เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > Main Category > ห้องรับแขก

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 10-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default คำเตือนเรื่อง "สุขภาพ"


กว่าจะเป็นมะเร็งตับ! ต้องรู้ก่อนสาย



'เงิน' อาจจะไม่สามารถซื้อสุขภาพอันแข็งแรงกลับคืนมาได้ หากโรคภัยร้ายคุกคามในระยะรุนแรงไปแล้ว เช่นกรณี 'สตีเฟน จ็อบส์' อดีตซีอีโอของแอปเปิล ผู้คิดค้นและบุกเบิกอุปกรณ์ไอทีทันสมัย และมหาเศรษฐีคนหนึ่ง แม้จะมีทรัพย์สินกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังต้องลาโลกไปในวัยเพียง 56 ปี ด้วยโรคมะเร็งตับ

เมื่อกล่าวถึงโรคมะเร็งตับแล้ว ในงานสัมมนาของบริษัทโรช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับได้พูดคุยอย่างเข้ากระแสกับข่าวการสูญเสียคนดังอย่าง สตีเฟน จ็อบส์ โดย รศ.นพ.ทวีศักดิ์ แทนวันดี สาขาวิชาโรคระบบทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า ไวรัสตับอักเสบ บี ถือเป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง ตับวาย และโรคมะเร็งตับ

นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นเพชฌฆาตเงียบ เนื่องจากระยะการดำเนินโรค(ชนิดเรื้อรัง)กินเวลานานหลายปี ซึ่งระหว่างนั้นจะไม่ปรากฏอาการผิดปกติให้ผู้ป่วยรู้ตัวได้เลย โดยเฉพาะในไทย มีผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี 3.5 ล้านรายในปัจจุบัน ขณะที่โรคมะเร็งตับซึ่งเป็นปลายทางการพัฒนาโรคของไวรัสตับอักเสบ บีนั้น คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มโรคมะเร็ง

เหตุที่ทำให้โรคไวรัสตับอักเสบ บี สร้างความสูญเสียได้มาก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า โรคดังกล่าวติดต่อได้ง่ายกว่าเชื้อเอชไอวีถึง 50-100 เท่า โดยติดต่อได้หลายช่องทาง อาทิ จากมารดาสู่ทารกในระหว่างตั้งครรภ์หรือตอนคลอด ติดต่อทางเลือดจากการได้รับเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ ทางเพศสัมพันธ์ การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ และการติดเชื้อเพราะใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาดในการทำฟัน สัก หรือเจาะตามร่างกาย

จากการติดต่อที่ง่ายและไม่รู้ตัวของโรคไวรัสตับอักเสบ บี นั้น รศ.นพ.ทวีศักดิ์ จึงเตือนให้ทุกคนควรตรวจหาเชื้อไวรัสร้ายดังกล่าว โดยวิธีการตรวจที่แนะนำคือ การวัดปริมาณเปลือกของไวรัสตับอักเสบ บี หรือเอส-แอนติเจน (HBsAg) ซึ่งโดยทั่วไปจะค่าใช้จ่ายในการตรวจอยู่ที่หลักร้อย และทราบผลได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ทั้งนี้ หากผลการตรวจชี้ว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ บี ก็จะได้เข้าสู่ขั้นตอนการรักษาซึ่งมีทั้งการรับประทานยาและการฉีดยาอย่างต่อเนื่อง

ด้าน รศ.นพ.ธีระ พิรัชวิสุทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ ผอ.สถาบันโรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อัพเดตวิธีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี ที่สอดรับกับแนวคิดการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalised Healthcare) ว่า ขณะนี้มีวิธีใหม่ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี ด้วยยาในกลุ่มเพ็คอินเตอร์เฟอรอน (peginterferon) เป็นหลัก ใช้ต่อเนื่องระยะ 48 สัปดาห์ จะมีประสิทธิภาพต่อสู้กับโรคสองแนวทางคือ การต่อสู้กับไวรัสโดยตรง และในเวลาเดียวกันจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันเข้าจัดการกับเชื้อโรค

สำหรับวิธีรักษาด้วยยากลุ่มเพ็คอินเตอร์เฟอรอนนั้น รศ.นพ.ธีระ เผยว่า เหมาะสมที่จะใช้กับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี ที่มีอายุมาก ผลตรวจเปลือกของไวรัสตับอักเสบ บี เป็นบวก มีค่าเอนไซม์ในเซลล์ตับสูงกว่าปกติ 2 เท่า และที่พบว่าจำนวนไวรัสชนิดนี้มีมากเกิน 1 พันล้านตัว

เมื่อการแพทย์คิดหาวิธีที่ดีในการตรวจและรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี อย่างนี้แล้ว หากไม่อยากป่วยตายด้วยโรคมะเร็งตับไปอีกราย คนรักษ์สุขภาพทั้งหลายคงไม่ละเลยตรวจหาความผิดปกติของตับ.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์สารพันวันละโรค วันที่ 10 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 15-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


โรคมือ เท้า ปาก ระบาดช่วงฤดูฝน



การระบาดครั้งล่าสุดของโรคมือ เท้า ปาก ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ทำให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาตรการเฝ้าระวังการระบาดของโรคดังกล่าวในเด็กเล็กอีกครั้ง หลังจากที่พบผู้เสียชีวิตจากโรคมือ เท้า ปาก ครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย

สาเหตุของโรคที่รุนแรงเกิดจากเชื้อเอ็นเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71) หรือ อีวี 71 ซึ่งพบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ทำให้สถานการณ์ของโรคระบาดรุนแรงขึ้นกว่าที่ผ่านมา โดยปกติสาเหตุของเชื้อโรคมือ เท้า ปาก ที่พบบ่อยในไทยคือ เชื้อไวรัสค็อกซากี (Coxsackie) ชนิดเอ 16 พบในเด็กอายุตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป และอยู่ภายใต้การติดตามทางระบาดวิทยามาโดยตลอด

กล่าวว่า โรคมือ เท้า ปากเป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็ก โดยเฉพาะเด็กวัยเรียน โดยมีการระบาดช่วงฤดูฝน สาเหตุจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเตอโรไวรัส ที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ โดยไวรัสค็อกซากีเป็นสายพันธุ์ที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง

แต่การระบาดของเชื้อโรคมือ เท้า ปาก ครั้งนี้มีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากเชื้อเอนเตอโรไวรัส 71 หรือ อีวี 71 ที่พบก่อโรคในเด็กกลุ่มอายุน้อยลง คือ อายุน้อยกว่า 2 ปี เมื่อได้รับเชื้อจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง มีไข้สูง อาเจียนมาก หายใจหอบ มีภาวะขาดน้ำ ความดันโลหิตต่ำจนช็อก ในกรณีที่มีสมองอักเสบร่วมด้วย มีอาการชักเกร็ง ซึม และเสียชีวิตได้

โรคมือ เท้า ปาก มีระยะฟักตัวประมาณ 1 สัปดาห์ และติดต่อกันได้โดยที่ยังไม่แสดงอาการ สามารถแพร่ผ่านทางระบบทางเดินอาหารและการหายใจ และติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลายและอุจจาระของผู้ป่วย ตลอดจนการติดต่อโดยอ้อมจากการสัมผัสผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคชนิดนี้

อาการแสดงออกของโรค ในเด็กจะมีอาการไข้ เจ็บปาก น้ำลายไหล กินอาหารได้น้อย เนื่องจากมีแผลที่กระพุ้งแก้มและเพดานปาก มีผื่นเป็นจุดแดงหรือตุ่มน้ำใสที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รอบก้นและอวัยวะเพศ อาจมีผื่นตามลำตัว แขนและขา อาการดังกล่าวมักมีเกิดขึ้น 2-3 วันและดีขึ้นจนหายได้ใน 1 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง

โรคมือเท้าปากโดยทั่วไปไม่น่ากลัว สามารถหายป่วยได้เอง มีเพียงส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรง จากเชื้ออีวี 71 ที่ทำให้สมองอักเสบร่วมกับระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว และเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว เด็กที่มีอาการรุนแรงมักมีไข้สูง ซึมอ่อนแรง มือสั่น เดินเซ อาเจียนมาก หายใจหอบ และชัก หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพาพบแพทย์โดยด่วน

แม้ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ทั้งยังไม่มียารักษาจำเพาะ แต่สิ่งที่แพทย์ปฏิบัติ คือการรักษาตามอาการ ให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาชาเฉพาะที่ สำหรับแผลในปาก ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อชดเชยภาวะขาดน้ำ เด็กที่มีอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม การป้องกันการแพร่ระบาดของโรค สามารถทำได้โดยแยกผู้ป่วยที่เป็นโรค "ไม่ให้" ไปสัมผัสกับเด็กคนอื่น ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กควรหมั่นล้างมือ ทำความสะอาดของเล่นและสภาพแวดล้อมทุกวัน เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไปยังเด็กคนอื่น

การทำความสะอาดโดยใช้สบู่ ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไปสามารถกำจัดเชื้อได้ ควรระมัดระวังความสะอาดของน้ำ อาหารและสิ่งของที่เด็กอาจเอาเข้าปาก ในขณะที่โรงเรียนควรแยกเด็กป่วยให้ลาหยุดอย่างน้อย 5 วันจนหายดี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อแก่เด็กอื่นๆ

ขณะเดียวกันควรพิจารณาปิดชั้นเรียนที่มีเด็กป่วยเป็นโรคมากกว่า 2 คน และหากมีเด็กป่วยหลายชั้นเรียน ควรปิดโรงเรียนอย่างน้อย 5 วัน พร้อมทำความสะอาดห้องเรียน ห้องน้ำ สระว่ายน้ำ ของเล่น อุปกรณ์รับประทานอาหาร เป็นต้น

เด็กที่ติดเชื้อโรคมือ เท้า ปาก สามารถหายได้เอง หากไม่มีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น




จาก ....................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 15 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 15-10-2011
ตุ๊กแกผา's Avatar
ตุ๊กแกผา ตุ๊กแกผา is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 1,452
Default

ขออนุญาตเพิ่มเติมในส่วนของโรคไวรัสตับอักเสบบีค่ะ (เพราะทำงานอยู่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือแผนกทางเดินอาหารและโรคตับ) คือ สามารถป้องกันได้แต่เนิ่นๆเลยทีเดียว โดยการฉีดวัคซีน(3เข็ม) แต่ก่อนที่จะฉีดวัคซีน ก็ควรไปตรวจก่อนว่ามีการติดเชื้อรึเปล่าและมีภูมิฯรึยัง แต่ส่วนใหญ่ตามรพ.ต่างๆมักต้องเจาะเลือดตรวจหาเชื้อ(HBsAg)และดูภูมิ(AntiHBs)ก่อนอยู่แล้ว .......ทุกโรงพยาบาลมีการตรวจเรื่องนี้หมดค่ะ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 16-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


เตือนระวัง!! เชื้อไวรัส ''อาร์เอสวี'' ติดต่อง่ายแพร่ระบาดช่วงปลายฝน



ฤดูฝนช่วงเวลานี้อากาศมีความเปลี่ยนแปลงสัมผัสได้ทั้งความร้อนและสายลมเย็นๆ โอกาสจะเจ็บป่วยอาจเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุซึ่งคงต้องเฝ้าระวังดูแลสุขภาพเตรียมความพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ

เรสไพราทอรีซินซิเชียลไวรัส หรือ ไวรัสอาร์เอสวี (RSV) สาเหตุของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง เป็นไวรัสที่พบแพร่ระบาดช่วงเวลานี้ที่เกิดได้ทั้งในเด็กเล็กและผู้ใหญ่ เมื่อติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนล่างผู้ติดเชื้อร้อยละ 70 มักเกิดอาการปอดบวมและหลอดลมฝอยส่วนปลายอักเสบ ซึ่งพบมากในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ!!

นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังมีรายงาน พบผู้ติดเชื้ออาร์เอสวีทั่วโลกกว่า 64 ล้านคนและคร่าชีวิตผู้ป่วยทั่วโลกไปแล้วกว่า 200,000 ราย ขณะที่อุบัติการณ์ของผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งนี้เพราะอาจขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ประกอบกับเชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถติดต่อได้ง่ายผ่านทางการสัมผัสและหายใจ ส่งผลให้เชื้อไวรัสแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในช่วงวัยเรียน

รศ.แพทย์หญิงอรพรรณ โพชนุกูล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจในเด็ก หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยา คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และกรรมการสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ว่า ไวรัสชนิดนี้มักแพร่ระบาดช่วงปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาวประมาณเดือนพฤศจิกายน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยและมีความชื้นสูง

อาการที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปเมื่อติดเชื้อไวรัสช่วงแรกจะคล้ายกับไข้หวัดจะมีอาการไข้ ไอ จาม คัดจมูกน้ำมูกไหล ฯลฯ จากนั้นมีอาการไข้สูง ไอมากขึ้นมีเสมหะ ไอหอบ หายใจหอบเหนื่อยและมักหายใจมีเสียงดังวี้ดๆ หน้าอกบุ๋มยุบลงโดยพบมากในเด็กเล็กซึ่งหากเด็กได้รับเชื้อจะทานอาหาร ทานนมได้ลดน้อยลง

อีกทั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อนหูชั้นกลางอักเสบโดยจะมีอาการไข้ ปวดหู ฯลฯ หากปล่อยทิ้งไว้แก้วหูอาจทะลุมีปัญหาในเรื่องการได้ยิน!!

นอกจากนี้ไวรัสอาร์เอสวียังเป็นสาเหตุของโรคปอดบวมมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นหอบหืด นอกเหนือจากเกิดขึ้นกับเด็กเล็กแล้วยังส่งผลถึงผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีที่ต้องเฝ้าระวัง ทั้งนี้เพราะภูมิต้านทานไม่แข็งแรงรับเชื้อได้ง่าย

“สิ่งที่ต้องเน้นย้ำในการหลีกเลี่ยงเชื้อไวรัสอาร์เอสวี คือการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ยิ่งช่วงเวลานี้ที่อากาศมีความชื้นและเปลี่ยนแปลงบ่อย หากละเลยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจจะลุกลามไปจนเกิดโรคปอดบวม ปอดอักเสบ นอกจากนี้เด็กที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวอาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหอบหืด”

เชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถติดต่อได้ง่ายทั้งการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อนี้อยู่แล้วหรือมีการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อไวรัสผ่านทางตา จมูกหรือทางการหายใจ ดังนั้นหากเริ่มมีอาการป่วยโดยเริ่มแรกจะเหมือนไข้หวัด มีอาการไข้ต่ำๆ ไอ จาม ฯลฯ อย่านิ่งนอนใจควรสังเกตอาการ หากหายใจมีเสียงวี้ดๆ หอบเหนื่อยควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยว่าลุกลามติดเชื้อไปยังทางเดินหายใจส่วนล่างหรือไม่ หากเคยเป็นหอบและเป็นบ่อยควรพบแพทย์เพื่อป้องกันไม่ให้หอบกลายเป็นหืดในอนาคต

ก่อนต้องเผชิญกับภัยสุขภาพดังกล่าวการป้องกันเตรียมพร้อมไว้สิ่งนี้มีความสำคัญซึ่งในเด็กเล็กและในผู้สูงอายุ แพทย์หญิงอรพรรณให้คำแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า หากป่วยเป็นหวัด ควรสวมหน้ากากอนามัย การใช้หน้ากากอนามัยจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค ล้างมือบ่อยๆ รวมถึงหลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัด ส่วนช่วงเวลานี้ที่ยังคงเป็นฤดูฝนอากาศมีความชื้นหรือหากอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศเย็นควรสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงจากเด็กที่ป่วยเป็นไข้หวัดโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว แต่อย่างไรแล้วต้องสังเกตอาการควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่าคิดเป็นเพียงแค่หวัดธรรมดา อีกทั้งในเรื่องสุขอนามัยควรเคร่งครัดโดยโรคดังกล่าวสามารถรักษาได้ นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกสะอาดมีประโยชน์ รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ ฯลฯ ก็ไม่ควรละเลยเพราะข้อปฏิบัติเหล่านี้ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากภาวะเจ็บป่วย.



เคล็ดลับสุขภาพดี แนะตั้งสติรับมือความเครียดจากภัยน้ำท่วม

ประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของไทยกำลังเผชิญกับอุทกภัยอย่างหนัก สร้างความลำบาก บอบช้ำ ทุกข์ระทม บางครอบครัวสูญเสียชีวิตญาติพี่น้องอันเป็นที่รักไป บางครอบครัวสูญเสียทรัพย์สินแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ทำให้เกิดภาวะเครียดนอนไม่หลับ บางรายถึงขั้นซึมเศร้า ท้อแท้จนอยากฆ่าตัวตายเพราะไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร!?

นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ แนะนำว่า ประชาชนชาวไทยต้องประสบปัญหาน้ำท่วมและเผชิญปัญหาหลายด้านไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นความไม่สะดวกในเรื่องความเป็นอยู่ อาหารการกิน การนอน รวมไปถึงการขับถ่าย นอกจากนี้ยังมีความทุกข์ใจจากทรัพย์สินที่เสียหาย ไม่ว่าจะเป็น บ้าน รถยนต์ เงินทอง พื้นที่การเกษตร บางคนเจ็บป่วย สูญเสียญาติพี่น้อง ส่งผลให้เกิดความเครียดอย่างรุนแรง ซึ่งอาจป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้ อย่างไรก็ตามคนเรามีความสามารถในการรับมือกับความเครียดได้ไม่เท่ากัน ทำให้แสดงออกมาได้หลายรูปแบบ เช่น นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หายใจไม่อิ่ม ใจสั่น หายใจไม่ออก ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน บางรายรุนแรงจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เกิดอาการกลัว วิตกกังวลรุนแรง ตื่นตระหนก

ดังนั้นเราจึงต้องตั้งสติเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการปฏิบัติง่ายๆ ดังนี้

1. ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ทำความเข้าใจและยอมรับว่าภัยพิบัติไม่ได้เกิดกับเราคนเดียว แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมกับเราอีกเยอะ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นต้องมีทางออกแต่ต้องใช้เวลาบ้าง เราท้อแท้ได้แต่อย่านานและต้องลุกขึ้นเดิน

