#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 22 สิงหาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 22 ? 23 ส.ค. 66 ร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านประเทศเมียนมาตอนบนและประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ส่วนในช่วงวันที่ 24 ? 27 ส.ค. 66 ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และภาคใต้ จะมีกำลังแรงขึ้นในช่วงวันที่ 25 ? 27 ส.ค. 66 ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักบางแห่ง ในช่วงวันที่ 22 ? 24 ส.ค. 66 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 25 ? 27 ส.ค. 66 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 24 ? 26 ส.ค. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
รู้จัก "วาฬ 52Hz" คืออะไร จากวาฬผู้โดดเดี่ยวสู่แรงบันดาลใจให้มนุษย์ วาฬ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง มีลำตัวขนาดใหญ่ ตามธรรมชาติจะอาศัยรวมกันเป็นฝูง ส่วน "วาฬ 52Hz" (ภาษาอังกฤษ : 52hz Whale) ต่างออกไป เนื่องจากเป็นวาฬต้องใช้ชีวิตลำพังภายใต้มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักวาฬ 52Hz ประวัติที่มาเป็นอย่างไร พร้อมทั้งความหมายดีๆ ที่ซ่อนอยู่ วาฬ 52Hz ประวัติที่มาเป็นอย่างไร วาฬเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตามธรรมชาติจะอาศัยรวมกันเป็นฝูง และสื่อสารกันผ่านคลื่นเสียง โดยทั่วไปวาฬจะสื่อสารกันด้วยคลื่นเสียงความถี่เพียง 12-52 Hz เท่านั้น วาฬ 52Hz คือ วาฬที่อยู่อย่างเพียงลำพังในมหาสมุทร โดยวาฬ 52Hz ปรากฏตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1989 เมื่อทีมงานสถาบันสมุทรศาสตร์วูดโฮล ได้พบคลื่นเสียงความถี่ 52Hz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่สูง จึงได้ออกสำรวจและพบเสียงดังกล่าวอีกครั้งในปีต่อมา ค.ศ. 1992 เรือดำน้ำของประเทศสหรัฐอเมริกาได้พบคลื่นเสียงความถี่สูงแบบเดียวกันจากเครื่องมือที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของโซเวียต ในช่วงแรกทางกองทัพคิดว่าเป็นกลยุทธ์ของฝั่งศัตรู แต่เมื่อศึกษาร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล พบว่าเจ้าของเสียงนี้คือ วาฬบาลีนขนาดใหญ่ จากการศึกษาเพิ่มเติม วาฬตัวนี้อาศัยอยู่เพียงลำพัง เนื่องจากระดับความถี่เสียงสูงกว่าปกติ ทำให้ไม่สื่อสารกับวาฬหรือฝูงตัวอื่นๆ ได้ โดยเชื่อว่าเป็นเพราะวาฬ 52Hz เป็นวาฬลูกผสมของวาฬสีน้ำเงินและวาฬฟิน ทำให้ร่างกายอาจผิดแปลกไปจากสายพันธุ์อื่นๆ และส่งผลต่อการส่งคลื่นเสียง วาฬ 52Hz มีกี่ตัว จากการสำรวจในช่วงแรกพบว่า วาฬ 52Hz อาศัยอยู่ภายใต้มหาสมุทรเพียงลำพังแค่ตัวเดียว แต่เมื่อมีการออกสำรวจและศึกษาเพิ่มเติม พบว่ามีคลื่นเสียงความถี่ 52 เฮิรตซ์ ดังขึ้น 2 จุดในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าอย่างน้อย วาฬ 52 ก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการสันนิษฐานว่าวาฬอาจไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวแต่แรก แต่ยังคงเดินทางไปกับฝูง เพียงแต่ประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่างกันและกันน้อยลงเท่านั้นเอง ส่วนคำถามที่ว่า วาฬ 52Hz ยังมีชีวิตอยู่ไหม