#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อน ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อย อนึ่ง ในช่วงวันที่ 15 - 18 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนอีกละลอกหนึ่งจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิลดลง 2-3 องศาเซลเซียส อากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 12 - 13 ธ.ค. บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อย ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 ธ.ค. บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนอีกละลอกหนึ่งจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 12 - 13 ธ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 ธ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
พบเครื่องเข้ารหัสอีนิกมาในทะเลบอลติก เครื่องเข้ารหัสอีนิกมา (Enigma encryp-tion machine) เคยเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการป้องกันความลับทางการทหาร การทูตถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในกองทัพนาซีเยอรมนีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องมือเหล่านี้บางชิ้นก็สูญหายโดยจมใต้ทะเล กลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ในประวัติศาสตร์ที่รอการค้นพบ แต่เมื่อถึงเวลาจะเจอก็ได้เจอ เมื่อนักดำน้ำชาวเยอรมันรายงานว่าค้นพบเครื่องเข้ารหัสอีนิกมาในทะเลบอลติกเมื่อเดือนที่แล้วระหว่างการค้นหาอวนจับปลาที่ถูกทิ้งร้างในอ่าวเกลติง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนี เครื่องเข้ารหัสในตำนานถูกระบุว่าเป็นเครื่องที่ทหารนาซีใช้ส่งข้อความเข้ารหัสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานโบราณคดีแห่งรัฐชเลสวิก โฮลชไตน์ (SchleswigHolstein) ในเยอรมนี เผยว่าเครื่องมือนี้จะได้รับการบูรณะโดยผู้เชี่ยวชาญที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีของรัฐ หลังจากนั้นก็จะจัดแสดงให้ชมที่พิพิธภัณฑ์ต่อไป ด้านนักประวัติศาสตร์กองทัพเรือจาก German Naval Association เชื่อว่าเครื่องอีนิกมาที่มีตัวหมุน 3 ตัวถูกโยนลงน้ำจากเรือรบเยอรมันในช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่จะถูกทิ้งจากเรือดำน้ำ เนื่องจากเรือดำน้ำของฮิตเลอร์ใช้เครื่องอีนิกมาแบบ 4 จานหมุนที่มีความซับซ้อนกว่าเยอะ. https://www.thairath.co.th/lifestyle...Pos=1#cxrecs_s
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ปรับเกณฑ์ทำประมง แก้ไขเครื่องมือทำกินช่วยชาวเลจับปลา นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงได้ออกประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์การอนุญาตให้แก้ไขเครื่องมือทำการประมงในใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ พ.