2. จัดลำดับความสำคัญของปัญหา เมื่อตั้งสติได้แล้วให้มองปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเพื่อจัดลำดับ เช่น การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้แก่ ที่อยู่ การกิน การนอน ห้องน้ำ การขับถ่าย การแก้ปัญหาระยะยาวเป็นเรื่องที่ไม่ด่วน ได้แก่ หลังจากนี้จะป้องกันน้ำท่วมอย่างไร การช่วยเหลือของรัฐบาลหลังน้ำลด ซึ่งเป็นเรื่องไม่ด่วนและสำคัญเท่ากับชีวิตความเป็นอยู่ก็ปล่อยวางไปก่อน เมื่อจัดลำดับได้แล้วก็ค่อยๆแก้ไปทีละอย่าง เพราะการแก้ปัญหาได้สำเร็จไปทีละข้อจะช่วยให้เกิดความมั่นใจ กำลังใจจะค่อยๆเกิดขึ้นจนกลายเป็นว่าจะสามารถผ่านวิกฤตินี้ไปได้

3. พยายามใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ค่อยๆปรับวิธีคิดและปล่อยวางเรื่องทรัพย์สินซึ่งเป็นสิ่งของนอกกาย อนาคตยังมีโอกาสหาใหม่ได้ และใช้ชีวิตที่เรียบง่ายเพื่อลดความเครียด เพราะบางคนเครียดเนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินจนไม่ยอมอพยพขึ้นไปอยู่บนพื้นที่สูงเหนือน้ำ บางครั้งเราต้องชั่งน้ำหนักระหว่างทรัพย์สินกับชีวิตและสุขภาพด้วยว่าสิ่งใดสำคัญกว่ากัน ซึ่งทรัพย์สินมีค่าก็สำคัญในระดับหนึ่งเราอาจจะรวมกลุ่มกับเพื่อนบ้านสลับเวรยามกันเฝ้าก็ได้ อย่างน้อยๆ ทรัพย์สินก็มีคนดูแลรวมถึงสุขภาพก็ได้รับการดูแลเช่นกันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยจนเกินไป และ

4. เอาใจใส่ดูแลกันและกัน ข้อนี้สำคัญโดยใครที่มีจิตใจที่แข็งแรงต้องช่วยเหลือคนที่อ่อนแอด้วยการให้กำลังใจหรือรับฟังคนที่เครียดมากๆให้ได้ระบายความรู้สึกออกมา เพราะเพียงแค่มีคนมารับฟังก็สามารถช่วยทำให้ผู้ประสบปัญหาหรือมีความเครียดรู้สึกดีได้ในระดับหนึ่ง

ถึงแม้อุทกภัยในครั้งนี้จะรุนแรงมากและไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่เราจะผ่านพ้นไปได้ แต่ถ้าเรามีสติและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับตั้งหลักวางแผนและให้กำลังใจซึ่งกันและกันก็จะทำให้มีกำลังใจเดินหน้าต่อสู้กับปัญหาเพื่อผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้สำเร็จ.



สรรหามาบอก

- คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญบุคลากรและประชาชนร่วมบริจาคเงินและเครื่องอุปโภค–บริโภค เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ โดยเปิดรับบริจาคตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เวลา 08.30–16.30 น. ที่โถงอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) และคณะภาคสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ขอเชิญสมาชิกชมรมสตรีวัยทองและประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพสตรีวัยทอง ครั้งที่ 7 ในหัวข้อ “กระเป๋าตุงและปลอดมะเร็งในวัยทอง” ในวันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2554 เวลา 08.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมตรีเพ็ชร อาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 15 (รับจำนวนจำกัด 500 ท่าน) สอบถาม โทร. 0-2419-4657-8

- โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จัดงานสัปดาห์เทิดพระเกียรติสมเด็จย่า ประจำปี 2554 ขอเชิญประชาชนผู้สนใจชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จย่าและบริการทางทันตกรรมฟรี ใน วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2554 เนื่องในวันทันตสาธารณสุข ประจำปี 2554 โดยมีบริการทันตกรรมแก่ผู้ใหญ่ จำนวน 400 ราย และเด็ก จำนวน 200 ราย โดยไม่คิดมูลค่า ณ คลินิกบริการสุขภาพช่องปาก อาคารราชสุดา เปิดรับคิวตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. ณ โถงชั้น 1 อาคารปิยชาติ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่งานประชาสัมพันธ์ โทร. 0-2926-9310-1 ในวันและเวลาราชการ

- โรงพยาบาลพญาไท 3 ขอเชิญร่วมกิจกรรม “Smart Brain & Spine พญาไท 3 ใส่ใจสุขภาพสมองและกระดูกสันหลัง” ภายในงานมีนิทรรศการให้ความรู้ของศูนย์สมองและระบบประสาทและให้คำปรึกษาด้านสมองและกระดูกสันหลัง รวมทั้งกิจกรรมให้ความรู้หัวข้อเทคโนโลยีการผ่าตัดสมองและกระดูกสันหลังและโรคความจำเสื่อมรักษาได้ สนใจร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2554 ณ ลาน OPD ชั้น 1 โรงพยาบาลพญาไท 3 สอบถาม โทร. 1772

- ชมรมอายุวัฒนา โรงพยาบาลนครธน ขอเชิญผู้รักสุขภาพร่วมกิจกรรมเสวนา “หัวใจดี...มีชัยไปกว่าครึ่ง” พร้อมร่วมกันปฏิบัติธรรมและออกกำลังกายท่าฤาษีดัดตน ใน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2554 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมทองสิมา ชั้น 4 โรงพยาบาลนครธน สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0-2450-9999.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 16 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 16-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


'อย่าประมาท'!!.... โรค มือ เท้า ปาก วายร้ายใกล้ตัว ..... ตอน 1 .................. โดย นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์



จากสถานการณ์การระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็ก ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา พบผู้ป่วยทั่วประเทศจำนวน 12,155 คน : ตั้งแต่ 1 ม.ค.-22 ก.ย.54 อัตราป่วยคิดเป็น 19.13 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ส่วนใหญ่เกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มักระบาดในช่วงหน้าฝน

โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสติดต่อทางปาก ไอ จามรดกัน แม้ความรุนแรงของโรคไม่สูง แต่เนื่องจากติดกันง่ายจึงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พบว่าต้นเหตุน่าจะเป็นเพราะเด็กเล่นคลุกคลีกันและติดเชื้อ เมื่อเด็กติดเชื้อผู้ปกครองก็ไม่ได้แจ้งให้ทางโรงเรียนทราบ เด็กจึงนำเชื้อไปติดเด็กคนอื่น ดังนั้น ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัย อาหาร ให้มีสุขอนามัยที่ดีเพราะเป็นวิธีการป้องกันโรคนี้ดีที่สุด

1. โรคมือ เท้า ปาก (Hand, Foot and Mouth Disease) คือโรคอะไร ...
โรคมือ เท้า ปาก เป็นกลุ่มอาการหนึ่งซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสที่สามารถเจริญเติบโตได้ในลำไส้ ที่เรียกว่า เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งพบเฉพาะในคนเท่านั้น และมีหลากหลายสายพันธุ์ สำหรับสายพันธุ์ที่ก่อโรคมือ เท้า ปาก ได้แก่ คอกแซกกีไวรัสกรุ๊ป เอ และบี (Coxsackie virus group A, B) และที่ก่อโรครุนแรงที่สุด คือ เชื้อเอนเทอโรไวรัส 71

เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่ามีรายงานผู้ป่วยสูงกว่าเกือบ 3 เท่า และมักเกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุระหว่าง 2 สัปดาห์ ถึง 3 ปี โรคนี้ไม่เป็นปัญหาในผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

2.โรคนี้พบที่ใดบ้าง ...
โรคนี้พบผู้ป่วยและการระบาดได้ทั่วโลก มีรายงานการระบาดรุนแรงที่มีสาเหตุจากเอนเทอโรไวรัส 71 ในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น ประเทศเวียดนามมีข้อมูลล่าสุดพบผู้ป่วยกว่า 42,673 ราย เสียชีวิตกว่า 98 ราย ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย พบผู้ป่วยในปีนี้ 2,919 ราย ลดลงจากปีที่แล้ว (2553) ที่พบผู้ป่วยถึง 8,769 ราย โดยในปีนี้ยังไม่พบผู้เสียชีวิต แหล่งที่มา : http://outbreaknews.com /04 September 2011

3. โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อได้อย่างไร ...
โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อโดยการได้รับเชื้อโดยตรงทางปาก ซึ่งเชื้อจะติดมากับมือ ภาชนะที่ใช้ร่วมกัน เช่น ช้อน แก้วน้ำ หรือของเล่นที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย น้ำจากตุ่มพอง แผลในปาก หรืออุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสอยู่ เชื้อจะผ่านเข้าไปที่ลำคอ และลงไปที่ลำไส้ โดยเชื้อจะเพิ่มจำนวนที่ต่อมน้ำเหลืองที่คอ รวมทั้งทอนซิล และเนื้อเยื่อของระบบน้ำเหลือง สำหรับเชื้อไวรัสที่อยู่ในลำไส้ จะถูกขับถ่ายปนมากับอุจจาระเป็นระยะๆได้นานถึง 6-8 สัปดาห์ แม้อาการจะทุเลาลงแล้วก็อาจแพร่เชื้อได้ การติดต่อมักเกิดได้ง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย ซึ่งมีเชื้อไวรัสออกมามาก การแพร่กระจายเชื้อจะเกิดได้ง่ายมากในเด็กเล็ก ที่ชอบเล่นคลุกคลีใกล้ชิดกันในโรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือญาติพี่น้องที่อยู่รวมกัน

