เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 05-06-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางพื้นที่ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน

อนึ่ง พายุโซนร้อน "ฉอย-หวั่น" (CHOI-WAN) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน หรือทางตอนใต้ของเกาะไต้หวัน คาดว่าจะมีกำลังอ่อนลงตามลำดับ โดยพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนในตอนกลางวัน กับมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 28-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 5 - 10 มิ.ย. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวตังเกี๋ยและประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยจะมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น โดยในช่วงวันที่ 7 ? 10 มิ.ย. 64 บริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 5 - 10 มิ.ย. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 05-06-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ฝูงวาฬเพชฌฆาตดำ 30 ตัว โชว์ตัวที่เกาะตอรินลา อช.หมู่เกาะสุรินทร์ ต้อนรับวันสิ่งแวดล้อมโลก



ขณะเจ้าหน้าที่สายตรวจออกลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (Smart Patrol) เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย. 64 เวลาประมาณ 14.00 น.) โดยเจ้าหน้าที่สายตรวจอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ลาดตระเวนถึงบริเวณเกาะตอรินลา ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เจ้าหน้าที่พบฝูงวาฬเพชฌฆาตดำ (False Killer Whale) ประมาณ 30 ตัว กำลังว่ายอยู่ เจ้าหน้าที่จึงบันทึกภาพไว้

ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีต้อนรับวันสิ่งแวดล้อมโลก (5 มิ.ย.2564) เนื่องจากวาฬเพชฌฆาตดำ False Killer Whale, Pseudorca crassidens, (Owen, 1846) เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ่มครองสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2562 IUCN: Least Concern / CITES: Appendix II เพศผู้ยาว 6 เมตร เพศเมียยาว 5 เมตร หนักประมาณ 2 ตัน ลูกแรกเกิดยาว 1.5-2.1 ม. รูปร่างคล้ายกับวาฬนำร่องครีบสั้นต่างกันที่ครีบหลังตั้งอยู่กึ่งกลางลำตัว และส่วนหัวไม่โหนกมาก หน้าผากกลมมน ไม่มีจะงอยปาก ครีบข้างเรียวยาว โค้งหักมุมตรงกลาง ลำตัวสีดำ ส่วนคางและท้องสีเทาจาง มีฟันกลม ซี่ใหญ่ 7-12 คู่ บนขากรรไกรบนและล่าง ครีบหลังโค้ง ปลายมนเล็กน้อย ตั้งอยู่กึ่งกลางลำตัว

วาฬเพชฌฆาตดำช่วงวัยเจริญพันธุ์อายุ 8-14 ปี ตั้งท้องนาน 12-14 เดือน และทิ้งระยะห่างทุกๆ 3-4 ปี ตัวผู้อายุยืน 57 ปี ส่วนตัวเมีย 62 ปี อยู่รวมฝูงตั้งแต่ 10-60 ตัว แต่บางครั้งอาจจะมากกว่านี้ ชอบกระโดด และมักรวมฝูงอยู่กับโลมาปากขวดหรือโลมาชนิดอื่น

ในประเทศไทยพบในธรรมชาติบริเวณเกาะสุรินทร์ เกาะสิมิลัน จ.พังงา และเมื่อปี พ.ศ. 2554 พบบริเวณเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี พบซากเกยตื้นที่ จ.ตราด จันทบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ภูเก็ต และกระบี่ และการเกยตื้นหมู่ประมาณ 30 ตัว ที่เกาะราชาใหญ่ จ.ภูเก็ต เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551

สำหรับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 29 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา มีเนื้อที่ประมาณ 84,375 ไร่ หรือ 135 ตารางกิโลเมตร


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9640000054214


*********************************************************************************************************************************************************


เดอะโคคา-โคล่า คัมปะนี ผนึกกำลัง The Ocean Cleanup เดินหน้าทำความสะอาดแม่น้ำ 15 แห่งทั่วโลก ป้องกันการรั่วไหลของขยะพลาสติกลงสู่มหาสมุทร


นำร่องติดตั้งเครื่อง Interceptor แล้ว 2 เครื่องในแม่น้ำที่กรุงซันโตโดมิงโก สาธารณรัฐโดมินิกัน และนครเกิ่นเทอ ประเทศเวียดนาม