ศ.2563 เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ แก้ไขรายการเครื่องมือทำการประมงในใบอนุญาต เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพและสามารถปรับเปลี่ยนการใช้เครื่องมือทำการประมงได้เหมาะสมตามช่วงฤดูกาลของแต่ละพื้นที่ ตามที่มีพี่น้องชาวประมงเรียกร้องมาและนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้เรียกประชุมเพื่อแก้ปัญหาให้ โดยผู้รับอนุญาตสามารถยื่นคำขอเปลี่ยนแปลงใบอนุญาตได้ที่สำนักงานประมงอำเภอท้องที่ติดทะเลทุกแห่ง โดยกรมประมงจะดำเนินการผ่านระบบการออกใบอนุญาตทำการประมงอิเล็กทรอนิกส์ (E-license) ประกอบด้วย การเปลี่ยนจากการใช้เครื่องมือประสิทธิภาพสูง เป็นเครื่องมือประสิทธิภาพสูงด้วยกัน แต่มีประสิทธิภาพการจับสัตว์น้ำต่ำกว่า เช่น อวนลากคู่ ขอเปลี่ยนเป็นอวนลากแผ่นตะเฆ่ โดยกรณีนี้กรมประมงจะนำปริมาณสัตว์น้ำของเครื่องมืออวนลากคู่เดิมมาคำนวณจำนวนวันทำการประมงใหม่ตามประสิทธิภาพของเครื่องมือทำการประมงที่เปลี่ยนแปลงไป และจากเครื่องมือประสิทธิภาพสูง เป็นเครื่องมือประสิทธิภาพต่ำได้ เช่น อวนลากแผ่นตะเฆ่ ขอเปลี่ยนเป็นอวนติดตา อวนครอบหมึก ลอบปลา เบ็ดราว นอกจากนี้ จากเครื่องมือกลุ่มประสิทธิภาพต่ำ เป็นเครื่องมือกลุ่มประสิทธิภาพต่ำด้วยกันได้ เช่น ครอบหมึก ขอเปลี่ยนเป็น ลอบปู ลอบปลา เบ็ดราว อวนติดตา เป็นต้น ขณะเดียวกัน ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตทำการประมงสามารถขอเพิ่มขนาดหรือจำนวนเครื่องมือทำการประมงที่ได้รับอนุญาตอยู่แล้วได้ แต่เมื่อรวมกับขนาดหรือจำนวนที่ได้รับอนุญาตเดิม ต้องไม่เกินมาตรฐานของเครื่องมือทำการประมงพาณิชย์ที่อนุญาตให้ใช้ทำประมงได้ เช่น เครื่องมืออวนลากคู่ ขอเพิ่มความยาวคร่าวล่างปากอวน โดยเมื่อรวมกับความยาวที่ได้รับอนุญาตอยู่แล้วได้ ไม่เกิน 100 เมตร หรือเครื่องมืออวนลอบปู ของเรือขนาดไม่เกิน 30 ตันกรอส ขอเพิ่มจำนวนลอบปู โดยเมื่อรวมกับที่ได้รับอนุญาตเดิมได้ไม่เกิน 3,500 ลูก เป็นต้น "การประกาศอนุญาตให้สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงเครื่องมือทำการประมงในใบอนุญาตฯ ในครั้งนี้ จะช่วยให้พี่น้องชาวประมงสามารถประกอบอาชีพได้อย่างเหมาะสม จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ให้สามารถทำการประมงได้สอดคล้องกับฤดูกาล ซึ่งจะไม่กระทบต่อปริมาณสัตว์น้ำสูงสุดที่สามารถให้ทำการประมงได้ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติกำหนด". https://www.thairath.co.th/news/busi...siness/1993375 ********************************************************************************************************************************************************* หนุ่มเจ้าของเรือทัวร์ใจบุญ ควักเงินไถ่ชีวิตแม่ปูทะเล ปล่อยคืนธรรมชาติ นับถือหัวใจ "บังโอ๊ต" หนุ่มเจ้าของเรือทัวร์ที่กระบี่ ซื้อปูไข่ในตลาดปล่อยคืนธรรมชาติ ชี้บางตัวขนาดยังไม่ได้ บางตัวแม่ปูไข่เต็มท้อง ให้เขาได้โตได้ขยายพันธุ์เพื่ออนาคตภายหน้าจะได้มีปูกินอีก ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.กระบี่ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.63 ในสังคมโซเชียลของชาว จ.