4. หากติดเชื้อแล้วจะเริ่มแสดงอาการเมื่อใด ...
ส่วนใหญ่อาการป่วยจะแสดงภายใน 3-5 วัน หลังได้รับเชื้อ โดยไข้เป็นอาการแสดงเริ่มแรกของโรค

5. อาการของโรคเป็นอย่างไร ...
เริ่มด้วยมีไข้ (อาจเป็นไข้สูงในช่วง 1-2 วันแรก และลดลงเป็นไข้ต่ำ ๆ อีก 2-3 วัน) มีจุดหรือผื่นแดงอักเสบในปาก มักพบที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม ทำให้เจ็บปากไม่อยากรับประทานอาหาร จะเกิดผื่นแดง ซึ่งจะกลายเป็นตุ่มพองใสรอบๆ แดงที่บริเวณฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่อื่น เช่น หัวเข่า ก้น เป็นต้น ผื่นนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใสรอบๆ แดง (maculo-papular vesicles) มักไม่คัน แต่เวลากดจะเจ็บ ต่อมาจะแตกออกเป็นหลุมตื้นๆ (ulcer) อาการจะดีขึ้นและแผลหายไปใน 7-10 วัน

ในเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เนื่องจากยังไม่มีภูมิต้านทาน จึงมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรงมากกว่าเด็กโต พบว่าบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (aseptic meningitis) ก้านสมองอักเสบ (brain stem encephalitis) ตามมาด้วยปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ระบบหัวใจ และระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ทำให้เสียชีวิตได้ สัญญาณอันตราย ได้แก่ ไข้สูง (ไม่ลดลง) ซึม อาเจียนบ่อย หอบ และแขนขาอ่อนแรง เกิดภาวะอัมพาตคล้ายโปลิโอ

6.ผู้ใหญ่สามารถติดโรคมือ เท้า ปาก จากเด็กได้หรือไม่ ...
ผู้ใหญ่มักมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้จากการได้รับเชื้อขณะเป็นเด็ก ซึ่งภูมิต้านทานนี้ จะจำเพาะกับชนิดของไวรัสที่เคยได้รับ หากได้รับเชื้อชนิดใหม่ที่ยังไม่มีภูมิต้านทาน ก็สามารถเป็นโรคได้อีก ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย แต่สามารถแพร่เชื้อไปสู่เด็กหรือผู้อื่นได้

7. หญิงตั้งครรภ์ที่สัมผัสผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก เสี่ยงติดโรคหรือไม่ ...
ส่วนใหญ่หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับเชื้อจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากมีอาการป่วยควรรีบปรึกษาแพทย์ ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลแสดงว่าการติดเชื้อมีผลต่อการแท้งบุตร ความพิการ หรือเด็กเสียชีวิตในครรภ์ อย่างไรก็ตาม เด็กอาจได้รับเชื้อขณะคลอด หากมารดาป่วยในช่วงใกล้คลอด เด็กแรกเกิดที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อย ไม่รุนแรง การป้องกันทำได้โดยการปฏิบัติสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ และระหว่างคลอด

8. หากบุตรหลานมีอาการป่วย ควรทำอย่างไร ...
แยกเด็กป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่นๆ ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ และหยุดรักษาตัวที่บ้านประมาณ 5-7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้ควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น หรือหากเด็กมีอาการแทรกซ้อน เช่น ไข้สูง ซึม อาเจียน หอบ เป็นต้น ต้องรีบพากลับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลทันที

ไม่ควรพาเด็กไปสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ ตลาด และห้างสรรพสินค้า ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศระบายถ่ายเทได้ดี ใช้ผ้าปิดจมูก-ปากเวลาไอจาม และระมัดระวังการไอจามรดกัน และผู้เลี้ยงดูเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กป่วย

9. ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจะเป็นโรคมือ เท้า ปาก ที่รุนแรง ...
โดยทั่วไปโรคมือ ปาก เท้า เป็นโรคที่ไม่อันตราย ในประเทศไทยพบโรคนี้ได้บ่อยแต่ไม่มีความรุนแรง ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการของโรค ผู้ป่วยมักมีอาการป่วยเล็กน้อย หายได้เองภายใน 7-10 วัน และแทบไม่มีผู้เสียชีวิตเลย แต่เด็กอ่อนและเด็กเล็กมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรงมากกว่าเด็กโต

: ข้อมูลจาก แผนกควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลพญาไท 2 http://www.phyathai.com.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 16 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 22-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


ตรวจแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจคิดใหม่ทำใหม่เพื่อหัวใจของคุณ ........................ โดย รศ.นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี



ปัจจุบันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันเป็นภาวะการเจ็บป่วยที่สำคัญของคนไทย โดยที่มีอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตมากขึ้น อาการที่เกิดขึ้นคือเจ็บหน้าอกและเหนื่อย ไม่สามารถออกกำลังหรือปฏิบัติภารกิจทางกายได้ ซึ่งมักเกิดจากหลอดเลือดที่ตีบ และการเสียชีวิตก็มักเกิดจากภาวะการตายฉับพลันของกล้ามเนื้อหัวใจซึ่งมักเกิดจากหลอดเลือดที่อุดตันเฉียบพลัน

การตีบหรือการตันของหลอดเลือดนั้นมักจะมีภาวะการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด ถือว่าเป็นภาวะเสื่อมอย่างหนึ่งและการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดนี้จำเป็นต้องมีการสะสมของแคลเซียม หรือ หินปูน ร่วมด้วย อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลอดเลือดมีลักษณะแข็ง ดังนั้นการตรวจแคลเซียมที่เกาะอยู่กับหลอดเลือดหัวใจก็เปรียบเสมือนการตรวจพบการเกาะหรือสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด

ปัจจุบันมีวิธีการตรวจเพื่อคาดเดาโอกาสที่จะเกิดปัญหาจากโรคหลอดเลือดหัวใจหลายอย่างด้วยกัน อาทิ การตรวจระดับไขมันในเลือด การตรวจความดันโลหิต การเดินวิ่งสายพานและการตรวจแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจก็เป็นทางเลือกหนึ่งซึ่งมีหลักฐานการศึกษาวิจัยที่มีมากมาย และดูเหมือนว่าจะใช้ระดับหรือค่าที่ตรวจพบได้ในการคาดเดาโอกาสที่จะเกิดปัญหาจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้เพิ่มขึ้นจากการตรวจโดยทั่วไป และจะใช้ในการแยกแยะผู้ที่มีความเสี่ยงในระดับกลาง

ตัวอย่างเช่น นายนิพนธ์ อายุ 64 ปี มีประวัติความดันสูง เป็นโรคเบาหวาน และสูบบุหรี่จัด มีอาการเหนื่อยแน่นหน้าอกบ้างเมื่อเดินขึ้นบันไดไปชั้นที่ 3 จากลักษณะข้อมูลนี้บ่งบอกได้ว่านายนิพนธ์มีโอกาสเกิดปัญหาจากโรคหลอดเลือดหัวใจสูง (ปัญหาที่กล่าวถึงคือมีโอกาสที่จะมีอาการแน่นหน้าอกฉับพลัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย และเสียชีวิตฉับพลันทันที หรือต้องได้รับการรักษาด้วยการทำผ่าตัดบายพาสหรือขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน) โอกาสสูงคือ มากกว่า30% หมายความว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าคนร้อยคนแบบคุณนิพนธ์ จะมี 30 คนที่เกิดปัญหาดังกล่าว คุณนิพนธ์ควรได้รับการดูแลรักษาอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ การตรวจแคลเซียมจะไม่เอื้อประโยชน์เท่าใดนัก เว้นแต่ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการดูแลรักษา เมื่อพบว่ามีการสะสมของแคลเซียมเป็นอย่างมาก

นางสาวยุพิน อายุ 24 ปี อาชีพพยาบาล ไม่มีประวัติเจ็บป่วย แต่มีอาการเจ็บหน้าอกเป็นระยะ ๆ และไม่สูบบุหรี่ ลักษณะแบบนี้บ่งถึงผู้ที่ยังปราศจากโรคหลอดเลือดหัวใจ และมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดปัญหาจากโรคหลอดเลือดหัวใจในอีก 10 ปีข้างหน้า การตรวจแคลเซียมในหัวใจจะไม่มีความจำเป็นและไม่เอื้อประโยชน์เท่าใดนัก

