งไปยังพื้นที่ซึ่งต้องการไฟฟ้า หยุดพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหิน จาก 197 ประเทศ มี 45 ประเทศ ร่วมลงนาม Global Coal to Clean Power Transition Statement โดยตกลงร่วมกันที่จะเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานสะอาด ยกระดับเทคโนโลยีและนโยบายเพื่อบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน รวมถึงหยุดออกใบอนุญาตและหยุดสร้างโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ไม่มีการกักเก็บคาร์บอน และภาครัฐหยุดสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าถ่านหิน ทั้งนี้ เมื่อดูข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินในปี 2020 ของ 45 ประเทศที่ร่วมลงนาม พบว่าทั้งหมดใช้ไป 11% ของทั้งโลกเท่านั้น (ไม่ปรากฏข้อมูล 14 ประเทศ) ขณะที่ 152 ประเทศที่ไม่ร่วมลงนามนั้นใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินไปถึง 85.80% (ไม่ปรากฏข้อมูล 112 ประเทศ) และเมื่อดูเจาะไปที่ 5 อันดับแรกของประเทศที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินมากสุดในปี 2020 ซึ่งใช้รวมกันถึง 77.30% ก็พบว่าไม่มีใครร่วมลงนามเลย ทั้ง จีน (54.30%) อินเดีย (11.60%) สหรัฐฯ (6.10%) ญี่ปุ่น (3.00%) และ แอฟริกาใต้ (2.30%) ส่วนไทยซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหิน 0.5% ไม่ได้ร่วมลงนามเช่นกัน โดยสรุปจาก 197 ประเทศที่เข้าร่วมการประชุม COP26 มี 13 ประเทศที่ลงนามทั้งสี่ฉบับที่ยกมา คือ แอลเบเนีย เบลเยี่ยม ไอวอรี่โคสต์ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอร์แลนด์ อิตาลี เนปาล เนเธอร์แลนด์ เซเนกัล สหราชอาณาจักรและแซมเบีย ลงนามสามฉบับ 49 ประเทศ ลงนามสองฉบับ 65 ประเทศประเทศที่ลงนามเพียงฉบับใดฉบับเดียว 49 ประเทศ และมี 21 ประเทศที่ไม่ลงนามเลย คือ อัฟกานิสถาน แอนทีกาและบาร์บิวดา บาฮามาส บาห์เรน เบลารุส โบลิเวีย กาบูเวร์ดี หมู่เกาะคุก เกาหลีเหนือ เอริเทรีย อิหร่าน ลาว เลโซโท กาตาร์ หมู่เกาะโซโลมอน แอฟริกาใต้ ปาเลสไตน์ ทาจิกิสถาน ไทย ติมอร์-เลสเต และเยเมน นอกจากข้อตกลงข้างต้น ยังมีข้อตกลงอื่นๆ อาทิ ผู้นำกว่า 40 ประเทศเห็นชอบในแผนที่เสนอโดยสหราชอาณาจักร ที่จะเร่งให้เกิดเทคโนโลยีสะอาดที่ราคาไม่แพงภายในปี 2030 ซึ่งรวมถึงยานพาหนะที่ปลอดมลพิษ ขณะที่สถาบันการเงินราว 450 แห่งตกลงที่จะสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 45 ประเทศรับปากว่าจะทำให้การทำฟาร์มมีความยั่งยืนมากขึ้นและลงทุนในแนวทางด้านการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และ 22 ประเทศลงนามในคำประกาศที่จะสร้างเส้นทางเดินเรือทางทะเลปลอดมลพิษ สุดท้าย ที่ประชุมสามารถบรรลุข้อตกลงด้านภูมิอากาศของโลกฉบับล่าสุดคือ ข้อตกลงกลาสโกว์ว่าด้วยการแก้ไขสภาพอากาศ (Glasgow Climate Pact) ที่ประเทศผู้ร่วมเจรจาทั้งหมดให้ความเห็นชอบเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ โดยนับเป็นครั้งแรกที่มีการกล่าวถึงถ่านหินและพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในที่ประชุม COP มีข้อถกเถียงประเด็นการเลิกใช้พลังงานจากถ่านหินในแง่ที่ว่า ประเทศที่ยากจนกว่ามองว่า การเลิกใช้ถ่านหินไม่ยุติธรรมสำหรับตนเองที่กำลังพัฒนาเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศร่ำรวยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมานานแล้ว อินเดียซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินมากเป็นอันดับ 2 รองจากจีนให้เหตุผลว่า นับตั้งแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรมชาติตะวันตกอื่นๆ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากมาก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าต้องเลือกระหว่างการขาดแคลนพลังงานกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเทศยากจนเลือกพลังงานที่ถูก นอกจากนี้มีประเด็นว่าระหว่างการร่างข้อตกลง จีนและอินเดียต้องการแก้คำจากการยุติการใช้ถ่านหิน (phasing-out) เป็นค่อยๆ ลด (phasing-down) การใช้ถ่านหินแทน ซึ่งสุดท้าย ที่ประชุมเห็นชอบตามที่มีการทักท้วง ภาพ: Rocket Media Lab ไกลแค่ไหนจะใกล้ Net Zero ก่อนหน้านี้ในข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกำหนดให้แต่ละประเทศต้องปรับแก้แผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions) หรือ NDCs เพื่อลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกภายในปี 2030 ทุก 5 ปี แต่ในการประชุมที่กลาสโกลว์ครั้งนี้ ได้ระบุให้แต่ละชาติปรับแผนถี่ขึ้น จากเดิมที่ต้องเสนออีกครั้งในปี 2025 เป็นเสนอในการประชุมปีถัดไปที่อียิปต์ เพื่อปรับแผนให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้ แผน NDCs ล่าสุดของแต่ละประเทศขณะนี้ มี 6 ประเทศที่ประกาศว่าตนเองประสบความสำเร็จในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์แล้ว คือ เบนิน กายอานา ไลบีเลีย กัมพูชา มาดากัสการ์ และภูฏาน ขณะที่มี 4 ประเทศที่ประกาศแผนว่าจะสำเร็จเร็วที่สุดคือในปี 2030 คือ กินี-บิสเซา มัลดีฟส์ บาบาโดส และบังกลาเทศ ส่วนปีที่มีประเทศประกาศว่าจะทำให้สำเร็จมากที่สุดคือ ปี 2050 โดยมีถึง 107 ประเทศ รวมถึงไทย และปีที่ไกลที่สุดที่มีการประกาศคือ 2070 โดยอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเป็นเจ้าของเป้าหมายนี้ https://greennews.agency/?p=26890
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|