กระบี่ มีการแชร์โพสต์ของหนุ่มคนหนึ่ง ที่นำภาพกลุ่มคนหนุ่มสาว ช่วยกันนำปูดำ ซึ่งเป็นปูที่ถูกซื้อมาจากพ่อค้าแม่ค้า นำมาปล่อยกลับคืนสู่ทะเล พร้อมทั้งมีข้อความว่าขอบคุณญาติ ๆ พี่น้องเขาที่เป็นอาหารให้กับลูกค้าผม ปล่อย 1 เกิด 1,000 ปล่อย 10 เกิด 10,000 ปล่อย 100 เกิด 100,000 ทำให้ผู้คนพากันชื่นชมชายเจ้าของโพสต์ ที่มีจิตสำนึกที่ดี ด้วยการปล่อยชีวิตคืนกลับธรรมชาติ ผู้สื่อข่าวตรวจสอบเรื่องนี้ จนทราบว่าชายเจ้าของโพสต์ดังกล่าว คือ นายอภิวัฒน์ เหลืองอ่อน อายุ 36 ปี เจ้าของบริษัททัวร์ ชื่อ กระบี่จิงเฉิงทัวร์ ตั้งอยู่หาดอ่าวนาง ต.อ่าวนาง จ.กระบี่ จึงเดินทางไปสอบถาม พูดคุยกับเจ้าตัวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ข้อมูลว่า นายอภิวัฒน์ หรือบังโอ๊ต เป็นเจ้าของบริษัททัวร์ มีเรือทัวร์หลายลำคอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่หาดนพรัตน์ธารา ต.อ่าวนาง โดยเหตุการณ์ตามที่โพสต์ เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา บังโอ๊ต ไปเดินตลาดสดในหมู่บ้าน แล้วเห็นพ่อค้า แม่ค้า นำปูดำมาขายให้กับผู้บริโภค จึงขอซื้อมาทั้งหมด 8-9 กก. ปกติจะขายกันราคา กก.ละ 230 บาท แต่ขอซื้อเหมามาราคาทั้งหมด 1,700 บาท ซึ่งจุดประสงค์ไม่ได้ซื้อเพื่อนำมาทำอาหารกิน แต่ซื้อมาปล่อยคืนทะเล เนื่องจากปูหลายตัวมีขนาดที่ยังไม่โตมาก และบางตัวเป็นปูที่กำลังตั้งท้องอุ้มไข่อยู่ บังโอ๊ต กล่าวว่า กิจกรรมที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่ได้เพิ่งทำ แต่ตนทำมานานหลายปีแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยนำมาโพสต์ แต่ล่าสุดที่บริษัทมีน้องนักศึกษามาฝึกงานกันหลายคน ตนอยากปลูกฝังจิตสำนึกให้น้อง ๆ รู้จักรักธรรมชาติ จึงให้น้อง ๆ มาช่วยกันปล่อยปูที่ซื้อมา เพื่อให้ปูเหล่านั้นได้มีโอกาสออกไปขยายพันธุ์เพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาสัตว์เหล่านี้ก็เป็นอาหารให้เราได้กิน ได้บริโภคมามากแล้ว มีโอกาสเราก็ต้องคืนชีวิตให้เค้าบ้าง จะทำให้เรามีกินมีใช้กันในอนาคต อีกอย่างเราทำงานด้านนี้ ต้องอยู่กับธรรมชาติ หากินกับธรรมชาติ จึงยิ่งต้องช่วยกันดูแลธรรมชาติด้วย ธรรมชาติจึงจะอยู่ให้เราได้มีกินมีใช้กันยาวๆ เจ้าของบริษัททัวร์ใจบุญ กล่าวด้วยว่า ขอฝากถึงผู้คนทั่วไปด้วยว่า อยากให้ทุกคนมีจิตใจที่รัก และหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต โดยเฉพาะสัตว์ทะเลที่เราบริโภคอยู่ หากเห็นว่าเป็นสัตว์ที่กำลังตั้งท้องจะขยายพันธุ์ ก็พยายามอย่าไปเลือกบริโภค เช่น แม่ปูที่กำลังวางไข่ หากเราเลิกบริโภค คนที่ออกหาสัตว์เหล่านี้ ก็จะเลิกจับ เลิกหา ทำให้สัตว์เหล่านี้ได้มีโอกาสขยายพันธุ์เพิ่ม นอกจากจะเพิ่มปริมาณให้เราได้มีบริโภคในอนาคตแล้ว ยังถือเป็นการทำบุญไปในตัวด้วย ไม่ต้องไปวิ่งทำบุญที่ไหน เราทำได้ง่าย ๆ จากสิ่งที่เราเห็นใกล้ตัวเรา. https://www.thairath.co.th/news/local/south/1993176
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
คอนเทนเนอร์วินาศ เจอพายุแรงซัดเรือขนส่ง สูญตกทะเล 1,816 ตู้ คอนเทนเนอร์วินาศ - เซาท์ไชนา มอร์นิงโพสต์ เผยแพร่คลิปความเสียหาย เรือขนส่งบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาดยักษ์เต็มลำ เดินทางจากจีนมีจุดหมายไปสหรัฐอเมริกา แต่ไปไม่ถึงไหน เจอพายุซัดขณะอยู่ในน่านน้ำไปญี่ปุ่น จนกองตู้ล้มระเนระนาด สูญไปกว่า 1,816 ตู้ เชื่อว่าเป็นความเสียหายสูงสุดในประวัติศาสตร์ของเรือขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ เดลีเมล์ รายงานว่า เรือลำดังกล่าวชื่อ ONE Apus ติดธงญี่ปุ่น เป็นของบริษัทโอเชียน เน็ตเวิร์ก เอ็กซ์เพรส มีขนาด 364 เมตร บรรทุกคอนเทนเนอร์ได้ราว 14,000 ตู้ เดินทางมาถึงท่าเรือโกเบของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 30 พ.ย. หลังจากเดินทางมา 8 วัน ในทะเลแปซิฟิก คนบนเรือแจ้งว่าระหว่างทางเจอคลื่นลมแรงมาก คลื่นสูงถึง 15 เมตร ซัดเอาคอนเทนเนอร์ร่วงระเนระนาดและตกลงทะเลไป 1,816 ตู้ ส่วนเจ้าของและผู้จัดการเรือเปิดเผนว่า เรือติดตั้งอุปกรณ์ดี เครื่องยนต์มีสภาพดี และมีผู้ควบคุมที่ฝึกฝน มีประสบการณ์มาเป็นอย่างดี ความเสียหายที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียด รวมถึงวิธีการโหลดสินค้า อุปกรณ์ และความพร้อมที่จะเผชิญกับสภาพอากาศเลวร้าย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเสียหายเช่นนี้อีก https://www.khaosod.co.th/update-news/news_5511248
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
ผลตรวจพบเชื้ออหิวาต์ในหอยแมลงภู่ มุกดาหาร 11 ธ.ค. ? สาธารณสุข จ.มุกดาหาร เผยผลตรวจหอยแมลงภู่นึ่ง จากตลาดนัดในเขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร หลังหนุ่มวัย 35 ปี ซื้อมากินแล้วเสียชีวิต พบเชื้ออหิวาห์ กรณีชายอายุ 35 ปี ซื้อหอยแมลงภู่นึ่ง จากตลาดนัดชุมชนตาดแคน เขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร มารับประทานแล้วเกิดอาการท้องร่วงรุนแรง อาหารเป็นพิษ ทำให้เสียชีวิต ผลตรวจพบเชื้ออหิวาต์ในหอยแมลงภู่ กรณีนายวัชระ มาดา อายุ 35 ปี ชาวบ้านด่านคำ ต.มุกดาหาร อ.เมือง จ.มุกดาหาร ซื้อหอยแมลงภู่นึ่งมากินแล้วเกิดอาการท้องร่วงแบบรุนแรง อาหารเป็นพิษ ทำให้เสียชีวิต ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา และทางญาติฌาปนกิจร่างของผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม นางสาวธัญญทิพย์ พรหมมา แม่ค้าร้านค้าใกล้กับบริเวณตลาดนัด บอกว่า เพิ่งทราบข่าวว่ามีคนมาซื้อหอยแมลงภู่ในตลาดนัดไปกินแล้วเสียชีวิต คนขายหอยมาขายเป็นประจำที่ตลาดแห่งนี้ และยังสงสัยว่าคนอื่นซื้อไปกินทำไมไม่เป็นอะไร ครอบครัวนี้ซื้อไปกินแล้วเสียชีวิต เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ตนเองตกใจ หลังเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ลงมาตรวจแผงร้านขายหอย ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จ.มุกดาหาร ลงไปตรวจสอบร้านขายหอยแมลงภู่ เจ้าของร้านบอกกับว่าบางคนกินท้องไม่เสียก็มี ปกตินึ่งทุกวัน วันละ 50 กิโลกรัม หากขายไม่หมดก็ทิ้ง เพราะเก็บไว้ข้ามคืนไม่ได้จะเน่า หอยที่เอามาขายนึ่งแล้ว รับมาทุกวันๆ ละ 50 กิโลกรัม มาขายในตลาดนัด แล้วส่งลูกค้าถุงละ 35 บาท 3 ถุง 100 บาท หมอที่โรงพยาบาลมาเอาหอยไปตรวจสอบเมื่อวันศุกร์ เจ้าของร้านขายหอยบอกอีกว่า เจ้าหน้าที่เผยผลตรวจสอบหอยพบมีเชื้ออหิวาต์อยู่ในหอย จะมาโทษตนโดยตรงไม่ถูก หอยที่นำมาขายรับมาจากมหาชัย ไม่ใช่มาทำเอง นึ่งจนสุกเลย ของถ้าขายไม่หมดก็ทิ้งตลอด นอกจากหอยที่นำมาขายในตลาดนัดแล้วยังมีข้างนอกด้วย มีคนมาเร่ขายเต็มเลยในเมืองมุกดาหาร. https://tna.mcot.net/region-598939