นายพินิจ อายุ 50 ปี ไม่มีประวัติโรคหัวใจ แต่ชอบสูบบุหรี่ ไม่จำกัดอาหาร น้ำหนักขึ้นมาโดยเฉลี่ยครึ่งกิโลกรัมต่อปีหลังจากจบมหาวิทยาลัย ยังสามารถเดินห้างสรรพสินค้าได้โดยไม่มีอาการแต่อย่างใด คุณพินิจยังไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนไข้ แต่ก็กลัวจะเป็นโรคหัวใจ เพราะเพิ่งจะมีเพื่อนเสียชีวิตเฉียบพลันขณะเล่นกอล์ฟเมื่ออาทิตย์ก่อนจากลักษณะของคุณพินิจบ่งบอกถึงผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงในระดับกลางที่จะเกิดปัญหาเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ กล่าวคือประมาณร้อยละ 10–20 หรือในระยะ 5 ปีข้างหน้าคนร้อยคนอย่างคุณพินิจ 10-20 คนจะเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บหน้าอกฉับพลันต้องทำบายพาสหรือต้องทำบอลลูน หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตฉับพลันทันที คุณพินิจไม่แน่ใจว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร ในใจก็คิดว่าหยุดสูบบุหรี่ได้ก็คงจะพอ การตรวจหาและวัดระดับการสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจในคนทั่วไปที่มีลักษณะแบบนี้จะได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก เพื่อบ่งบอกถึงความเสี่ยงในอนาคต และช่วยตัดสินใจในการเลือกการดูแลรักษานอกเหนือไปจากการเลิกสูบบุหรี่

ถ้าคุณพินิจ มีระดับการสะสมของแคลเซียมมากกว่า 400 ขึ้นไป โอกาสที่จะเกิดปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเกือบ 30% และหมายถึงความจำเป็นที่ต้องเลิกบุหรี่อย่างจริงจัง ความจำเป็นที่ต้องรับยาบางชนิดเพื่อป้องกันการอุดตันของโรคหลอดเลือดหัวใจอาทิ ยาแอสไพริน ยาสะเตติน และอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องเดินสายพานเพื่อทราบถึงสภาพความคล่องตัวของการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดหัวใจ

ถ้าคุณพินิจ มีระดับการสะสมของแคลเซียมไม่มากนัก คือน้อยกว่า 100 การเลิกบุหรี่ก็คงเป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่ควรจะทำ แต่ยังไม่จำเป็นต้องรับประทานยา ส่วนผู้ที่มีระดับระหว่าง 100-400 ก็เป็นกลุ่มที่ต้องระวังมาก ควรเลิกบุหรี่เช่นกัน และควรตรวจแคลเซียมหัวใจอีกครั้งทุก 2 ปี ซึ่งถ้ามีปริมาณมากขึ้นก็คงต้องมีการปรับพฤติกรรมบางอย่างมากขึ้น เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาน้ำหนักตัวให้พอดี รวมไปถึงรับประทานยาเพื่อชะลอการสะสมของไขมันมากขึ้นอีก เช่น ยาในกลุ่มสะเตติน ยาแอสไพริน

ข้อดีของการตรวจแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจคือ ไม่ต้องออกกำลัง นอนเฉยๆผ่านเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ไม่ต้องฉีดสีคือให้น้ำเกลือ ข้อสำคัญคือไม่เจ็บตัว แต่เสียสตางค์ ข้อมูลที่ได้ไม่ผันแปรนัก และค่าที่ตรวจได้คงที่หากตรวจซ้ำในระยะเวลาใกล้กัน (ไม่เหมือนกับค่าระดับน้ำตาลในเลือด หรือ ความดันเลือดที่แปรเปลี่ยนในแต่ละเวลา และคนที่วัด) ดังนั้นการตรวจแคลเซียมจึงเป็นทางเลือกในการตรวจหัวใจและอาจจะช่วยหลีกเลี่ยงการเป็นโรคหัวใจเฉียบพลันทันทีก็ได้.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 22 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 23-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


สารพัดโรคจากวิกฤติน้ำท่วม!! ลดเสี่ยงก่อนร่างกาย-จิตใจป่วย



เมื่อเราตกอยู่ในสภาวะอุทกภัยร้ายแรงซึ่งที่ทราบกันดีว่าส่งผลให้บ้านเรือน ทรัพย์สินเสียหาย อย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน หลายคนเกิดความกลัวกระทั่งกลายเป็นความวิตกกังวล และอาจส่งผลให้คนคนหนึ่งมีอารมณ์ความรู้สึกหลายๆอย่างเกิดขึ้นจนกลายเป็นความเครียด เมื่อเครียดมากๆ ร่างกายก็เริ่มเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆมากมาย ดังนั้นเราควรเตรียมพร้อมรับมือก่อนลุกลามทำให้ร่างกายและจิตใจป่วยไปพร้อมๆกัน คงเป็นอะไรที่แย่มากๆ

ทางกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช ได้ให้ความรู้และแนวทางการป้องกันสารพัดโรคต่างๆที่อาจเกิดจากอุทกภัยน้ำท่วมว่า การจัดการกับความเครียดจากวิกฤติการณ์น้ำท่วม หรือการตอบสนองทางอารมณ์จากภัยน้ำท่วม ไม่ว่าใครก็ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น พายุ ไฟไหม้ และภัยน้ำท่วมที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ในขณะนี้ อาจทำให้มีความเครียดจากสาเหตุต่างๆ เช่น ทรัพย์สินเสียหาย การเจ็บป่วย การเสียคนในครอบครัว ซึ่งความเครียดที่เกิดขึ้นอาจมีผลเสียต่อสุขภาพของเราได้โดยที่เราไม่รู้ตัว

ดังนั้นการแสดงออกทางอารมณ์ที่แสดงว่าเราเริ่มมีความเครียดที่อาจจะพบ ได้แก่ มีอาการฝันร้ายหรือฝันซ้ำๆเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วม ไม่สามารถมีสมาธิหรือจดจำสิ่งต่างๆได้ รู้สึกเฉยชา เบื่อ เหนื่อย แยกตัวออกจากสังคมหรือคนรอบข้าง มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธ แสดงออกอย่างรุนแรง มีอาการไม่สบายทางกาย เช่น ปวดหัว อาหารไม่ย่อย ปวดเมื่อยตามตัว มีลักษณะที่แสดงออกถึงการระวังความปลอดภัยของคนในครอบครัวอย่างเกินเลย หลีกเลี่ยงจะจดจำเรื่องน้ำท่วม และร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ

หากเรามีอาการเหล่านี้ควรจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นด้วยการจำกัดการได้รับข่าวสารที่เกี่ยวกับอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติต่างๆแต่พอควร รับข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เรียนรู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอ หากิจกรรมทำเพื่อไม่ปล่อยให้มีเวลาว่างมากเกินไป พยายามติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครอบครัว หรือผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ อาศัยหลักศาสนาเข้ามาช่วย พยายามสร้างอารมณ์ขันอยู่เรื่อยๆ แสดงความคิดของตัวเองออกมาไม่ว่าจะเป็นการพูด การคุยและการแบ่งปันความรู้สึกของตัวเองกับคนอื่นๆ เพื่อแบ่งเบาความเครียดและความวิตกกังวล

นอกจากการดูแลตัวเองทางด้านจิตใจแล้ว ในด้านสุขภาพของตัวเองก็สำคัญและควรหมั่นรักษาสุขภาพให้แข็งแรงด้วย เพราะในภาวะน้ำท่วมเช่นนี้อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆมากมาย คือ “โรคติดต่อเนื่องจากน้ำไม่สะอาด” ได้แก่ ไทฟอยด์ อหิวาต์ โรคฉี่หนู และไวรัสตับอักเสบเอ “โรคติดต่อเนื่องจากมีแมลงเป็นพาหะ” ได้แก่ ไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก รวมถึง “อุบัติเหตุและการบาดเจ็บต่างๆ” เช่น การจมน้ำ

โดยโรคติดต่อเนื่องจากน้ำไม่สะอาด ในภาวะน้ำท่วมจะสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าเกิดขึ้นในชุมชนใหญ่หรือขาดแคลนน้ำสะอาด เนื่องจากน้ำดื่มไม่สะอาดและติดเชื้อน้ำไม่สะอาดอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังอักเสบ แผลติดเชื้อ ตาอักเสบ ติดเชื้อทางเดินอาหาร ซึ่งเชื้อโรคที่สามารถติดต่อทางน้ำ ได้แก่ เชื้อไวรัส เช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ หรือเชื้อโปลิโอ เชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้ออหิวาต์ ไทฟอยด์ เชื้อ Coliform ที่ทำให้มีอาการท้องเสีย และเชื้อโปรโต
ซัว เช่น Cryptosporidiosum, Amebae, Giardia

ส่วนใหญ่แล้วการติดต่อเชื้อโรคจะมาจากการดื่มน้ำไม่สะอาด แต่มีบางโรคที่สามารถระบาดได้มากโดยการติดต่อทางการสัมผัสทางผิวหนัง เช่น โรคฉี่หนู ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อผ่านทางผิวหนังหรือเยื่อของร่างกายที่สัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนฉี่หนูหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ติดเชื้อ หากติดเชื้อจะมีอาการไข้สูง ปวดหัวมาก ปวดเมื่อยตามตัว ถ้าเป็นรุนแรงอาจมีอาการตัวเหลือง ตับวาย ไตวายหรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