อาจเป็นเรื่องยากที่จะตอบคำถามนี้ได้ แม้ว่าล่าสุดจะไม่มีใครได้ยินเสียงคลื่นความถี่ของวาฬ 52Hz แต่เจ้าวาฬ 52Hz อาจจะกำลังเข้าสู่ช่วงอพยพ ล่าอาหาร หรือออกผจญภัยอยู่อีกฝั่งของมหาสมุทรก็เป็นได้ วาฬ 52Hz ความหมายที่ซ่อนอยู่ วาฬ 52Hz กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเดี่ยว ถูกตีความหมายไปหลายรูปแบบ เช่น บางคนเลือกสักรูปวาฬ 52Hz รอยสักที่สื่อว่าวาฬตัวนี้จะไม่เหงาอีกต่อไป เนื่องจากมีลายสักวาฬ 52Hz เป็นเพื่อนอีกตัว หรือบางคนตีความในเชิงความรักไว้ว่า วาฬอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองอย่างเพียงลำพัง มนุษย์ก็สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองเช่นกัน จนกว่าจะเจอคลื่นความถี่หรือความรักที่เหมาะสมกับตัวเอง จากวาฬผู้โดดเดี่ยวสู่แรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน ไม่ว่าจะด้วยความเหงา หรือความเศร้า เมื่อได้ฟังเรื่องราวของวาฬ 52Hz ทำให้วาฬตัวนี้กลายที่เป็นที่พูดถึงและได้รับความสนใจจากทั่วโลก เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานอันน่าทึ่งอีกหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สารคดี The Loneliest Whale : The Search for 52 ของ Josh Zeman บทเพลง Whalien 52 ของวง BTS ศิลปิน K-Pop ชื่อดัง ภาพยนตร์วาฬ 52Hz หนังสือ และผลงานศิลปะอีกหลายชิ้น วาฬ 52Hz ปัจจุบัน กำลังเป็นที่พูดถึงในโซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์มในฐานะนิยายเรื่องหนึ่ง ด้วยเนื้อเรื่องและการถ่ายทอดเนื้อหา ทำให้มีการนำเรื่องราวส่วนหนึ่งในนิยาย 52Hz วาฬ มาแชร์ต่อจนเกิดเป็นกระแส และเกิด #52Hz_ปิดฟิคถาวร ติดเทรนด์แอปพลิเคชัน X ตามมา แม้ว่าเรื่องวาฬ 52Hz จะถูกค้นพบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 แต่ปัจจุบันเรื่องราวของวาฬตัวนี้ ยังคงถูกพูดถึง สร้างแรงบันดาลใจ สะท้อนความหมายและข้อคิดดีๆ ไว้เสมอ อ้างอิงข้อมูล : วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2718891 ****************************************************************************************************** มลพิษทางอากาศอินโดฯ วิกฤติต่อเนื่อง ปธน.ไอเรื้อรังนานนับเดือน - ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ของอินโดนีเซียกำลังป่วยจากอาการไอเรื้อรังที่เขาเป็นมานานกว่า 4 สัปดาห์แล้ว แพทย์วินิจฉัยว่าอาการไอของเขา อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ลงอย่างมาก - IQAir บริษัทเทคโนโลยีคุณภาพอากาศชั้นนำของสวิตเซอร์แลนด์ เผยดัชนีคุณภาพอากาศในกรุงจาการ์ตา พบว่าลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จนกลายเป็นเมืองหลวงที่มีมลพิษทางอากาศที่เลวร้ายที่สุดในโลก สัปดาห์ที่ผ่านมา นายซานดิอากา อูโน รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของอินโดนีเซียเปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด กำลังป่วยจากอาการไอเรื้อรังที่เขาเป็นมานานกว่า 4 สัปดาห์แล้ว โดยแพทย์วินิจฉัยว่าอาการไอของเขา อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ลงอย่างมาก ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทาง IQAir บริษัทเทคโนโลยีคุณภาพอากาศชั้นนำของสวิสเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าจาการ์ตามีมลพิษทางอากาศที่เลวร้ายที่สุดในโลก ก่อนหน้านี้ มีการเผยแพร่ข้อมูลการศึกษาที่พบว่า กรุงจาการ์ตาเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีระดับมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการรวมตัวกันของปัจจัยต่างๆ ซึ่งรวมถึงการปล่อยไอเสียรถยนต์ โครงการก่อสร้างบ้านจัดสรรและอาคารสูง การเผาไหม้ของชีวมวลและเชื้อเพลิงอื่นๆ รวมถึงถ่านหิน และการปล่อยฝุ่นละอองควันพิษในอากาศ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากโรงงานและอุตสาหกรรมในพื้นที่โดยรอบซึ่งปล่อยหมอกควันหนาทึบไปทั่วเมืองหลวง บรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมของอินโดนีเซียระบุว่า หากการไอของประธานาธิบดีโจโควี มีสาเหตุมาจากมลพิษทางอากาศจริงๆ มันก็เป็นผลมาจากความล่าช้าในการแก้ปัญหาของเขาเองในขณะที่ประชาชนจำนวนมากในกรุงจาการ์ตาต่างก็ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพจากมลพิษทางอากาศเช่นกัน รัฐบาลโจโควีแพ้คดีมลพิษทางอากาศ ในคดีฟ้องร้องเมื่อปี 2564 ประธานาธิบดีโจโควี และเจ้าหน้าที่รัฐอีก 6 คน ได้แก่ รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ รัฐมนตรีมหาดไทยและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา ผู้ว่าราชการจังหวัดชวาตะวันตก และผู้ว่าราชการจังหวัดบันเติน ที่เป็นจำเลย ได้แพ้คดีที่พวกเขาเป็นจำเลย โดยศาลตัดสินว่าจำเลยทั้ง 7 คนล้มเหลวในการทำหน้าที่ในการควบคุมมลพิษในพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อกรุงจาการ์ตาและพื้นที่โดยรอบ ทำให้พวกเขาต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศอย่างเร่งด่วน ศาลระบุว่า จำเลยได้ กระทำการที่ผิดกฎหมายโดยละเลยที่จะใช้มาตรการควบคุมมลพิษทางอากาศในกรุงจาการ์ตา โดยสั่งให้ประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นจำเลย ต้องเร่งปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมืองหลวงและแก้ไขกฎระเบียบของรัฐบาลเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศ นายอะนีส บาสเวดาน ผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาในขณะนั้น กล่าวว่า เขาจะไม่อุทธรณ์คำตัดสินและฝ่ายบริหารของเขาพร้อมที่จะดำเนินการตามคำตัดสินของศาลเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศในกรุงจาการ์ตา อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีโจโควี และรัฐมนตรีของเขาได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน แต่พ่ายแพ้อีกครั้งในปี 2565 ก่อนจะยื่นอุทธรณ์อีกครั้งในปี 2566 ขณะที่คำตัดสินขั้นสุดท้ายยังอยู่ระหว่างการพิจารณา เอลิซา สุทนัดชา หนึ่งในโจทก์ผู้ยื่นฟ้องคดีนี้กล่าวว่า รัฐบาลปฏิเสธมาตลอด 2 ปี และยังคงยื่นอุทธรณ์ต่อทุกครั้งที่แพ้ในศาล ขณะที่เป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่เธอเห็นว่ารัฐบาลอาจจะต้องเริ่มทำอะไรบางอย่างหลังจากที่ประธานาธิบดีไอเรื้อรังมาเป็นเดือนแล้ว วิกฤติมลพิษทางอากาศจาการ์ตา อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีมลพิษทางอากาศเลวร้ายที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจาการ์ตาเป็นเมืองหลวงที่มีมลพิษมากเป็นอันดับ 