เดอะโคคา-โคล่า คัมปะนี จับมือเป็นพันธมิตรระดับโลกรายแรกกับ The Ocean Cleanup ร่วมกันทำงานในโครงการทำความสะอาดแม่น้ำ พร้อมเดินหน้าแนะนำและดำเนินการติดตั้งนวัตกรรมเครื่อง Interceptor เครื่องทำความสะอาดแม่น้ำพลังงานแสงอาทิตย์ในแม่น้ำ 15 แห่งทั่วโลกให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2565

โดยมุ่งผสานพลังองค์กรระดับโลกของโคคา-โคล่า เข้ากับโซลูชันข้อมูลและเทคโนโลยีของ The Ocean Cleanup เพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญเดียวกันในการป้องกันและดักจับขยะพลาสติกจากแม่น้ำไม่ให้รั่วไหลลงสู่มหาสมุทร พร้อมระดมกำลังภาคอุตสาหกรรมและภาคประชาชนทั่วโลก สร้างการมีส่วนร่วมด้านปัญหาขยะพลาสติก ควบคู่ไปกับการดูแลระบบนิเวศ สิ่งมีชีวิต และแหล่งน้ำต่าง ๆ

มร. โบแยน สแลต ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งองค์กร The Ocean Cleanup กล่าวว่า "ปัจจุบัน แม่น้ำกว่า 1,000 แห่งทั่วโลกปล่อยขยะพลาสติกลงสู่มหาสมุทรเป็นปริมาณสูงถึงร้อยละ 80 ของขยะในมหาสมุทรทั้งหมดและมีทีท่าจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ภายใต้ภารกิจสำคัญในการกำจัดขยะพลาสติกในมหาสมุทร องค์กรจึงต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน โดยจากจำนวนขยะที่รวบรวมได้ในระบบ พบว่าจำนวนมากเป็นขวดพลาสติกซึ่งรวมถึงบรรจุภัณฑ์ของโคคา-โคล่าด้วย นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับ The Ocean Cleanup และมหาสมุทรทั่วโลก ที่โคคา-โคล่าได้เข้ามาเป็นพันธมิตรรายแรกของอุตสาหกรรม เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกจากการจัดการปัญหาขยะพลาสติกระดับโลกนี้ไปด้วยกัน โดยองค์กรจะนำการเรียนรู้ที่มีประโยชน์จากความร่วมมือในครั้งนี้ ไปพัฒนา ต่อยอด และขยายการดำเนินงานอย่างรวดเร็วในอนาคตต่อไป"

ทั้งนี้ Interceptor เปิดตัวครั้งแรกในปี 2562 โดยเป็นนวัตกรรมที่ช่วยป้องกันไม่ให้ขยะพลาสติกจากแม่น้ำต่างๆ รั่วไหลลงสู่มหาสมุทร Interceptor ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 100% และมีระบบดักเก็บขยะได้โดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้ Interceptor จึงสามารถใช้ได้ดีกับแม่น้ำที่มีปัญหามลพิษจากขยะอย่างรุนแรงในเกือบทุกพื้นที่ทั่วโลก ตลอดจนมีศักยภาพที่จะพัฒนามาสู่การใช้งานจริงในวงกว้าง

มร. เจมส์ ควินซี่ย์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เดอะโคคา-โคล่า คัมปะนี กล่าวว่า "ในฐานะผู้นำด้านเครื่องดื่มระดับโลก โคคา-โคล่ามุ่งมั่นดำเนินงานในด้านต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าวัสดุที่ใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดจะถูกรวบรวมและนำกลับมาใช้ใหม่อย่างเหมาะสม ไม่กลายเป็นขยะเล็ดลอดออกไปยังสิ่งแวดล้อม โคคา-โคล่าจึงพร้อมสนับสนุนทีมงานและเทคโนโลยีของ The Ocean Cleanup เพื่อปกป้องระบบนิเวศทางทะเล รักษาแหล่งน้ำที่มีค่าของโลกใบนี้"

ในปัจจุบัน โคคา?โคล่ากำลังดำเนินการแบบบูรณาการในการจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกผ่านวิสัยทัศน์ระดับโลก World Without Waste โดยมีเป้าหมายหลักคือ 1) ใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ 100% ก่อนปี 2568 และใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิลไม่น้อยกว่า 50% ก่อนปี 2573 2) จัดเก็บบรรจุภัณฑ์เพื่อนำมารีไซเคิลในปริมาณเทียบเท่ากับบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายออกสู่ตลาดให้ได้ก่อนปี 2573 และ 3) ประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่สะอาดปราศจากขยะมูลฝอยทั้งบนพื้นดินและในทะเล