สำหรับโรคไวรัสตับอักเสบเอ เป็นโรคที่มีการอักเสบของตับ จากการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อน โดยจะมีระยะฟักตัว 15-45 วันก่อนมีอาการ จากนั้นอาการจะเริ่มต้นด้วยอาการปวดเมื่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร คลื่นไส้ ไข้ต่ำ อุจจาระสีซีดและปัสสาวะสีเข้ม มีอาการตัวเหลืองตาเหลืองดีซ่าน หลังรับการรักษาแล้วควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และอาหารมัน แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตามการป้องกันโรคติดเชื้อที่มาจากน้ำ คือการดื่มน้ำสะอาดและเพียงพอเพื่อป้องกันร่างกายจากการขาดน้ำ โดยน้ำสะอาดได้แก่ น้ำต้มสุกหรือผ่านคลอรีน

นอกจากโรคติดเชื้อที่มาจากน้ำแล้วยังมีโรคอื่นๆอีก ได้แก่เรื่องของอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการจมน้ำ หรืออุบัติเหตุการบาดเจ็บอื่นๆ ถ้ามีบาดแผลควรฉีดวัคซีนป้องกับาดทะยักและรับประทานยาแก้อักเสบเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ที่สำคัญพ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด เพราะภาวะอุณหภูมิในร่างกายต่ำผิดปกติ(Hypothermia) มักพบในเด็กเล็ก หากติดอยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจมากขึ้น

ความเครียดจากภัยธรรมชาติมักเป็นกันทุกคน แต่ขอให้เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะหากเราไม่รีบตั้งสติรับมือกับมันเพื่อป้องกัน อาจทำให้สุขภาพของเราค่อยๆย่ำแย่ แล้วจะแก้ไขสถานการณ์ร้ายแรงกลับมาได้อย่างไร เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม...

เคล็ดลับสุขภาพดี ดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพรไทยสู้ภัยน้ำท่วม

จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย นอกจากจะส่งผลเสียต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัยแล้ว ในเรื่องของสุขภาพหลายคนเริ่มจะเจ็บป่วยแล้ว รวมทั้งสภาพอากาศก็เริ่มหนาวเย็นอีกด้วย หากเราไม่รู้จักดูแลร่างกายให้ดีอาจเจ็บป่วยได้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าต้องเจ็บป่วยท่วมกลางสถานการณ์ที่วิกฤติเช่นนี้ วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีแนะนำสมุนไพรเพื่อบรรเทาทุกข์จากโรคต่างๆมาฝากกัน

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร จากมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้ความรู้ว่า การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้แก่ โรคหวัด มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไอจาม อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย เบื่ออาหาร หรือมีไข้ร่วมด้วย เราสามารถใช้สมุนไพรที่หาง่ายใกล้ตัวอย่างฟ้าทลายโจร สามารถนำมารักษาได้โดย 1. ยาชง ใช้ใบ 5-7 ใบ สดหรือแห้งก็ได้เติมน้ำเดือดลงไปจนเกือบเต็มแก้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วรินน้ำกินครั้งละ 1 แก้ววันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร ยาต้ม ใช้ทั้งต้นและใบจำนวน 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 3-4 แก้ว ให้เดือดนาน 10-15 นาที กินขณะที่ยังอุ่นอยู่ ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งสามารถกลบรสขมได้ด้วยการกินของรสเปรี้ยว เค็มตาม

การใช้สมุนไพรฟ้าทลายโจรให้ได้ผลดีและออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุดในการแก้หวัดคือ ถ้าเริ่มรู้สึกว่าครั่นเนื้อครั่นตัวทำท่าว่าจะเป็นไข้ให้รีบรับประทานทันที นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณรักษาอาการท้องเสียโดยไม่ทำให้หยุดถ่ายทันที วิธีใช้คือเริ่มใช้เมื่อมีอาการโดยใช้ผสมกับผงเกลือแร่ดื่มทันที และไม่ควรรับประทานยาแก้ท้องเสียหรือยาปฏิชีวนะ ยกเว้นในรายที่ติดเชื้ออหิวาตกโรคควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

สำหรับสมุนไพรในครัว เช่น ขิงก็สามารถนำมาแก้หวัดได้ จากงานวิจัยพบว่าน้ำขิงที่ได้จากการต้ม 30 นาที ช่วยกระตุ้นการทำงานของ Macrophage ที่มีหน้าที่ในการจับกินเชื้อไวรัส H3N2 ที่เข้าไปในร่างกาย ซึ่งเราสามารถกินน้ำขิงเพื่อป้องกันหวัดได้โดยการนำขิงแก่สดล้างสะอาดทุบให้พอบุบโดยไม่ต้องขูดเปลือกทิ้ง ประมาณ 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำสะอาด 3 ลิตร ต้มให้เดือดแล้วลดไฟลง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนไปเรื่อย ๆ จนน้ำขิงกลายเป็นสีเหลือง เติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งตามใจชอบก็จะได้น้ำสมุนไพรต้านหวัดแล้ว

กระเทียม เป็นสมุนไพรในครัวเรือนสารพัดประโยชน์อีกหนึ่งตัว ที่เพียงรับประทานกระเทียมสดเป็นประจำก็สามารถป้องกันหวัดและลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยของญี่ปุ่นว่ากระเทียมในรูปของ Aged Garlic Extract (AGE-การแช่กระเทียมที่หั่นหรือสับใน 15-20 เปอร์เซ็นต์ แอลกอฮอล์ แล้วทิ้งไว้นานมากกว่า 10 เดือนที่อุณหภูมิห้องก่อนนำมาทำให้เข้มข้น) มีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้มีประสิทธิผลในการป้องกันหวัดได้ดีเท่ากับการใช้วัคซีนกระเทียมดอง ซึ่งในฤดูกาลที่มีการระบาดของหวัดควรรับประทานกระเทียมในรูปแบบต่างๆเป็นประจำ

นอกจากนี้ยังมี สมุนไพรใช้ทาภายนอก หากถูกแมลงสัตว์กัดต่อย มีอาการปวดบวมแดงร้อนบริเวณถูกกัดต่อย ควรรีบทำความสะอาดและใช้สมุนไพรที่มีความเป็นกรด เช่น มะนาว น้ำส้ม มะขามเปียกโปะไว้ ซึ่งพิษของสัตว์มีพิษทุกชนิดจะเป็นสารโปรตีนจึงถูกทำลายด้วยสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด และ สมุนไพรจำพวกตะไคร้หอม ใบกะเพรา ใบเสลดพังพอนตัวผู้หรือตัวเมีย นำไปตำ คั้นเอาน้ำ หรือนำไปตากในที่ร่มแล้วบดเป็นผงนำมาทาตัวเพื่อป้องกันยุงกัดได้ เพราะยุงเป็นสัตว์ที่มักมาพร้อมกับน้ำท่วมขัง และหากถูกยุงกัดใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบที่นิยมคือ ปูนแดง ช่วยลดอาการอักเสบ เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้ภูมิปัญญาไทยดูแลรักษาสุขภาพของตนเองและครอบครัวเบื้องต้นได้ยามประสบอุทกภัยแล้ว

หากใครต้องการสอบถามเรื่องการใช้สมุนไพรเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โทร. 0-3721-1288-9.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 23 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 24-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


ปัสสาวะถี่เกินพิกัด ระวังช้ำรั่ว!



แม้ไม่ได้ดื่มน้ำ แต่ปวดปัสสาวะถี่ อั้นไม่ได้ ฉี่ราด ส่อเค้าช้ำรั่ว อาจเกิดจากสาเหตุที่ไม่น่าจะเกี่ยวกัน

การปัสสาวะที่ถี่เกินไป อย่าวางใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะนั่นเป็นหนึ่งในอาการของภาวะช้ำรั่ว หรือชื่อโรคอย่างเป็นทางการเรียกว่า Overactive Bladder โดยอาการสำคัญของโรคนี้ประกอบด้วย การปัสสาวะเกิน 8 ครั้งต่อวัน ในเวลากลางคืนก็ยังต้องตื่นขึ้นไปปัสสาวะมากกว่า 2 ครั้ง

แต่หากเป็นคนดื่มน้ำเยอะและชอบดื่มคราวละมากๆ อาจสังเกตอาการผิดปกติจากความถี่ในการปัสสาวะไม่ได้ เนื่องจากการดื่มน้ำมากอย่างที่กล่าวทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังพบอาการอั้นปัสสาวะไม่อยู่จนปัสสาวะราด!