10 ของโลก ตามรายงานคุณภาพอากาศโลกของ IQAir เมื่อปี 2563 มลพิษทางอากาศวัดจากระดับความเข้มข้นของ PM 2.5 ซึ่งเป็นอนุภาคขนาดจิ๋วที่ประกอบด้วยสารก่อมลพิษ เช่น ซัลเฟต ไนเตรต และคาร์บอนดำ ซึ่งเป็นฝุ่นละอองมีขนาดเล็กจิ๋วพอที่จะเจาะลึกเข้าไปในปอดและอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้ เช่น มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร องค์การอนามัยโลก (World Health Organization-WHO) กำหนดมาตรฐานสำหรับ PM 2.5 ในคุณภาพอากาศแวดล้อมที่ปลอดภัยที่ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในอินโดนีเซีย มาตรฐานความปลอดภัยแห่งชาติที่กำหนดโดยรัฐบาลคือ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ในกรุงจาการ์ตา ค่าที่อ่านได้สูงกว่าทั้งสองระดับอย่างสม่ำเสมอ โดยมีความเข้มข้นของ PM 2.5 เฉลี่ยต่อปีที่ 39.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามรายงานของ IQAir การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วและความแออัดของการจราจรในระดับสูงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณภาพอากาศย่ำแย่ของจาการ์ตา จากการศึกษาของ Center for Research on Energy and Clean Air พบว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินในเขตชานเมืองก็ทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพอากาศเช่นกัน บอนดาน แอนดริยานู นักรณรงค์ด้านสภาพอากาศและพลังงานของกรีนพีซอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซีย รับทราบว่ามีชาวจาการ์ตา 600,000 คนติดเป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบหายใจส่วนต้น เริ่มตั้งแต่ช่องจมูกจนถึงเหนือกล่องเสียง (Upper respiratory infection) นับจนถึงเดือนสิงหาคมปีนี้ ทำให้กรณีนี้เป็นเหตุฉุกเฉินและจำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วน สื่อท้องถิ่นของอินโดนีเซียรายงานว่า ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจโควี สั่งให้มีการสร้างพื้นที่สีเขียวในเมืองให้มากขึ้น และสนับสนุนให้สำนักงานต่างๆ หันมาใช้สภาพการทำงานแบบผสมผสาน ระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศและที่บ้าน ซึ่งบรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวลด้อมมองว่า เป็นเพียงมาตรการที่มองข้ามโรงงานอุตสาหกรรมแล้วมาผลักภาระให้กับประชาชนในขณะที่รัฐแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เช่นเดียวกับเวลาที่รัฐบอกว่าสนับสนุนให้ประชาชนช่วยลดมลพิษด้วยการหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนรถยนต์ส่วนตัว ในขณะที่ระบบขนส่งมวลชนของอินโดนีเซียยังคงย่ำแย่และไม่มีใครอยากใช้บริการ ในขณะที่นักวิจารณ์กล่าวว่ารัฐบาลล้มเหลวในการดำเนินการแก้ปัญหามลพิษในทางปฏิบัติในกรุงจาการ์ตา แต่ขณะนี้มีแผนขนาดมหึมาที่จะย้ายเมืองหลวงของอินโดนีเซียไปยังสถานที่ใหม่ที่ปราศจากหมอกควัน ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 1,200 กิโลเมตรในจังหวัดกะลิมันตันตะวันออก บนเกาะบอร์เนียว แผนการย้ายเมืองหลวงมูลค่ามากกว่า 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้รับการเปิดเผยครั้งแรกระหว่างการปราศรัยของประธานาธิบดีโจโควี ในช่วง 1 วันก่อนวันประกาศอิสรภาพของอินโดนีเซียครั้งที่ 74 ในปี 2562 โดยระบุว่าเป็นการแก้ปัญหามากมายของกรุงจาการ์ตา ตั้งแต่มลพิษทางอากาศ ไปจนถึงการจราจรติดขัด ความแออัดยัดเยียด การสูบน้ำบาดาลที่ไร้การควบคุมซึ่งทำให้เมืองหลวงทรุดทำให้เกิดน้ำท่วม. https://www.thairath.co.th/news/fore...oogle_vignette
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
อะไรจะเกิดเมื่อเข้าสู่ยุคภาวะโลกเดือด? วันก่อนได้ฟังแถลงการณ์ของ UN ว่าขณะนี้เราคงไม่ต้องพูดกันเรื่องของภาวะโลกร้อนแล้ว ตอนได้ยินเช่นนั้น ผมรู้สึกดีใจอยู่แวบหนึ่ง แต่ต่อมา UN ได้แถลงต่อว่า เพราะขณะนี้มวลมนุษยชาตินั้น ได้ก้าวเข้าสู่ยุคภาวะโลกเดือดแล้ว!!! อ้าวแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราก้าวเขาสู่ภาวะโลกเดือดเช่นนี้ โดยถ้าโลกเข้าสู่ภาวะโลกเดือดนั้น สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ก็จะมีดังต่อไปนี้? 1.การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแบบสุดขั้ว โดยเราจะได้เจอกับฤดูร้อนที่แทบจะทำให้ใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้งไม่ได้ และต้องเจอฤดูหนาวที่เยือกเย็นแสนสาหัส อีกทั้งสองฤดูนี้ก็จะยาวนานแบบคาดเดาไม่ได้ และบางทีอาจสลับไปมาจนไม่มีฤดูที่ชัดเจนอีกต่อไป นอกจากนี้ในแต่ละช่วงเวลาก็อาจจะมีภัยพิบัติขนาดใหญ่ อาทิ มรสุม, ไฟป่า, แผ่นดินไหว, ภูเขาไฟระเบิด, น้ำท่วมใหญ่ผสมกันไปตลอดทั้งปี 2.หายนะของความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยภูมิอากาศที่สุดขั้วนี้จะทำให้พืชและสัตว์บางชนิดนั้น ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้และอาจจะสูญหายไปอย่างถาวร ส่วนบางสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ก็อาจกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ จนทำให้ธรรมชาติเสียสมดุล และระบบนิเวศเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงรวดเร็ว 3.ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการที่น้ำแข็งขั้วโลกละลายด้วยอัตราเร่ง ซึ่งไม่เพียงเหล่าหมีขั้วโลกจะไม่มีที่อยู่แล้ว ชุมชนริมน้ำ ริมทะเล และมหาสมุทรเอง ก็ต้องเตรียมตัวย้ายถิ่นฐานกันครั้งใหญ่ โดยมีผู้เคยทำนายไว้ว่ากรุงเทพฯ เองก็อาจจะจมทะเล และชายฝั่งทะเลอาตจะไปอยู่แถว ๆ เขาใหญ่ก็เป็นได้ 4.ปัญหาสุขภาพจากอุณหภูมิสุดขั้ว ยังไม่นับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่เรายังไม่เคยพบเจอกันมาก่อน รวมถึงอาจมีการบาดเจ็บกับโรคภัยที่เกิดมาจากภัยพิบัติ หรือโรคจากคุณภาพอากาศ คุณภาพน้ำ และคุณภาพอาหาร รวมถึงอากาศที่ร้อนขึ้นก็จะยิ่งเพิ่มพันธุ์ยุงต่าง ๆ ให้เติบโตขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วขึ้นมากกว่าปกติ 5.ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร เมื่อภูมิอากาศคาดเดาไม่ได้ ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ก็จะเกิดปัญหาทางการเกษตร เพราะผลผลิตจะได้ไม่สม่ำเสมอ หรือมีการแย่งชิงน้ำกันระหว่างเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และครัวเรือน? 6.ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสุดขั้วข้างต้นจะส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้น ไม่ได้มีแค่ผู้ประกอบการด้านเกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว เพราะแม้แต่ภาคการเงิน ภาคการลงทุนก็กระทบ และส่งผลกระทบจากเศรษฐกิจมหภาคไปสู่เศรษฐกิจครัวเรือน โดยทำให้รายได้และรายจ่ายครัวเรือนสั่นคลอนตามไปด้วย วิกฤติทั้ง 6 เรื่องนี้ เชื่อมโยงกันและสามารถเพิ่มอัตราเร่งปัญหาต่าง ๆ ได้ ดังนั้นภาวะโลกเดือดที่เราเผลอตัวเข้ามาอยู่กลางวงนี้ คงไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่มิได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้ เราจึงต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเร่งด่วน ส่งสัญญาณสู่ระดับนโยบายให้พวกเขาลดการดื่มช็อกมินต์ ลดการกอดกันโชว์สัญลักษณ์หัวใจคู่ และเลิกแย่งเค้กรายวัน แต่หันกลับมาใส่ใจการแก้ไขปัญหาภาวะโลกเดือดอย่างจริงจังเร่งด่วน ส่วนพวกเราประชาชนตาดำ ๆ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเตรียมแผนรับมือระดับครัวเรือน การสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และร่วมกันเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อลดภาวะโลกเดือด และควรหาเวลากลับไปทบทวน "หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" กันอย่างจริงจัง https://www.dailynews.co.th/news/2632787/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
ภาวะโลกร้อน ? ขยะ ส่งผลต่อสัตว์ทะเลลดจำนวน ภาวะโลกร้อนส่งผลให้กระแสลมที่แปรปรวน รวมถึงคุณภาพน้ำในมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงขยะที่ปนเปื้อนในทะเลที่ส่งผลทำให้สัตว์หายากในทะเล และสัตว์ที่อาศัยอาหารจากทะเลหากินยากมากขึ้น และส่งผลต่อแหล่งอาหารที่สำคัญของมนุษย์อีกด้วย สพ.ญ. ราชวดี จันทรา สัตวแพทย์ปฏิบัติการ ศูนย์วิจัยทะเลอ่าวไทยตอนบน ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก (ศวบต.) กล่าวว่า กระแสลมที่แปรปรวนนอกจากจะมีผลต่อหาดตื้นเขินแล้ว ยังส่งผลต่อการพลัดพรากของคู่แม่ลูกสัตว์ทะเลหายากที่เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ทะเลหายากท้องแก่ และป่วย จนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมลูกสัตว์ทะเลหายากเกยตื้นตาย บนชายหาด ป่าชายเลน หรือผืนทะเล อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบอย่างมากคือ คุณภาพน้ำในมหาสมุทร จากข้อมูลในระบบฐานข้อมูลกลาง และมาตรฐานข้อมูลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรธรรมชาติและชายฝั่ง กล่าวถึงพื้นที่อ่าวไทยตอนบนกว่า 50% มีคุณภาพน้ำอยู่ในสถานะ พอใช้ รองลงมาคือ สถานะเสื่อมโทรม ดี และเสื่อมโทรมมากตามลำดับ ด้วยปัจจุบันคุณภาพน้ำส่วนใหญ่ที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล ได้แก่ ปริมาณแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด สารอาหาร และปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ รวมถึงข้อมูลจากหนังสือวารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมได้กล่าวว่า ในทุกๆ ปี จะมีการปล่อยน้ำจืดจากภาคกลางลงสู่อ่าว กอไก่ อย่างในพื้นที่ปากแม่น้ำเพชรบุรี และปากอ่าวบางตะบูนเป็นจุดปล่อยสำคัญจนเกิดการสะสมของตะกอน และหลายครั้งทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำแดง ชื่อที่ชาวบ้านเรียก แต่ในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าภาวะยูโรฟิเคชั่น หรือภาวะการขาดออกซิเจนรุนแรง เป็นหนึ่งในผลจากภาวะโลกร้อน ที่เกิดจากน้ำเสียจากบ้านเรือนประชากร และเกษตรกรรมที่ถูกปล่อยรวมกัน เป็นเหตุให้เกิดการปนเปื้อนของไนโตรเจน และฟอสฟอรัสที่มีฟอสเฟส ที่เป็นอาหารของแพลงตอนพืช สาหร่าย ทำให้พืชเติบโตอย่างรวดเร็วร่วมกับปัจจัยเร่งอย่างแสงแดดเพื่อสังเคราะห์แสง และอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เจริญเติบโตได้ดี ทำให้ออกซิเจนในพื้นที่นั้นลดลงขณะที่ตอนกลางคืนพืชก็ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ทะเลเพิ่มขึ้นด้วยเมื่อพืชตายจะทำให้น้ำเน่าเสียจนเกิดสีแดงขึ้น ถึงแม้ในบริเวณนั้นจะมีอาหารแต่หากขาดออกซิเจนปลาก็ไม่สามารถเข้ามาหาอาหารได้ ถ้าเกิดเป็นบริเวณกว้างจะทำให้สัตว์หน้าดิน และปลาที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันหรือออกไปจากบริเวณนั้นไม่ทันตายได้ "คาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มความเป็นกรดให้น้ำทะเลจากการดูดซับในอากาศ และพืชในทะเลปล่อยออกมา ถูกเรียกว่า ?แฝดตัวร้าย? ของภาวะโลกร้อน ความเป็นกรดแทรกซึมอยู่ทุกที่ ในอาหารของสัตว์ที่มีโครงสร้างหินปูนในการดำรงชีวิตหรือสัตว์เปลือก ประเภท กุ้ง หอย ปู พวกมันจะสร้าง เปลือกหุ้มตัวได้ยากขึ้น" วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาสัตว์ป่า และสัตว์ทะเลหายากให้ได้รับการดูแลและคุ้มครองอย่างเป็นระบบในทุกมิติ อย่าง "มาเรียมโปรเจกต์" เพื่อเป้าหมายเพิ่มพะยูนในธรรมชาติให้ถึง 280 ตัว ภายในปี 2565 ดังนั้น กรม ทช. จึงมีแนวทางการขับเคลื่อนแผนที่สำคัญ อย่างการอนุรักษ์ และลดภัยคุกคามพะยูน และแหล่งที่อยู่อาศัย การศึกษาวิจัยพะยูน และแหล่งที่อยู่อาศัย การช่วยชีวิต และดูแลรักษาพะยูนเกยตื้น และการส่งเสริมการสร้างจิตสำนึก และการมีส่วนร่วมในการดูแลขยะพลาสติกไม่ให้ทิ้งสู่ท้องทะเล จะเป็นเหตุให้สัตว์ทะเลเสียชีวิตจากขยะพลาสติกที่เหมือนอาหารสัตว์น้ำอย่างแมงกะพรุน โดยที่ผ่านมามีการดำเนินงานแผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 ? 2565) สามารถเพิ่มจำนวนพะยูนในธรรมชาติจาก 250 ตัว เป็น 273 ตัว และในอนาคต กรม ทช.ได้ดำเนินงานแผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 ? 2568) ได้มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้สำรวจติดตามและประเมินจำนวนสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม กลุ่มประชากรไกลฝั่ง เพื่อยกระดับการปฏิบัติภารกิจในด้านการคุ้มครอง อนุรักษ์ สำรวจประเมิน และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สามารถติดตามสถานภาพ เฝ้าระวังการสูญเสีย รวมถึงศึกษาพฤติกรรมและถิ่นอาศัยของสัตว์ทะเลหายาก ผลกระทบต่างๆ จากภาวะโลกร้อน และขยะนั้นล้วนส่งผลต่อสัตว์ทุกชนิดทั้งสิ้น หากเราปล่อยปละละเลยนั้นสัตว์ต่างๆ คงลดจำนวน และสูญพันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆ และคงไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป https://www.bangkokbiznews.com/environment/1083951
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|