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านวัสดุบรรจุภัณฑ์และนวัตกรรมไร้บรรจุภัณฑ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการรีไซเคิล เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์น้ำหนักเบาพิเศษ เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์จากพืช รวมถึงนวัตกรรมเครื่องจำหน่ายเครื่องดื่ม โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทได้ตั้งเป้าลดการใช้พลาสติกบริสุทธิ์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกลง 20% จากปริมาณการใช้ในปัจจุบันให้ได้ภายในปี 2568 อีกด้วย

และเพื่อตอบรับวิสัยทัศน์ดังกล่าว โคคา-โคล่ายังมุ่งให้ความช่วยเหลือและเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานระดับโลกมากมาย เพื่อจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกผ่านการปฏิบัติงาน และการระดมความคิดเพื่อหาทางแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดจากทั้งภาคประชาสังคม ภาคอุตสาหกรรม และภาครัฐ

โดยมีเป้าหมายคือส่งเสริมให้คนหันมารีไซเคิลและนำขยะกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงผลักดันให้องค์กรต่างๆ หันมาลงทุนในเศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อคงคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์และวัสดุที่ไม่ได้ใช้แล้ว ให้สามารถกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อย่างถูกต้อง ไม่กลายเป็นขยะอีกต่อไป



มร.ไบรอัน สมิทธิ์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เดอะโคคา-โคล่า คัมปะนี กล่าวเสริมว่า "The Ocean Cleanup เป็นองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน มีเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองและเหมาะสมสำหรับภารกิจในการกำจัดขยะพลาสติกในมหาสมุทร โคคา-โคล่าก็มีทีมงานในพื้นที่ที่พร้อมร่วมทำการติดตั้งเครื่อง Interceptor ในแม่น้ำทั่วโลก รวมถึงมีความพร้อมในด้านกระบวนการรีไซเคิลขยะที่รวบรวมได้ การที่จะได้เห็นพนักงานโคคา-โคล่าจากทั่วโลกได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานในระดับท้องถิ่น รวมถึงเป็นกระบอกเสียงในการทำภารกิจที่จะขยายใหญ่ขึ้นนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าตื่นเต้น โดยโคคา-โคล่าเชื่อมั่นว่าการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ จะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างแท้จริง"

ภายใต้การจับมือเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ทั้งสององค์กรได้ตั้งเป้าช่วยกันกำจัดขยะในแม่น้ำ 15 แห่งทั่วโลกภายในสิ้นปี 2565 โดยมีการนำร่องติดตั้งเครื่อง Interceptor ไปแล้ว 2 เครื่องในแม่น้ำที่กรุงซันโตโดมิงโก สาธารณรัฐโดมินิกัน และนครเกิ่นเทอ ประเทศเวียดนาม และจะร่วมกันพัฒนาโซลูชันจัดการขยะที่รวบรวมได้ รวมถึงวางแผนขยายการดำเนินงานไปยังแม่น้ำอีก 13 แห่งผ่านการทำงานร่วมกัน

โดย The Ocean Cleanup จะใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีรวบรวมพลาสติก ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการติดตั้งเครื่อง Interceptor รวมถึงวิเคราะห์ปัญหาและหลักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับขยะพลาสติก ขณะที่โคคา-โคล่าจะเสริมแกร่งด้านการปฏิบัติงานด้วยเครือข่ายมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลกที่พร้อมลงพื้นที่สร้างความเข้าใจแก่ชุมชนเกี่ยวกับการติดตั้งเครื่อง Interceptor รวมถึงใช้ความเชี่ยวชาญจัดการกับขยะพลาสติกที่รวบรวมได้ เพื่อสนับสนุนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมร่วมกันสรรหาพันธมิตรและการลงทุนที่จำเป็นเพิ่มเติม เพื่อขยายการดำเนินงานด้วยการติดตั้งเครื่อง Interceptor รวมถึงสนับสนุนการออกใบอนุญาตและติดตั้งกล้อง River Monitoring System (RMS) เพื่อวิเคราะห์มลพิษในแม่น้ำเพิ่มเติมต่อไป