แม้สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ทางการแพทย์เชื่อว่าอาจเป็นผลมาจากความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดแดงแข็ง เพราะการที่ความดันสูงหรือเลือดที่ต้องส่งไปเลี้ยงสมองผิดปกติจากโรคหลอดเลือด จะทำให้สมองสั่งการไปยังกระเพาะปัสสาวะแบบไม่สอดคล้องกัน เกิดการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะผิดจังหวะ

อีกทั้งยังทำให้กระเพาะปัสสาวะมีปฏิกิริยาไวต่อความรู้สึกจนอั้นไม่อยู่ เช่น ได้ยินเสียงน้ำไหลก็ปัสสาวะราด หรือเจออากาศเย็นๆ ก็ปวดปัสสาวะขึ้นมาทันที

ช้ำรั่ว เกิดได้กับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-80 ปี โดยเริ่มพบมากในวัย 40 ปีขึ้นไป ทั้งนี้คนที่ป่วยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และมีน้ำหนักตัวเกินจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นช้ำรั่วได้ง่าย ขณะที่ผู้ป่วยเพศชายจะมีอาการไม่ชัดเจนเท่าเพศหญิง เนื่องจากผู้ชายมีท่อปัสสาวะที่ยาวกว่าทำให้อั้นปัสสาวะได้นานกว่า

การรักษาอาการช้ำรั่ว แพทย์มักแนะนำให้ขมิบก้น 2 แบบด้วยกัน คือ ขมิบข้างไว้ นับ 1-5 แล้วจึงคลาย จากนั้นขมิบอีกแบบ โดยขมิบและนับ 1 แล้วคลายก้น ทำซ้ำแบบที่ 2 ไป 5 ครั้ง รวมการขมิบทั้ง 2 แบบ นับเป็น 1 รอบ และควรทำให้ได้ 40-50 ครั้งต่อวันด้วย.



จาก ..................... เดลินิวส์ คอลัมน์ สารพันวันละโรค วันที่ 24 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #9  
เก่า 28-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


คะน้า ฆ่ามะเร็งร้าย



"อาหารเจ" จากไป แต่หัวใจยังอาวรณ์ "ผัก" ก็ต้องชวนมากิน "คะน้า" พยัคฆ์พิทักษ์ชีวิต ฆ่าเนื้อร้ายให้วายวอด

"อาหารเจ" จากไป แต่หัวใจยังอาวรณ์ "ผัก" ก็ต้องชวนมากิน "คะน้า" พยัคฆ์พิทักษ์ชีวิต ฆ่าเนื้อร้ายให้วายวอด

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกว่า "คะน้า" หน้าตาไม่เหมือนกันทั้งโลกหรอกนะ บางแห่งนิยมผักคะน้ายอด บ้างก็ชอบผักคะน้าก้าน หรือคะน้าต้น แต่อย่างไรพวกมันล้วนจัดอยู่ในตระกูล Cruciferae เหมือนกัน แต่สำหรับพวกเราคนไทย มักคุ้นกับคะน้ายอด ที่มีลักษณะต้นอวบใหญ่ยาว มีดอกสีขาว ใบยาวแหลม ก้านใหญ่ มีรสอร่อยมากกว่า

หลายคนเกลียดคะน้า บ้างก็ว่า เหม็นเขียว แข็งเคี้ยวยาก ไม่หวานชวนชิม แต่ถ้าเลือกคะน้าอย่างถูกวิธีแล้วล่ะก็ เราจะมีความสุขกับการบริโภคคะน้าอย่างน่าอัศจรรย์

เจ้าของฉายา "ลุงหนวด คะน้าราชบุรี" เกษตรกรผู้ปลูกคะน้าไฮบริดคอมโบ้ เล่าให้ฟังว่า ผู้บริโภคควรคัดสรรคะน้าที่ใช้พันธุ์ดีในการปลูก สามารถนำมาปรุงอาหาร อาทิเช่น ราดหน้า ผัดผักคะน้าหมูกรอบ หรือเครื่องเคียงขาหมูได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก

ส่วนคนซื้อก็ต้องเลือกคะน้าที่ผิวสัมผัสก่อน โดยเลือกคะน้าที่มีความนวลเหมือนแป้งเคลือบไว้บนใบ อาจไม่สวยงามมากมาย แต่ก็ยังดีกว่าโดนใบคะน้ามันวาวมาล่อตาล่อใจ เพราะนั่นคือ "ยาฆ่าแมลง" ที่ฉาบไว้เต็มๆ อย่างไรก็ดีก่อนนำมาทำอาหารควรล้างด้วยน้ำผสมเกลือ หรือโซดาไบคาร์บอเนต หรือน้ำส้มสายชู ถือว่าป้องกันขั้นสุดยอดไว้ก่อน

นอกจากนั้น ลุงหนวดยังฝากข้อคิดดีๆไว้ว่า เจ้าผักคะน้าของลุงจัดอยู่ในพืชสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคได้ด้วย มีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่าบล็อกโคลีเลยล่ะ

ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ หัวหน้างานฝึกอบรม โครงการบริการวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยี ฝ่ายวิจัยและบริการคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยว่า คะน้ามีวิตามินหลายชนิด โดดเด่นที่มีเบต้าแคโรทีน และสารซัลโฟราเฟนโฟเลท ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลายแห่งในร่างกาย ทั้งกระเพาะอาหารลำไส้ ปอด และกระเพาะปัสสาวะ

ทั้งยังมีวิตามินซี นอกจากเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคมีความแข็งแรงสมบูรณ์ ช่วยป้องกันหวัดและโรคลักปิดลักเปิดแล้ว แต่เมื่อเจ้าเบต้าแคโรทีนผนึกกำลังกับวิตามินซี มันจะกลายร่างเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ และยังเปลี่ยนตัวเองให้เป็นวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณ และต้านทานการติดเชื้อ

นอกจากนั้นยังมีผลงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า การรับประทานคะน้า 1 ถ้วย จะได้รับแคลเซียมพอๆ กับการดื่มนม 1 แก้ว การกินคะน้าจึงเสริมสร้าง บำรุงกระดูกและฟัน สามารถใช้ป้องกันโรคกระดูกพรุนหรือบางได้

ทั้งยังให้โฟเลตและธาตุเหล็กสูง ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง และยังเหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะโฟเลตกับสารอินโดลส์ (indoles) ที่มีอยู่ในคะน้ายังป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้ด้วย ตามด้วยไนอาซิน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินบี 2 อุดมด้วยเส้นใย และลูเทียน (lutein)

เมื่อรวมสารอาหารทั้งหมดแล้ว การบริโภคคะน้า ซึ่งเป็นผักรสเผ็ดร้อน จึงช่วยปรับธาตุลมให้ดีขึ้น ช่วยขับเสมหะ ทำให้หายใจได้สะดวก ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้กระหายน้ำ และยังป้องกันการเกิดโรคที่หลอดเลือดแดงใหญ่ และต้านเชื้อก่อโรคได้

นักวิชาการฝากเตือนมาว่า ถึงจะกินอร่อยจนยั้งไม่อยู่แล้ว ก็ไม่ควรบริโภคมากเกินไป เพราะผลวิจัยพบสารกอยโตรเจน (goitrogen) ทำให้ท้องอืดได้ง่าย

ถ้าเห็นเมนูที่มีคะน้าเมื่อใด รีบปรี่เข้าไปซื้อมารับประทาน ทั้งอิ่มท้องและอุดมด้วยคุณประโยชน์มหาศาล




จาก ..................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 28 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #10  
เก่า 28-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


สมุนไพร...ดูแลสุขภาพช่วงน้ำท่วม



การใช้สมุนไพรในช่วงน้ำหลาก ถ้ารู้จักเลือกใช้ ย่อมมีประโยชน์อยู่มากโข

คนโบราณในสมัยก่อนที่มีบ้านอยู่ริมน้ำจะปลูกบ้านยกใต้ถุนสูง ช่วงฤดูน้ำหลากจะตระเตรียมเสบียงข้าวสาร อาหารแห้ง หยูกยาสมุนไพร ไว้ให้เพียงพอในการดำรงชีวิตสำหรับสมาชิกในครอบครัว แต่ในปัจจุบันเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน วิถีชีวิตก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทำให้ภูมิปัญญาในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม และการดูแลสุขภาพวิถีไทยถูกลืมเลือนไป ทั้งที่เป็นองค์ความรู้ที่เกิดจากการเอาชีวิตรอดตามสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศ ดังจะเห็นได้จากการใช้สมุนไพรพื้นถิ่นที่แตกต่างกันทั้งแบบยากิน และยาทา แต่สรรพคุณเหมือนหรือคล้ายกันในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆของชาวบ้าน

แล้วในช่วงน้ำท่วม เราจะใช้สมุนไพรอย่างไร ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระอภัยภูเบศร แนะว่า หากช่วงนี้เป็นหวัด ครั่นเนื้อครั่นตัว ไอ จาม น้ำมูกไหล อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย เบื่ออาหาร หรือมีไข้ร่วมด้วย ให้ใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่มีการใช้มานานนับพันปี มีความปลอดภัยสูง องค์การอนามัยโรคให้การรับรองการใช้เป็นยารักษาหวัดโดยตำรับยาไทย มีขนาดและวิธีการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อการรักษา 4 วิธี คือ

- ยาชง ใช้ใบ 5-7ใบ จะเป็นใบสดหรือแห้งก็ได้ แต่ใบสดจะมีสรรพคุณดีกว่า เติมน้ำเดือดลงไปจนเกือบเต็มแก้ว ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง หรือพอให้ยาอุ่นแล้วรินน้ำกิน ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร หรือใช้เป็นยาต้ม ด้วยการต้มฟ้าทะลายโจรทั้งต้นและใบจำนวน 1 กำมือกับน้ำ 3-4 แก้ว ให้เดือดนาน 10-15 นาที ถ้าต้มให้เดือดไม่นานพอ ยาจะมีกลิ่นเหม็นเขียว กินยาก ควรกินยาในขณะที่น้ำยาอุ่น กินครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร สามารถกลบรสขมได้ด้วยการกินของรสเปรี้ยวเค็มตาม