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ
'โลกร้อน-น้ำท่วม' วิกฤตใหม่ของโลก ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและปัญหา "น้ำท่วม" กำลังกลายเป็นวิกฤตในอนาคต นิกเคอิเอเชีย รายงานผลการวิจัยของ "สถาบันทรัพยากรโลก" (WRI) โดยชี้ว่าหลายประเทศทั่วโลกกำลังจะต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและอุทกภัย โดยมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจคาดว่าจะสูงถึง 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2030 หรือคิดเป็น 12% ของจีดีพีโลกขณะนั้น หากความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังคงดำเนินไปในระดับปัจจุบัน หลายประเทศใน "เอเชีย" มีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมสูงกว่าภูมิภาคอื่น โดยคาดว่ามูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจของเอเชียจะสูงถึง 8.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของความเสียหายทั่วโลก และในกรณีที่ยังไม่มีมาตรการรับมือที่มีประสิทธิภาพ "จีนและอินเดีย" เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงที่สุด เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลให้เหตุอุทกภัยมีความรุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น ขณะที่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมาก แต่ยังไม่มีระบบรับมือกับภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ทำให้คาดว่าจีนมีความเสี่ยงที่จะต้องประสบความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากเหตุน้ำท่วมสูงถึง 4.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2030 หรือ 14% ของจีดีพี ช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย. 2020 "จีน" ต้องเผชิญกับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ปริมาณน้ำในลำน้ำราว 836 สายทั่วประเทศเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 80% จากภาวะปกติ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชาวจีนกว่า 73 ล้านคน รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการเกษตร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการพาณิชย์ ที่ได้รับความเสียหายรวมกว่า 2 แสนล้านหยวน ขณะที่ "อินเดีย" หลายเมืองยังไม่มีระบบระบายน้ำที่ดี ยังคงใช้โครงสร้างพื้นฐานเก่าที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 ส่งผลให้ความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมของอินเดียรุนแรงอย่างมาก ข้อมูลของดับเบิลยูอาร์ไอชี้ว่า การลงทุนในการสร้างคันดินและเขื่อนกั้นน้ำในเวลานี้แม้จะสร้างภาระทางการเงินต่อรัฐบาล แต่มูลค่าการก่อสร้างยังต่ำกว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากภัยพิบัติ และไม่เพียงแต่ป้องกันความเสียหายของบ้านเรือนและธุรกิจของผู้คนนับล้านเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่อไปได้ https://www.prachachat.net/world-news/news-570827
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|