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9640000054209

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 05-06-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก บ้านเมือง


ฮือฮา! "แม่เทียนทะเล" ขึ้นวางไข่ต่อเนื่องบนเกาะทะลุรังที่ 4



เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 4 มิ.ย.นายพิชัย วัชรวงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (สบอ.3) สาขาเพชรบุรี ได้รับรายงานจาก นายภัทร อินทรไพโรจน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม(เตรียมการ) ขณะร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม ลาดตระเวนและเฝ้าระวังการขึ้นวางไข่ของเต่ากระในพื้นที่เกาะทะลุ อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ อย่างต่อเนื่อง พบ "แม่เทียนทะเล" เต่ากระอายุประมาณ 15 ปี ความยาวลำตัว 87 ซม.ความกว้างลำตัว 78 ซม. ขนาดรอยพาย 65 ซม. หมายเลขไมโครชิพ 933076400540417 ขึ้นวางไข่บริเวณอ่าวในหุบ พิกัด 47 P 560224 E 1223859 N ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ) เป็นรังที่ 4 จำนวนทั้งหมด 73 ฟอง เป็นไข่สมบูรณ์ 67 ฟอง ไข่ไม่สมบูรณ์ (ใบเล็ก) 6 ฟอง จึงทำการเคลื่อนย้ายไข่เต่าทั้งหมดไปยังจุดอนุบาลฯและสั่งการให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเฝ้าระวังและเก็บข้อมูลไว้

นายภัทร กล่าวว่า "แม่เทียนทะเล" เป็นเต่ากระที่เกิดตามธรรมชาติ ได้ขึ้นวางไข่บนเกาะทะลุครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562 ขณะนั้นไม่มีหมายเลขไมโครชิพ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอ่าวสยามและเจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยามจึงทำการติดหมายเลขและตั้งชื่อให้ "แม่เทียนทะเล" จากการสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก "แม่เทียนทะเล" น่าจะมีอายุประมาณ 15 ปีขึ้น ซึ่งการขึ้นวางไข่ของแม่เทียนทะเลของปี 2564 เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2564 จำนวน 130 ฟอง (เป็นรังแรกของปี 2564) และขึ้นวางไข่ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2564 จำนวน 73 ฟอง

จากข้อมูลของมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม พบเต่ากระขึ้นวางไข่ในพื้นที่เกาะทะลุ ซึ่งเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติเมื่อปี พ.ศ.2552 จนถึงปัจจุบันพบไปแล้ว 9 แม่ (ทั้งหมด 9 แม่ เป็นแม่เต่าที่เกิดตามธรรมชาติ ไม่มีแม่เต่าที่มาจากแหล่งอนุบาลฯแต่อย่างใด)ในส่วนรังที่ 2 และ รังที่ 3 หัวหน้าอุทยานแห่งชาติได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม เฝ้าระวังและเก็บข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับ"เต่ากระ" ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Eretmochelys imbricata (Linnaeus, 1766) เป็นสัตว์ทะเลหายาก สถานภาพเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตาม พรบ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และจัดอยู่ใน Appendix 1 ของอนุสัญญาไซเตส (CITES) ด้วย.


https://www.banmuang.co.th/news/region/236923

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 05-06-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก อสมท.


สุดยอดนักพรางตัว ใต้ท้องทะเล

มันไม่ง่ายเลยที่จะมองหาปลาตัวเล็กๆ สักตัวที่หลบพรางอยู่กับกะละปังหาหรือปะการัง ยิ่งปลาตัวน้อยนั้นมีสีสันและลวดลายไม่ต่างจากสัตว์ที่มันอาศัยอยู่ด้วย เมื่อรวมกับความวไวในการว่ายน้ำหลบซ่อนด้วยแล้ว ก็ทำให้ยิ่งมองหาพวกมันได้ยากขึ้น




https://www.mcot.net/view/xV7AVyqC

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 05-06-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


วิกฤตสิ่งแวดล้อมโลก หลังเรือ"เอ็กซ์-เพรส เพิร์ล"จมทะเล

จากกรณีที่เรือ "เอ็กซ์-เพรส เพิร์ล" เรือสินค้าสัญชาติสิงคโปร์จมลงหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้เกือบ 2 สัปดาห์ ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจทำให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ ที่มีความเสียหายมูลค่ามหาศาลกว่าที่ใครจะคาดคิด