- นอกจากนี้ฟ้าทะลายโจร ยังนำมาทำเป็น ยาเม็ด ได้ด้วยการเด็ดใบสดมาล้างให้สะอาด ตากแดด 1-2 วัน จนใบแห้งกรอบสีเขียวเข้ม บดเป็นผงให้ละเอียด ปั้นกับน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมเป็นเม็ดขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง แล้วผึ่งลมให้แห้ง เพราะถ้าปั้นกินขณะที่ยังเปียกอยู่จะขมมาก กินครั้งละ 5-10 เม็ด วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร และปัจจุบันยังนิยมทำเป็นยาแคปซูล แทนที่จะเอาผงยาที่ได้มาปั้นเป็นเม็ด ก็เอามาใส่แคปซูลเพื่อช่วยกันรสขมของยาแคปซูลที่ใช้ ให้ใช้ขนาดเบอร์ ๐ หรือประมาณ 400-500 มิลลิกรัมของผงแห้ง กินครั้งละ 2-4 แคปซูล วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร

การใช้ฟ้าทะลายโจรที่ให้ผลดีและออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุดในการแก้ไข้หวัดคือ ถ้าเริ่มรู้สึกว่าครั่นเนื้อครั่นตัวทำท่าว่าจะเป็นไข้ ให้รีบรับประทานทันที แต่ถ้าเป็นมา 2-3วันแล้วค่อยมากินยาจะรู้สึกไม่ค่อยได้ผลหรือได้ผลน้อย

ฟ้าทะลายโจร นอกจากจะมีสรรพคุณในการลดไข้แก้หวัดแล้ว ยังเป็นสมุนไพรที่มีการศึกษาว่า สามารถรักษาอาการท้องเสียโดยไม่ทำให้หยุดถ่าย เมื่อเริ่มมีอาการให้รีบผสมผงเกลือแร่ดื่มทันที ไม่ควรรับประทานยาแก้ท้องเสียหรือยาปฏิชีวนะ ให้ใช้ฟ้าทะลายโจรขนาด 2 กรัมต่อวันแบ่งให้ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2 วัน ฟ้าทะลายโจรจะทำให้การขับถ่ายเป็นปกติและมีประสิทธิภาพในการรักษาดีกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะ ยกเว้น ในรายที่ติดเชื้ออหิวาตกโรค ควรนำส่งโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลโดยด่วน



สมุนไพรไทยต้านหวัดนอกจากฟ้าทะลายโจรแล้ว ยังมี ขิง ใช้แก้หวัดได้ จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน The American Journal of Chinese Medicine เมื่อปี 2006 พบว่า น้ำขิงที่ได้จากการต้ม 30 นาที ช่วยกระตุ้นการทำงานของ macrophage ที่มีหน้าที่ในการจับกินเชื้อไวรัส H3N2 ที่เข้าไปในร่างกาย ตามตำรายาพื้นบ้านไทย เราสามารถทำน้ำขิงพิชิตหวัดและแก้ไอ ได้ไม่ยากนัก ด้วยการใช้ขิงแก่สดล้างสะอาดทุบให้พอบุบๆ โดยไม่ต้องขูดเปลือกทิ้ง ประมาณ 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะและน้ำสะอาด 3 ลิตร ต้มให้เดือดแล้วลดไฟลง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนไปเรื่อยๆ จนน้ำขิงกลายเป็นสีเหลือง เติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งตามใจชอบ เพียงเท่านี้เราก็จะได้เครื่องดื่มที่มีสรรพคุณต้านหวัดได้

สมุนไพรไทยสารพัดประโยชน์อีกตัว คือ กระเทียม มีการศึกษาพบว่าการรับประทานกระเทียมสดสามารถป้องกันหวัดและลดระยะเวลาการเป็นหวัด และยังมีรายงานการวิจัยของญี่ปุ่นว่า กระเทียมในรูปของ Aged Garlic Extract (AGE - การแช่กระเทียมที่หั่นหรือสับใน 15-20% แอลกอฮอล์ แล้วทิ้งไว้นานมากกว่า 10 เดือนที่อุณหภูมิห้องก่อนนำมาทำให้เข้มข้น) มีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน จากการทดลองในหนูถีบจักร พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันหวัดได้ดีเท่าการให้วัคซีนกระเทียมดอง ในฤดูกาลที่มีการระบาดของหวัดควรรับประทานกระเทียมในรูปแบบต่างๆ เป็นประจำ นอกจากนี้กระเทียม ยังทำให้การหายใจโล่งขึ้นอีกด้วย

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ยังแนะนำวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคหวัดอย่างง่ายๆ ด้วยการทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย ใช้ผ้าปิดปากเวลาไอจาม ล้างมือให้สะอาด ใช้ช้อนกลาง รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานเครื่องเทศที่มีรสเผ็ดร้อน สมุนไพรที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย อย่าง ตระไคร้ กระเพรา บัวบก พลูคาว หอมแดง หอมใหญ่ ผักชีฝรั่ง ใบหม่อน และใบฝรั่ง ที่อุดมด้วยสาร Queritin รวมทั้งผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงๆ อย่างมะขามป้อม มะนาว ส้ม ผลยอ หรือ ผลไม้ที่มีสีแดง เป็นสมุนไพรที่ควรจะนำมารับประทานเป็นประจำในช่วงนี้ และดื่มน้ำอุ่นมากๆ นอกจากนี้การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการได้รับแสงแดดบ้าง จะช่วยเพิ่มวิตามินดี ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน และภูมิคุ้มกันดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการใช้สมุนไพรทาภายนอก หากถูกแมลงสัตว์กัดต่อย มีอาการปวดบวมแดงร้อนบริเวณถูกกัดต่อย ควรรีบทำความสะอาดบริเวณที่ถูกกัดต่อย และใช้ความเป็นกรดไปทำลายพิษของสัตว์ที่มีพิษ เช่น น้ำมะนาว น้ำส้ม มะขามเปียก เนื่องจากพิษของสัตว์มีพิษทุกชนิดเป็นสารพวกโปรตีน จึงถูกทำลายได้ด้วยสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้นหลังจากถูกกัดใหม่ๆ ต้องใช้สำลีหรือผ้าก๊อซชุบน้ำสมุนไพรที่กล่าวมาแล้วนั้นไปโปะไว้ หรือ นำส่วนที่ถูกกัดจุ่มไว้จนกว่าจะหายปวด ซึ่งในสมัยก่อนนิยมใช้เขาสัตว์ ขนเม่น เปลือกหอย หรืออะไรที่มีแคลเซียมฝนกับน้ำมะนาว ทาบ่อยๆ หรือใช้มะขามเปียกผสมปูนแดงเล็กน้อยทาแปะไว้ ซึ่งหลังถูกกัดต่อยควรรีบทำทันทีก่อนที่พิษจะก่อให้เกิดการอักเสบมากขึ้น หรืออาจใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบตำพอก เช่น ใบเสลดพังพอนทั้งตัวเมียและตัวผู้ ใบตำลึง ใบรางจืด ตำหรือปั่นให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อยพอกไว้ หรือ สามารถใช้ใบรางจืดประมาณ 7-10 ใบต้มน้ำกิน แต่ถ้ามีอาการมากควรใช้การตำหรือปั่นใส่น้ำซาวข้าวกินด้วย เพื่อลดความรุนแรง

"ยุง เป็นสัตว์พาหะอีกชนิดหนึ่งที่มาพร้อมกับน้ำท่วมขัง เราสามารถใช้สมุนไพรจำพวก ตะไคร้หอม ใบกระเพรา ใบเสลดพังพอนตัวผู้หรือตัวเมีย ตำ คั้นน้ำ หรือนำไปตากในที่ร่มแล้วบดเป็นผง นำมาทาตัวเพื่อป้องกันยุงกัดได้ หากยุงกัดเป็นตุ่ม บวม แดง ให้ใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์การอักเสบทาบริเวณที่เป็น ที่นิยมคือ ปูนแดง ซึ่งได้จากปูนขาวผสมกับขมิ้น หรืออาจใช้ผงขมิ้นละลายน้ำ ขมิ้นเป็นสีย้อม อาจทำให้เลอะเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าได้" ภญ.ดร.สุภาภรณ์ กล่าวปิดท้าย

ซึ่งทางมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ส่งชุดสมุนไพรอภัยภูเบศรเพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ประกอบไปด้วย ยารักษากลากเกลื้อนน้ำกัดเท้า ยาหม่องเสลดพังพอน คาลาไมน์พญายอ ยาการ์ซิดีนสกัดจากมังคุดช่วยสมานแผล ฆ่าเชื้อโรค ยาแคปซูลฟ้าทลายโจร แคปซูลขมิ้นชัน ยาน้ำแก้ไอมะขามป้อม ผงเกลือแร่ เป็นต้น แจกจ่ายไปยังจังหวัดต่างๆ ที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมผลิตยาหม่องสมุนไพรสรรพบำบัด ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรป้องกันยุง แจกผู้ประสบภัยน้ำท่วม ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการใช้สมุนไพร สอบถามที่มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โทร 037-211-288-9 ทุกวันในเวลาราชการ




จาก ..................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 28 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:03


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger