#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ลมฝ่ายตะวันออกพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคกลาง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน และด้านตะวันตกของประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคกลางตอนล่าง รวมถึงมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ลมกระโชกแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้น และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 21 ? 22 ก.ย. 66 ลมฝ่ายตะวันออกพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออกและอ่าวไทย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน และด้านตะวันตกของประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทศไทยมีฝนฟ้าคะนอง และมีลมกระโชกแรงกับมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก โดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคใต้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 23 ? 27 ก.ย. 66 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่างรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก โดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคใต้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน มีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร และอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและลมกระโชกแรงบางแห่ง และภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
"ดำน้ำสกูบา" ต้องว่ายน้ำเป็นไหม เตรียมตัวอย่างไรบ้าง การดำน้ำสกูบา ต้องเริ่มต้นอย่างไรถึงจะทำกิจกรรมนี้ได้ พร้อมเทคนิคการเรียน และการเตรียมตัว ต้องทำอย่างไรบ้าง การดำน้ำสกูบา เป็นหนึ่งกิจกรรมใหม่ที่น่าสนใจอย่างมาก กิจกรรมที่จะพาคุณเปิดประสบการณ์โลกใต้ทะเลในรูปแบบใหม่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม การลงไปในน้ำลึก สามารถพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ในท้องทะเลใต้น้ำ เช่น สัตว์ทะเลใหม่, ปะการังแปลกๆ ที่ไม่เคยพบเห็น รวมถึงประสบการณ์จากทักษะที่สามารถนำมาต่อยอดในการใช้ชีวิตได้ แถมยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่อาจจะเปิดโลกการเดินทางของคุณไปมากกว่าเดิม เรียนดำน้ำสกูบา ต้องว่ายน้ำเป็นหรือไม่? การดำน้ำสกูบา ไม่ได้จำเป็นว่าต้องว่ายน้ำเป็นเสมอไป เนื่องจากการดำน้ำสกูบานั้น มีอุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยในการทรงตัวในน้ำ และลอยตัวในน้ำได้ เพียงผู้เรียนต้องผ่านการฝึกฝน เช่น การตีขาในน้ำ การหายใจ การทรงตัว และใช้อุปกรณ์ทั้งหมดได้อย่างช่ำชอง รวมถึงรู้กฎในการดำน้ำลึก และผ่านบททดสอบจากโรงเรียนสอน และได้ใบอนุญาตในการดำน้ำลึกได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคุณมีทักษะการว่ายน้ำด้วย ก็อาจจะทำให้คุณเก่งได้ไวยิ่งขึ้น ผ่านบททดสอบการเรียนได้ง่ายกว่า และสามารถพัฒนาตัวเองไปในระดับที่สูงกว่าเดิมได้ อย่างไรก็ตาม กิจกรรมการดำน้ำแค่เบสิกพื้นฐานในขั้นแรก ก็เพียงพอสำหรับการออกเดินทางผจญภัยในโลกใต้น้ำได้แล้ว หรือหากเรายังไม่แน่ใจ สามารถลงเรียนคอร์ส Try scuba เพื่อทดสอบตัวเองได้เช่นกัน วิธีเตรียมตัวก่อนที่จะเรียนดำน้ำสกูบา เลือกโรงเรียนสอนดำน้ำสกูบาที่ชื่นชอบ โรงเรียนสอนดำน้ำสกูบามีมากมายหลายสถานที่ ซึ่งผู้ที่ต้องการเรียนสามารถเลือกเรียนได้ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยแต่ละคอร์สเรียนจะมีกำหนดการที่แตกต่างกันออกไป ตามราคา และสถานที่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนทฤษฎีเบื้องต้น การฝึกใช้อุปกรณ์ในสระน้ำ และปิดท้ายที่ลงไดร์ฟในทะเลจริง มีสอบทฤษฎีและปฏิบัติ เลือกสถาบันที่ได้การรับรองจาก ISO และ WRSTC ประเทศไทยมีโรงเรียนสอนดำน้ำที่ได้รับการรับรองการดำน้ำสกูบาจากหลักสูตรของ PADI และ SSI ซึ่งทั้งคู่เป็นสถาบันมาตรฐานที่ใช้เรียนหลักสูตรดำน้ำสกูบาด้วยกันทั้งคู่ โดยผ่านการรับรองจาก ISO (International Organization for Standardization) และ WRSTC (World Recreational Scuba Training Council) เป็นที่เรียบร้อย เลือกสถานที่เรียนตามความเหมาะสม แน่นอนว่าการเรียนดำน้ำในแต่ละโรงเรียนที่สอน จะมีเวลากำหนดที่แตกต่าง สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเดินทางท่องเที่ยว ก็สามารถเลือกเรียนหลักสูตรดำน้ำสกูบาในกรุงเทพฯ ได้ โดยจะสามารถจัดตารางเวลาให้ตรงตามวันหยุดที่ต้องการ หรือผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวไปแล้ว มีเวลาเพียงพอที่อยากจะเรียน ก็มีให้เลือกอยู่มากมาย ส่วนใหญ่จะใช้เวลา 3-4 วันในการเรียน เพื่อให้ครบหลักสูตรก็มี เช่น ภูเก็ต ชลบุรี สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย, เกาะเต่า) และอีกมากมายหลายจังหวัดในประเทศไทย คอร์สเรียนดำน้ำ ตามความเหมาะสมและความเชี่ยวชาญ การดำน้ำสกูบามีคอร์สให้เลือกเรียนมากมาย ตามความสามารถและทักษะของตนเอง ซึ่งมีมากมายหลายประเภท แต่สำหรับผู้ที่เริ่มต้นใหม่ หรือเพิ่งเริ่มจะหัดเรียน คือ Open Water เป็นคอร์สแรกที่ทุกคนต้องผ่านการเรียนรู้ก่อนที่จะลงดำน้ำลึกจริงๆ ได้ หากใครผ่านการรับรองในคลาสเรียนนี้แล้ว สามารถไปดำน้ำได้ถึง 18 เมตร 60 ฟุต 1. Try scuba คอร์สทดลอง สำหรับผู้ที่ไม่เคยว่ายน้ำ หรือดำน้ำมาก่อน เพื่อทดสอบตัวเองว่าเรานั้นสามารถดำน้ำได้หรือไม่ 2. Open Water Diver จากที่กล่าวไปเบื้องต้น คอร์สนี้มักจะเป็นคอร์สแรกๆ สำหรับมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ในการดำน้ำมาก่อน ซึ่งเป็นคอร์สเรียนเริ่มต้นที่จะสอนพื้นฐานทั้งหมด หากจบคอร์สนี้แล้วสามารถสัมผัสกับโลกใต้น้ำได้ทันที ในความลึกไม่เกิน 18 เมตร หรือ 60 ฟุต 3. Advance Adventurer คอร์สเพิ่มขีดจำกัดความลึกให้ลงไปในระดับความลึกที่มากขึ้น จาก 18 เมตร เป็น 30 เมตร พร้อมทั้งยังได้ฝึกฝนสกิลอื่นๆ เพิ่มเติม ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกิจกรรมการดำน้ำลึก มักจะเรียบจบสูงสุดที่คอร์สนี้ ในเชิงการดำน้ำแบบสันทนาการ นอกจากนี้ยังมีคอร์สอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Stress and Rescue คอร์ส React Right คอร์ส Enrinched Air Nitrox คอร์ส Recreational Sidemount และคอร์ส Extended Range Sidemount เพื่อเสริมทักษะต่างๆ ในการดำน้ำของตนเอง รวมทั้งยังสามารถเป็นอาจารย์สอนการดำน้ำได้อย่างสมบูรณ์ ดำน้ำสกูบา ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง พักผ่อนให้เพียงพอ : การพักผ่อนมีผลอย่างมากต่อการดำน้ำ เพราะการดำน้ำนั้นใช้เทคนิคและน้ำในร่างกายค่อนข้างเยอะ ถ้าร่างกายอ่อนเพลีย สามารถทำให้เกิดอันตรายในน้ำได้ เรียนรู้เทคนิคเบื้องต้น : การมีเทคนิคเบื้องต้นทำให้เรามีความชำนาญก่อนการเรียนเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฝึกการเคลียร์หู มีความรู้เรื่องความดันอากาศ รวมทั้งเทคนิคการใช้อุปกรณ์เบื้องต้น ทำให้เราสามารถผ่านคอร์สเรียนดำน้ำสกูบาได้อย่างสบาย งดของมึนเมา : การดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำในขณะดำน้ำ เพราะการดำน้ำจะต้องใช้สติ และการควบคุมเป็นอย่างมาก รวมทั้งยังทำให้ร่างกายขาดน้ำได้อีกด้วย รู้ขีดจำกัดของตนเอง และห้ามทำผิดกฎการดำน้ำ : แน่นอนว่าการดำน้ำสกูบานั้นมีคอร์สเรียนที่จำกัดในแต่ละลำดับชั้น เราไม่สามารถทำผิดกฎ หรือฝ่าฝืนได้ เนื่องจากทักษะความชำนาญของเรายังไม่เพียงพอ และทำให้เราโดนเพิกถอนใบอนุญาตการดำน้ำได้ อย่างไรก็ตาม การฝ่าฝืนกฎต่างๆ ยังส่งผลถึงร่างกาย ที่อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ เนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/2726142
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
เปลี่ยนอวนไม่ใช้สู่ 'Marine Materials' นวัตกรรมรีไซเคิลอัปมูลค่าลดขยะทะเล ปัจจุบันปัญหาขยะไม่ได้จำกัดเฉพาะบนบก แต่ลุกลามจากบกไปสู่ทะเล ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล จากการจัดการปัญหาขยะทะเลและฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลด้วยนวัตกรรม ที่ผ่านมาในวันเก็บขยะชายหาดสากล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ร่วมกับเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) กลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้าน จ.ระยอง พันธมิตรธุรกิจ และเครือข่ายพิทักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล เดินหน้าโครงการ "Nets Up" โมเดลการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อทะเลยั่งยืน เปลี่ยนอวนประมงที่ไม่ใช้สู่ Marine Materials วัสดุทางเลือกใหม่จากนวัตกรรมรีไซเคิล เพื่อนำไปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ดังเช่น ธุรกิจสิ่งทอด้วยการขึ้นรูปเป็นเส้นด้าย ทอเป็นผืนผ้าสำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อัปไซเคิล สร้างทางเลือกใหม่ให้กับเจ้าของแบรนด์สินค้า และผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดปัญหาขยะ และสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างยั่งยืนร่วมกัน โดย "สุรชา อุดมศักดิ์" ประธานเจ้าหน้าที่สายงานนวัตกรรม และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ ฉายภาพถึง Nets Up โมเดลที่เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวทาง ESG เน้นด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการพัฒนานวัตกรรมรีไซเคิล โดยนำความเชี่ยวชาญด้านเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง หรือ High Quality PCR มาพัฒนาเป็น Marine Materials วัสดุรีไซเคิลจากอวนประมงไม่ใช้ เป็นทางเลือกใหม่เพื่อความยั่งยืน โมเดล Nets Up เชื่อมโยง Value Chain ครบวงจร โดยบูรณาการทุกภาคส่วนนับแต่ต้นนํ้าถึงปลายนํ้า เช่น การลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วยการบริหารจัดการขยะทะเล การส่งเสริมการจัดการอวนประมงไม่ใช้ไม่ให้หลุดรอดออกสู่ทะเล พัฒนานวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอวนประมงไม่ใช้ การดำเนินการของธนาคารขยะชุมชน สร้างเครือข่ายประมงพื้นบ้าน จิตอาสาและองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยนำร่องโมเดลในพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดระยองและมีแผนขยายโครงการไปทั้ง 23 จังหวัดริมชายฝั่งทะเลประเทศไทย "โครงการนี้เป็นการผสานความร่วมมือร่วมกัน เชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าครบวงจร เริ่มจากเก็บรวบรวมอวนประมงที่ไม่ใช้นำมาทำความสะอาด คัดแยก มีระบบการรับซื้อที่เป็นธรรมผ่านธนาคารขยะชุมชนโดยมีแอปพลิเคชันคุ้มค่าเป็นเครื่องมือช่วยเก็บและบันทึกข้อมูลการซื้อขาย มีกระบวนการรีไซเคิลด้วยนวัตกรรมขั้นสูงผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล และต่อยอดพัฒนาเป็น Marine Materialsตามความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม" สำหรับอวนประมงไม่ใช้ หากตกไปอยู่ในท้องทะเล นอกจากใช้เวลาย่อยสลายนานทั้งยังมีโอกาสทำให้สัตว์นํ้าเข้าไปติดอยู่ในอวน แต่หากถูกทิ้งกองไว้ก็จะกลายเป็นขยะหรือถูกส่งไปกำจัดนำไปฝังกลบ เผา ฯลฯ จากโครงการฯ ในช่วงเริ่มต้น โครงการรับซื้ออวนปูที่ใช้งานไม่ได้จากชาวประมงในชุมชน โดยมีกลุ่มนำร่อง 10-12 ชุมชนในพื้นที่ระยอง โดยวัสดุรีไซเคิลจากอวนประมงที่ไม่ใช้ที่นำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อัปไซเคิลโดยที่นำมาทำเป็นเสื้อ เสื้อหนึ่งตัวใช้อวนหนึ่งปาก ช่วยการจัดการอวนประมงไม่ใช้กลับมามีคุณค่า มีมูลค่า ลดปัญหาขยะในทะเล ทั้งเพิ่มเป็นทางเลือกให้กับแบรนด์สินค้า และผู้บริโภคที่รักษ์สิ่งแวดล้อม "อวนที่ไม่ใช้ก่อนนำมาเข้าสู่กระบวนการจะทำความสะอาดก่อน จากนั้นตัดบดย่อยเป็นชิ้นเล็กก่อนเปลี่ยนไปสู่กระบวนการทำเส้นใย โดยเม็ดพลาสติกจากอวนมีสีสวย มีความเข้ม แต่เมื่อทำเป็นเส้นใยสีจะอ่อนลง" ทางด้าน กาหลง จงใจ ประธานกลุ่มประมงบ้านพลา หาดพลา หนึ่งในกลุ่มนำร่องที่เข้าร่วมโครงการฯ ร่วมบอกเล่าโดยกลุ่มเราทำประมงเรือเล็กพื้นบ้าน วางอวนปูเป็นหลัก ซึ่งอายุการใช้งานของอวนประมงแต่ละครั้งจะใช้ได้ประมาณหนึ่งถึงสองเดือนต่อครั้ง จากนั้นจะตัดเลาะเปลี่ยนเนื้ออวน นำส่วนที่เป็นตาข่ายออกและเข้าเนื้อใหม่ ทั้งนี้อวนหนึ่งผืนจะมีทั้งเชือกที่เป็นตะกั่วและส่วนที่เป็นทุ่น อวนที่ต้องตัดออกจะมีนํ้าหนักประมาณหนึ่งกิโลกรัม แต่ละลำจะมีหลายกองก็จะรวมกลุ่มกันนำไปขายโดยเงินที่ได้จะนำกลับมาซื้อเนื้ออวน ช่วยลดค่าใช้จ่าย ทั้งได้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรคุ้มค่านำอวนประมงที่ไม่ใช้นำกลับมาสร้างคุณค่า เพิ่มมูลค่านำกลับมาเป็นเสื้อได้สวมใส่ ทั้งได้ร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมทางทะเลยั่งยืน.... https://www.dailynews.co.th/news/2733896/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
จีน ประกาศข่าวดี ทดลองผลิตไฟฟ้าจากความร้อนมหาสมุทร สำเร็จแล้ว วิศวกรอาวุโสของสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาดังกล่าว เผยว่า การทดสอบนี้ เป็นการตรวจสอบความอยู่รอดของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากมหาสมุทร รวมถึงความสามารถในการใช้งานจริง ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาและใช้พลังงานความร้อนจากมหาสมุทร เมื่อ อุณหภูมิมหาสมุทรสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน นี่อาจเป็นโอกาสในการแปลงความร้อนเหล่านั้น ให้กลายเป็นพลังงาน ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรของจีนได้พัฒนาอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากความร้อนในมหาสมุทร บริเวณทะเลจีนใต้ได้สำเร็จ เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าดังกล่าว เป็นผลงานการพัฒนาโดยสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาทางทะเลแห่งกว่างโจว ภายใต้การควบคุมโดยตรงของสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งประเทศจีน ซึ่งอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้านี้ สามารถผลิตไฟฟ้าได้เป็นเวลานาน 4 ชั่วโมง 47 นาที สร้างผลผลิตไฟฟ้าสูงสุด 16.4 กิโลวัตต์ แม้กำลังการผลิตดูเหมือนจะไม่มากนัก แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตกระแสไฟฟ้าจากแหล่งธรรมชาติ และเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่น่าสนใจ ปัจจุบัน การเดินเรือในมหาสมุทรมีการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิลเป็นจำนวนมาก ต่อการเดินเรือหนึ่งรอบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา ทำให้โลกของเราร้อนขึ้น ดังนั้น หากการเดินเรือสามารถสร้างไฟฟ้าด้วยจากแหล่งธรรมชาติรอบเรือได้ ก็อาจจะช่วยประหยัดค่าพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนได้ในระยะยาว นายหนิงโป วิศวกรอาวุโสของสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาดังกล่าว เผยว่า การทดสอบนี้ เป็นการตรวจสอบความอยู่รอดของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากมหาสมุทร รวมถึงความสามารถในการใช้งานจริง ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาและใช้พลังงานความร้อนจากมหาสมุทร ตั้งแต่การทดสอบบนบก สู่การใช้งานนอกชายฝั่ง ทั้งนี้ พลังงานความร้อนจากมหาสมุทร สร้างมาจากความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างพื้นผิวและน้ำลึกมาผลิตไฟฟ้า และใช้เป็นพลังงานหมุนเวียน โดยนายหนิงโปกล่าวว่า จีน มีแหล่งสำรองพลังงานความร้อนจากมหาสมุทรเป็นจำนวนมาก แต่การวิจัยที่เกี่ยวข้องก่อนหน้านี้ อยู่แค่ภายในห้องปฏิบัติการและการทดสอบบนบกเท่านั้น ซึ่งในอนาคต นวัตกรรมดังกล่าว อาจกลายมาเป็นแหล่งพลังงานจากธรรมชาติใหม่ของจีน ในอนาคตการเดินเรือของจีนอาจมีการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ลงไป เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในอนาค รวมถึงเป็นก้าวสำคัญของนวัตกรรมใหม่ ๆ ของพลังงานที่เราจะสามารถผลิตขึ้นได้อีกในอนาคต https://www.nationtv.tv/gogreen/378930956
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
แพลงก์ตอนบลูม: ท้องทะเลชลบุรี กำลังกลายเป็น "ขตแห่งความตาย" ? ที่มาของภาพ,REUTERS ชายหาดบางแสน จ.ชลบุรี แหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุง ที่ผู้คนเลือกเดินทางพักผ่อนช่วงวันหยุดยาว หรือสุดสัปดาห์ มาวันนี้ น้ำทะเลแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกต มองผิวเผินอาจดูแปลกตา แต่เมื่อเข้าไปสำรวจใกล้ ๆ กวักน้ำขึ้นมามองให้ชัดขึ้น จะพบว่าน้ำทะเลให้ความรู้สึกเหนียวหนืด เต็มไปด้วยกลิ่นหญ้าและปลาตาย นี่คือปรากฏการณ์ "แพลงก์ตอนบลูม" หรือ "ขี้ปลาวาฬ" ที่มักเกิดทุกปี แต่ปีนี้เนิ่นน่านกว่าปกติ เพราะเกิดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค. ครอบคลุมผืนทะเลหาดบางแสน ลามไปถึงเกาะล้าน แพลงก์ตอนบลูม เกิดจากระดับสารอาหารที่ลงทะเลในปริมาณมาก จนทำให้แพลงก์ตอนบางชนิดมีปริมาณมาก และเมื่อสัตว์น้ำ โดยเฉพาะปลาและวาฬ กินแพลงก์ตอนเหล่านี้ขึ้นไป พวกมันอาจได้รับสารพิษเข้าไปในปริมาณมาก ไม่เพียงเท่านั้น แพลงก์ตอนปริมาณมหาศาล จะทำให้ออกซิเจนในทะเลเหือดหายไป ส่งผลให้ปลา หอย และสิ่งมีชีวิตทางทะเลอื่น ๆ ตาย บริเวณที่เกิดแพลงก์ตอนบลูม จึงมักถูกเรียกว่า ?เขตแห่งความตาย? กระทบต่อห่วงโซ่อาหาร ภาคการประมง และการท่องเที่ยวด้วย เพราะนักท่องเที่ยวไม่อยากลงไปเล่นน้ำ "เขตแห่งความตาย" แต่ปีนี้ แพลงก์ตอนบลูม ใน จ.ชลบุรี ถือว่ารุนแรงกว่าปกติ "มีน้ำมันผสมด้วย เห็นไหม เนี่ยน้ำมันนะ" ผศ.ดร.ธนัสพงษ์ โภควนิช อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ให้รอยเตอร์เห็นน้ำทะเลสีเขียว ที่เขาตักขึ้นมา "แบบนี้เพิ่งเคยเห็น ตั้งแต่เกิดมาเลย ปีนี้มันรุนแรงจริง ตรงนั้นเนี่ยที่เราวัดคลอโรฟิลด์ 500 (มิลลิกรัมต่อลิตร) กว่า ปกติวัดแล้วจะอยู่ที่ 50-120 มิลลิกรัมต่อลิตร" เขาอธิบายถึงระดับคลอโรฟิลด์ของน้ำทะเลที่ได้รับผลกระทบจากแพลงก์ตอนบลูม ที่ปีนี้สูงกว่าปกติหลายเท่า ขณะที่เขากำลังอธิบายถึงสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าวิกฤต ก็มีซากปลาไหลทะเลลอยตายผ่านหน้าเขาไป ผศ.ดร.ธนัสพงษ์ และทีมงาน ประเมินว่าปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมครั้งนี้ กระทบพื้นที่กว่า 1 ใน 4 ของอ่าวไทยตอนบนแล้ว พื้นที่กว่าครึ่ง น้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีเขียวจนสังเกตได้ ที่เหลือก็กลายเป็นสีน้ำตาลจากมลพิษ และซากแพลงก์ตอนที่ตาย "แพลงก์ตอนที่มันอยู่ในน้ำ มันกินสารอาหารจนหมด หรือว่ามันตายเพราะว่ามันไม่มีแสง" เขาอธิบายถึงเหตุผลว่า ทำไมแพลงก์ตอนบลูม ทำให้ออกซิเจนลดลงอย่างมาก "ซากของมันก็ตกลงพื้นท้องน้ำ แล้วก็ย่อยสลายโดยแบคทีเรีย ตอนย่อยสลายก็ทำให้ออกซิเจนในน้ำหมดไป ก็คิดว่า กระบวนการยูโทรฟิเคชันเนี่ยแหละ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้น และทำให้ปลาตายเยอะมาก ในปัจจุบัน" ความเสียหายประเมินค่าไม่ได้ ตามแนวชายฝั่งของ จ.ชลบุรี เต็มไปด้วยฟาร์มหอยแมลงภู่ และหอยนางลม กลางทะเลมากกว่า 260 แห่ง ข้อมูลจากกรมประมงเมื่อปี 2564 ระบุว่า จ.ชลบุรี ผลิตหอยแมลงภู่ได้ถึง 2,086 ตันต่อปี รวมมูลค่ากว่า 26,655,000 บาท แต่มาวันนี้ สมาคมประมงชลบุรีระบุว่า ฟาร์มหอยแมลงภู่กว่า 80% ล้วนได้รับผลกระทบจากแพลงก์ตอนบลูม "เสียหาย 100% พอเขย่า ไม่มีตัวเป็นเหลือหมดแล้ว ตายหมด ทั้งหอยนางรมด้วย" สุชาติ บัววาด ชาวประมงที่ทำอาชีพนี้มากว่า 20 ปี ใน อ.ศรีราชา ดึงผืนอวนที่เต็มไปด้วยหอยแมลงภู่ที่ตายแล้วขึ้นมาให้ดู เขาประเมินว่า ความเสียหายสำหรับฟาร์มของเขาเจ้าเดียวในปีนี้ ไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท แต่หากรวมความเสียหายฟาร์มทุกแห่งในแถบนี้ เขายอมรับว่า "ประเมินค่าไม่ได้" ผล... เอลนีโญ ? ความเสียหายจากแพลงก์ตอนบลูม ที่ยังประเมินไม่ได้ ทำให้ ผศ.ดร.ธนัสพงษ์ กำลังตรวจสอบความเชื่อมโยงของปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และปรากฏการณ์เอลนีโญ ว่ามีผลต่อการเกิดแพลงก์ตอนบลูมที่รุนแรงขึ้นหรือไม่ เขาพบว่า แพลงก์ตอนบลูมใน จ.ชลบุรี เกิดจากสาหร่ายสายพันธุ์ "น็อกติลูกา" ซึ่งเชื่อว่า เป็นสายพันธุ์สาหร่ายที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับการเกิดเอลนีโญ "ทุกคนยอมรับแล้วว่า เอลนีโญ กระบวนการที่เกิดขึ้นไกล ๆ จากมหาสมุทรแปซิฟิกมันส่งผลกระทบกับประเทศไทย" เพราะเอลนีโญ ทำให้เกิคดวามแห้งแล้ง อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น "ปีนี้เอลนีโญรุนแรง มันก็บังเอิญประกอบกับ แพลงก์ตอนบลูมที่รุนแรง" เขาชี้ แต่ยอมรับว่า ในทางวิชาการยังไม่สามารถชี้ชัดถึงความเชื่อมโยงของสองปรากฏการณ์นี้ได้ "ทุกอย่างมันกำลังจะแย่ลง ถ้าไม่ปรับตัวในการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ปรับตัวในการใช้ชีวิต ยังทิ้งน้ำเสียลงแม่น้ำ ขยะเอย... ถ้าเกิดทุกคนไม่ช่วยกัน ผมว่ามันก็เหมือนเดิม" https://www.bbc.com/thai/articles/c1dj4eelvk1o
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|