เรือ "เอ็กซ์-เพรส เพิร์ล" เป็นเรือสินค้าจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ บรรทุกสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์มาทั้งสิ้น 1,486 หลัง ทั้งหมดนี้มี 81 หลัง ที่ถูกระบุว่ามีสารเคมีอันตราย และมี 25 หลังที่บรรจุเม็ดพลาสติกบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการทำผลิตภัณฑ์พลาสติกทุกชนิด รวมปริมาณ 78 ตัน ขณะเดียวกันก็ยังมีสารเคมีที่เป็นพิษอย่างกรดไนตริก รวม 25 ตัน และยังมีน้ำมันเตาชนิดหนัก (heavy fuel oil) อีก 297 ตัน และน้ำมันดีเซลสำหรับเดินเรือ (marine fuel oil) อีก 51 ตัน

เรือ "เอ็กซ์-เพรส เพิร์ล" เดินทางมาถึงเมืองโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา ในวันที่ 19 พ.ค. 64 และจอดทอดสมออยู่ที่ท่าเรือด้านนอกเพื่อรอเทียบเรือ ท่ามกลางข่าวลือว่าลูกเรือพบกรดไนตริกรั่วไหลจากตู้คอนเทนเนอร์ แต่ยังไม่มีการแก้ปัญหาดังกล่าวเนื่องจากในเรือไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้



หลังจากนั้นมีรายงานว่าเกิดเหตุไฟไหม้ในเรือเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 64 ห่างออกไป 9.5 ไมล์ทะเล ทางตะวันตกเฉียงเหนือของท่าเรือโคลัมโบ จากนั้นในอีก 5 วันถัดมา มีรายงานเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ในเรือ แต่ลูกเรือทั้ง 25 คนได้รับการช่วยเหลือออกมาได้ โดยมี 2 คน ได้รับบาดเจ็บ

เพลิงยังลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ตู้คอนเทนเนอร์เริ่มจมลงสู่ท้องทะเล และมีรายงานว่าน้ำมันเริ่มรั่วไหล จนถึงวันที่ 30 พ.ค. เพลิงก็เริ่มสงบ ก่อนที่ส่วนท้ายของเรือจะจมสู่ก้นทะเลเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา


ผลกระทบ

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ทั่วโลกต่างหวั่นวิตกถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในท้องทะเลและชายฝั่ง โดยนับตั้งแต่ตู้คอนเทนเนอร์จมทะเล เม็ดพลาสติกหลายสิบตันก็เริ่มลอยติดชายหาดศรีลังกาหลายกิโลเมตร และผู้เชี่ยวชาญยังคาดการณ์ว่า เม็ดพลาสติกเหล่านี้ อาจลอยไปไกลหลายร้อย กม. ถึงอินโดนีเซียทางทิศตะวันออก และถึงประเทศโซมาเลียทางทิศตะวันตก



เม็ดพลาสติกดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศอย่างมหาศาล เพราะหากสิ่งมีชีวิตในทะเลกินเม็ดพลาสติกเข้าไป จะสร้างปัญหาในระบบห่วงโซ่อาหาร และแพร่กระจายการปนเปื้อนสารเคมีทั่วท้องทะเล

นอกจากนี้ กรดไนตริกที่บรรทุกมาในเรือ หากเกิดการรั่วไหลออกมาทั้งหมด จะเกิดการทำปฏิกิริยาจนทำให้เกิดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งอาจทำให้เกิดฝนกรดเล็กน้อยในศรีลังกา สร้างความเสียหายต่อป่าไม้ แหล่งน้ำ และสุขภาพของมนุษย์

นอกจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้เกิดผลกระทบด้านเศรษฐกิจอีกด้วย โดยกลุ่มผู้ทำอาชีพประมงเกือบ 5,000 ครัวเรือนต้องตกงานทันที หลังจากรัฐบาลศรีลังกาประกาศห้ามทำประมงอย่างเด็ดขาดในบริเวณดังกล่าว ซึ่งทำให้ระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่นเสียหายหนัก รวมถึงบริษัทที่ขนส่งสินค้าทางเรือลำนี้ ก็ต้องพบกับความสูญเสียที่มีมูลค่าราว 30-50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 937-1,562 ล้านบาท)


https://www.nationtv.tv/main/content...mpaign=foreign

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:31


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger