#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ประเทศไทยตอนบนยังคงมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า บริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส ยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-14 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนภาคใต้มีฝนน้อย สำหรับอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 5 ม.ค. 63 ในช่วงวันที่ 3-5 ม.ค. 63 บริเวณภาคเหนือตอนบนมีฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงได้ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากสภาพอากาศที่แปรปรวนไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆบางส่วนกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 3 ? 8 ม.ค. 63 ประเทศไทยตอนบนอุณภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส บริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-22 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 3-15 องศาเซลเซียส โดยในช่วงวันที่ 3 ? 5 ม.ค. 63 มีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือตอนบน สำหรับภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้ ในช่วงวันที่ 3 - 5 ม.ค. 63 บริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 6 - 8 ม.ค. 63 บริเวณอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง สำหรับชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 5 ม.ค. 63
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ภัยคุกคามสัตว์และความยั่งยืนของถิ่นอาศัย (ภาพจาก : Andrea Baden/Hunter College) แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อระบบนิเวศโลก แต่ก็อาจไม่ได้ร้ายแรงที่สุดต่อสิ่งมีชีวิต เมื่อเร็วๆนี้ มีงานศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของธรรมชาติในปัจจุบัน โดยทีมวิจัยจากศูนย์ Northeast Climate Adaptation Science Center ที่มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ แอมเฮิร์สต์ สังกัดองค์กรสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐอเมริกา และวิทยาลัยฮันเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ชี้ให้เห็นว่าการเสื่อมสภาพและการกระจายตัวของที่อยู่อาศัย รวมถึงการทำลายที่มากเกินไป ได้รุกรานและก่อหายนะแก่สิ่งมีชีวิต นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อทำความเข้าใจกับภัยคุกคามนี้ ทีมได้จำลองผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่าและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในศตวรรษหน้า ที่มีผลต่อสัตว์จำพวกลิง 2 ชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ในสกุล Varecia ที่มีลำตัวสีดำสลับกับสีขาว ขนมีลักษณะยาว ลิงพวกนี้มีบทบาทสำคัญในการแพร่พันธุ์รายใหญ่ที่เกาะมาดากัสการ์และจะไวต่อการสูญเสียถิ่นอาศัย ทีมวิจัยได้รวบรวมข้อมูล 88 ปีเพื่อศึกษาว่าการตัดไม้ทำลายป่าจะส่งผลกระทบต่อลิงชนิดนี้อย่างไร ทีมประเมินว่า ความยั่งยืนของอยู่อาศัยในป่าฝนอาจลดลงได้มากถึง 59% จากการตัดไม้ทำลายป่า และ 75% จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพียงอย่างเดียว มีความเป็นไปได้ที่ความยั่งยืนของที่อยู่อาศัยอาจสูญเสียจากทั้ง 2 ประการก่อนปี พ.ศ.2623 ดังนั้น การปกป้องพื้นที่คุ้มครองจึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งต้องมุ่งเน้นการบำรุงรักษาและเพิ่มความสมบูรณ์ของพื้นที่คุ้มครองให้ได้. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1738293
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
พบซาก "โลมาสีชมพู" ตายเกยหาดขนอมไม่ทราบสาเหตุ นครศรีธรรมราช - สลดพบซาก "โลมาสีชมพู" ดาราขวัญใจนักท่องเที่ยวทะเลขนอม จ.นครศรีธรรมราช ลอยตายเกยหาดไม่ทราบสาเหตุ วันนี้ (2 ม.ค.) นายธีระพงศ์ ช่วยชู นายอำเภอขนอม จ.นครศรีธรรมราช รับแจ้งจากผู้นำท้องที่ใน ต.ขนอม อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ว่า พบซากโลมาสีชมพูขนาดใหญ่ ถูกคลื่นซัดมาเกยหาดขนอม หน้ารีสอร์ตของเอกชนแห่งหนึ่งใน ต.ขนอม ซึ่งเมื่อเข้าตรวจสอบพบว่า เป็นโลมา มีความยาวกว่า 2 เมตร น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม ไม่ทราบเพศที่แน่ชัด ตายมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 สัปดาห์ เบื้องต้น พบว่าเป็นโลมาสีชมพู ซึ่งเป็นโลมาสายพันธุ์ขวัญใจของนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมทะเลขนอม โดยเฉพาะบริเวณอ่าวขนอมจะมีโลมาสีชมพูจำนวนมาก และเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว มีลักษณะสีผิวเป็นสีชมพูราวกับสีตัวการ์ตูน เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการเก็บกู้ซากไปฝังเอาไว้ชั่วคราว เพื่อป้องกันสัตว์กัดแทะ และคลื่นที่จะซัดกลับลงทะเล ก่อนจะประสานงานกับศูนย์วิจัยทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่งภาคใต้ตอนบน ให้เข้าทำการเก็บซากเพื่อทำการชันสูตรหาสาเหตุการตายเพื่อหาทางป้องกันต่อไป https://mgronline.com/south/detail/9630000000417
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
หนีเพลิงนรก! คลื่นร้อนมาซ้ำ ออสซี่สั่งอพยพ ไฟป่าคร่าสัตว์480ล้านชีวิต (Copernicus Sentinel Imagery via AP) หนีเพลิงนรก! คลื่นร้อนมาซ้ำ ออสซี่สั่งอพยพ ไฟป่าคร่าสัตว์480ล้านชีวิต หนีเพลิงนรก! ? วันที่ 2 ม.ค. เอเอฟพี รายงานความคืบหน้าเหตุไฟป่าในออสเตรเลียว่า ทางการท้องถิ่นรัฐนิวเซาท์เวลส์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนาน 1 สัปดาห์ พร้อมสั่งการให้อพยพนักท่องเที่ยว และผู้อยู่อาศัยหลายพันคนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไฟป่าลุกลาม ก่อนที่คลื่นความร้อนจะมาถึง สำนักอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติระบุว่า ช่วงปลายสัปดาห์นี้จะมีคลื่นความร้อนพัดถล่มอีกครั้ง ส่งผลให้พื้นที่ประสบภัยมีสภาพอากาศแห้งแล้งขึ้น ลมกระโชกแรง อุณหภูมิสูงทะลุ 40 องศาเซลเซียส และมีแนวโน้มว่าไฟป่าอีกหลายจุดที่ยังปะทุจะโหมไหม้รุนแรงขึ้น In this image released Thursday, Jan. 2, 2020, from the DELWP Gippland, shows massive smoke rising from wildfires burning in East Gippsland, Victoria. (DELWP Gippland via AP) สถานการณ์ขณะนี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากไฟป่าในรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐวิกตอเรียเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 18 ราย อีก 17 คนยังคงสูญหาย และอาคารบ้านเรือนกว่า 1,200 หลังถูกไฟเผาวอด สำนักงานบริการไฟเขตชนบทแถลงว่า ประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้ใดก็ตามที่อยู่ในเขตตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลส์ จำเป็นต้องอพยพออกจากพื้นที่ดังกล่าวภายใน 2 วันข้างหน้า เช่นเดียวกับเขตอันตรายระยะทางยาวกว่า 230 กิโลเมตร ริมชายฝั่งภาคตะวันออกของรัฐนิวเซาท์เวลส์ จากอ่าวเบตแมนส์เบย์เรื่อยมาจนถึงหมู่บ้านวอนบอยน์ ชายแดนติดรัฐวิกตอเรีย นายแอนดรูว์ คอนสแตนซ์ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่าคำสั่งเคลื่อนย้ายประชาชนในครั้งนี้ถือเป็นการอพยพครั้งประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของรัฐนิวเซาท์เวลส์ วันเดียวกัน เดลีเมล์ระบุว่า ไฟป่าที่ปะทุมานานกว่า 4 เดือน ตั้งแต่เดือนส.ค.2562 เผาวอดเฉพาะในรัฐนิวเซาท์เวลส์ไปแล้วกว่า 18.7 ล้านไร่ และมีสัตว์หลายชนิดทั้งน้อยใหญ่ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับไฟมรณะราว 480 ล้านตัว รวมถึงโคอาลา 8,000 ตัว จิงโจ้ นก และสัตว์เลื้อยคลานจำนวนมาก มีทั้งที่ตายจากการถูกไฟคลอกโดยตรง และตายจากการบาดเจ็บ หรือสูดดมควันไฟ นายคริส ดิ๊กแมน ศาสตราจารย์ด้านนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าวว่านอกจากไฟป่าจะเผาทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของโคอาลาแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการขยายพันธุ์ของโคอาลาในรุ่นถัดไป และอาจกล่าวได้ว่าโคอาลาอยู่ในสภาวะสูญพันธุ์โดยปริยาย โดยเฉพาะในรัฐนิวเซาท์เวลส์ แม้จะนำโคอาลามาดูแลในศูนย์อนุรักษ์ที่จัดตั้งขึ้น แต่ด้วยนิสัยเลือกกินเลือกอยู่ โคอาลาจึงไม่สามารถใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมและอาหารที่แตกต่างจากเดิมได้ในระยะยาว https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_3309139
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก
พิษร้ายกว่างูเห่า 20 เท่า สาวโพสต์เจอ "หมึกบลูริง" ขายในตลาด2 มกราคม ชาวเน็ตโพสต์เตือน เจอ หมึกบลูริง หรือฉายาสวยประหาร วางขายปะปนอยู่ในตลาด แนะตอนซื้อต้องสังเกตให้ดี ชี้อันตรายถึงชีวิต พิษร้ายกว่างูเห่า 20 เท่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "Faii Sirirat" ได้โพสต์เรื่องราวเตือนภัยเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.62 ที่ผ่านมา โดยระบุข้อความว่า "สวัสดีค่ะ พอดีซื้อปลาหมึกในร้านแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก หากใครพบเห็นหมึกชนิดนี้ ไม่ควรรับประทานนะคะ หมึกชนิดนี้ชื่อว่าบลูริงค่ะ พิษของมันอันตรายถึงชีวิต ปีใหม่นี้ระวังกันด้วยนะคะ ปล.ไม่ได้มีเจตนาทำให้ร้านเสียหาย แต่โพสต์เตือนให้คนซื้อสังเกตในการเลือกซื้อสินค้าค่ะ" สำหรับ หมึกสายวงน้ำเงิน หรือ หมึกบลูริง (อังกฤษ: blue-ringed octopus) เป็นหมึกในสกุล Hapalochlaena ในอันดับหมึกยักษ์ จัดเป็นหมึกขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง มีจุดเด่น คือสีสันตามลำตัวที่เป็นจุดวงกลมคล้ายแหวนสีน้ำเงินหรือสีม่วงซึ่งสามารถเรืองแสงได้เมื่อถูกคุกคาม ตัดพื้นลำตัวสีขาวหรือเขียว แลดูสวยงามมาก แต่ทว่า หมึกสายวงน้ำเงินนั้นมีพิษที่ผสมอยู่ในน้ำลายที่มีความร้ายแรงมาก ซึ่งร้ายแรงกว่างูเห่าถึง 20 เท่า ผู้ที่ถูกกัดจะตายภายใน 2-3 นาที ทั้งสามารถฆ่าคนได้ 26 คนในคราวเดียว นับเป็นหนึ่งในสัตว์น้ำที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก โดยที่สารพิษของหมึกสายวงน้ำเงินนั้น เรียกว่า เตโตรโดท็อกซิน (tetrodotoxin) เป็นพิษชนิดเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า พิษชนิดนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท โดยจะเข้าไปขัดขวางการสั่งงานของสมองที่จะไปยังกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิต คนที่ถูกพิษจะมีอาการคล้ายเป็นอัมพาต หายใจไม่ออกเนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทำงาน ทำให้ไม่สามารถนำอากาศเข้าสู่ปอดได้ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิต การปฐมพยาบาลต้องหาวิธีนำอากาศเข้าสู่ปอด เช่น เป่าปาก เป็นต้น จากนั้นต้องรีบนำส่งแพทย์โดยด่วน เพื่อใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าช่วยชีวิตเป็นผล ผู้ป่วยจะฟื้นเป็นปกติภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่ว่าจะขาดอากาศนานเกินไปจนสมองตาย ต้นกำเนิดของพิษในน้ำลายของหมึกสายวงน้ำเงินเกิดจากผลผลิตของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในต่อมน้ำลายของมัน แบคทีเรียดังกล่าวประกอบด้วย Bacillus และ Pseudomonas พิษเตโตรโดท็อกซินและแบคทีเรียยังพบได้ในไข่ของหมึก สันนิษฐานว่าเป็นกระบวนการส่งถ่ายความสามารถในการสร้างพิษจากแม่หมึกไปยังลูก โดยพบได้ตั้งแต่แรกเกิดเลยด้วยซ้ำ หมึกสายวงน้ำเงิน ในปัจจุบันพบทั้งหมด 3 ชนิด (หรืออาจจะ 4 ชนิด) คือ H. lunulata ซึ่งสามารถโตเต็มที่ได้น้ำหนักได้ถึง 10 กรัม H. maculosa มีความเล็กกว่าชนิดแรกถึง 20 เซนติเมตร สามารถพบได้ในน่านน้ำไทยด้วย ทั้งทางฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย H. fasciata ทั้งหมดพบได้ในพื้นน้ำหน้าดินทั้งโคลนและทรายและแนวโขดหินปะการังในเขตร้อนของทะเลแถบอินโดแปซิฟิก ตั้งแต่น่านน้ำของญี่ปุ่นจนถึงออสเตรเลีย ขนาดโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ จะมีขนาดเท่าลูกกอล์ฟ มีอายุขัยเต็มที่ราว 1 ปี วงจรชีวิตเริ่มต้นจากมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่ว เป็นหมึกมี 8 หนวด โดยหนวดเส้นที่ขาดไปจะสามารถงอกใหม่ได้ ในเวลากลางวัน หมึกสายวงน้ำเงินมักพักหลบอยู่ตามโพรงหินหรือเปลือกหอย แล้วจะออกหากินในเวลากลางคืน ชอบเคลื่อนที่ไปตามพื้นหน้าดินเพื่อหาอาหารมากกว่าที่จะว่ายน้ำเช่นหมึกชนิดอื่น https://www.komchadluek.net/news/reg...ernal_referral
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชี้รัฐบาลลดใช้ถุงพลาสติก ขัดแย้งอนุมัตินำเข้าขยะพลาสติก ตปท. วันที่ 2 มกราคม 2563 นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า นโยบายที่ขัดแย้งในเรื่องพลาสติก 1.ภาคเอกชนภาคีเครือข่าย 43 แห่งให้ความร่วมมือกับภาครัฐด้วยความสมัครใจงดให้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป คาดว่าจะลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (single-use plastic) ลงได้7.8แสนต่อปีจากปริมาณถุงพลาสติกที่เกิดขึ้นประมาณ 2 ตันต่อปี 2.แต่หากจะให้การลดถุงพลาสติกเกิดผลที่กว้างมากขึ้นแบบในประเทศพัฒนาแล้วก็ต้องออกกฏหมายเก็บค่าธรรมเนียมถุงพลาสติกหรือเก็บเงินค่าถุงพลาสติกในทุกร้านค้าทั่วประเทศโดยอาจเป็นถุงพลาสติกที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติหรือเป็นถุงพลาสติกมีความหนาใช้ได้หลายครั้ง การคิดเงินค่าถุงพลาสติกเพียงเล็กน้อยจะเปลี่ยนพฤติกรรมและลดปริมาณการใช้ถุงได้จำนวนมาก เพราะผู้ซื้อสินค้าที่เคยได้รับถุงฟรีๆหากไม่ต้องการจ่ายเงินค่าถุงก็ต้องนำถุงเก่ามาใช้ซ้ำหรือเตรียมถุงผ้าสำหรับใส่สินค้ามาด้วย 3. ปี2561-2562 ประเทศไทยนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศมากถึง481,381ตันสูงเป็นอันดับ3ในอาเซียน(กรีนพีช)และกำหนดให้มีปริมาณนำเข้าในปีต่อไปปีละ70,000ตัน เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าพลาสติกราคาถูก ถ้าใครซื้อของใช้พลาสติกตามร้าน20บาท ทั้งหมดจะมาจากพลาสติกรีไซเคิล แต่ที่ยิ่งกว่านั้นปัจจุบันสินค้าพลาสติกคุณภาพต่ำราคาถูกถูกนำเข้าจากประเทศจีนเป็นจำนวนมากนำมาขายและกลายมาเป็นขยะท่วมประเทศไทยอยู่ทุกวันนี้ คำถามว่าทำไมไม่ใช้ขยะพลาสติกในประเทศไทยมารีไซเคิลแทนการนำเข้า ข้อเท็จจริงก็คือขยะพลาสติกในประเทศไทยมีจำนวนมากจริงแต่เป็นขยะที่ไม่ได้ถูกคัดแยกอย่างมีประสิทธิภาพทั้งจากประชาชนและรัฐบาล จึงมีการปนเปื้อนสูงดังนั้นโรงงานอุตสาหกรรมจึงซื้อขยะพลาสติกจากต่างประเทศ (โดยเป็นไปตามเงื่อนไขการนำเข้าของรัฐบาลคือเศษพลาสติกต้องสะอาดไม่ปนเปื้อน มีขนาดไม่เกิน2เซนติเมตร)นำมารีไซเคิลและผลิตสินค้าพลาสติกราคาถูกขาย ซึ่งจะมีต้นทุนถูกกว่าการนำขยะพลาสติกในประเทศไทยมาคัดแยกและนำมารีไซเคิลผลิตเป็นสินค้าใหม่ ทำให้ขยะพลาส ติกในประเทศตกค้างจำนวนมากและถูกกองทิ้งไว้ในหลุมขยะเทศบาลและไหลลงทะเลในที่สุด 4.โรงงานคัดแยกและรีไซเคิล(โรงงานประเภท105และ106)ในประเทศไทยตั้งขึ้นได้ง่ายเนื่องจากมีประกาศ คสช.ที่4/2559 กำหนดให้ตั้งที่ใดก็ได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายผังเมืองทำให้จังหวัดสมุทรสาครมีโรงงานรีไซเคิลถึง6,000แห่งและมากกว่า 3000แห่งในจังหวัดสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา เป็นต้น 5.รัฐบาลกำลังรณรงค์ให้คนไทยเสียสละลดการใช้ถุงพลาสติกกันอย่างกว้างขวาง แต่อีกด้านเรากลับยินยอมให้นำเข้าขยะเศษพลาสติกจากต่างประเทศจำนวนมากมารีไซเคิลเป็นสินค้าพลาสติกราคาถูก คุณภาพต่ำมาขายในประเทศซึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นขยะพลาสติกมหาศาลอยู่ในประเทศรวมทั้งยินยอมให้ต่างประเทศมาตั้งโรงงานรีไซเคิลพลาสติกในประเทศได้อย่างง่ายดาย นโยบายแบบนี้มันขัดแย้งกันอยู่ในตัวเองนะครับ https://www.naewna.com/politic/463832
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#7
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
"วาฬ-ช้าง-เต่า-พะยูน" สูญนับร้อยชีวิต ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ประเทศไทยสูญเสียสัตว์ป่า สัตว์ทะเล มากมายหลายชนิดและจำนวนมาก โดยเฉพาะสัตว์ตัวโตอย่าง ช้าง วาฬบรูด้า พะยูน เต่าทะเล ทั้งที่ตายเอง กับถูกมนุษย์ทำให้ตาย สร้างความบอบช้ำให้กับธรรมชาติจนกลายเป็นความสูญเสีย "มาเรียม" กระตุกสำนึกรักทะเล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) แจ้งว่า ตลอดปีนี้ "พะยูน" ตายไปแล้ว 23 ตัว ตัวเลขดังกล่าว ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า มากที่สุดในรอบ 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2539 ที่พบพะยูนตายมากถึง 24 ตัว การสูญเสียพะยูนมากผิดปกติ อาจส่งผลต่อจำนวนของพะยูนในอนาคต แต่ที่สร้างความทรงจำและสะเทือนใจมากที่สุดในปี 2562 ก็คือ ?พะยูนมาเรียม? ที่พลัดหลงแม่มาเกยตื้นบริเวณอ่าวทึง ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ ในเดือน เม.ย. ภาพ : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามส่งมาเรียมกลับสู่ท้องทะเลครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่สำเร็จ เจ้าหน้าที่ตัดสินใจเคลื่อนย้ายมาเรียมไปอนุบาลในพื้นที่ธรรมชาติ ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จ.ตรัง ด้วยความน่ารักและขี้อ้อน ทำให้มาเรียมกลายเป็นขวัญใจคนไทยเกือบทั้งประเทศที่เฝ้าติดตามผ่านกล้อง CCTV พบซากขยะเต็มท้อง กว่า 4 เดือนที่มาเรียมฝึกใช้ชีวิตในทะเลเปิด ภายใต้การดูแลของทีมสัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่คอยป้อนนม สอนกินหญ้าทะเล และพาว่ายน้ำกับเรือแม่ส้มในทุกๆ วัน หวังปรับพฤติกรรมให้เข้ากับธรรมชาติ กระทั่งมาเรียมเจอพะยูนตัวโตเต็มวัยเข้ามาคุกคาม จนทำให้มีภาวะเครียด เจ็บป่วย และจากไปในเดือน ส.ค. ผลการตรวจซากมาเรียม พบเศษถุงพลาสติกหลายชิ้นในทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ช็อกตายในที่สุด แต่การตายของมาเรียมไม่สูญเปล่า กลับปลุกกระแสให้สังคมเห็นความสำคัญของปัญหาขยะทะเลที่ต้องหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง "วาฬบรูด้า" สัตว์ทะเลอีกชนิด ที่จบชีวิตลงในทะเลไทยมากถึง 3 ตัว ในปีเดียว แม้ล่าสุดมันได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์ป่าสงวนของไทย ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งประเมินว่า ในทะเลไทยมีพวกมันเพียง 50-70 ตัว ภาพ : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง "เจ้าปิ่น" วาฬบรูด้าตัวเมีย อายุประมาณ 2 ปี ลำตัวยาว 10.5 เมตร พบครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2560 ผ่านมาเพียง 2 ปี พบมันตายในทะเลอ่าวไทยตอนบน บริเวณบ้านแหลม จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ผลตรวจพบรอยอวนบาดตามลำตัวหลายแห่ง และกระแทกของแข็งไม่มีคมอย่างรุนแรง แต่ไม่พบขยะหรือเศษพลาสติกในท้อง สัตวแพทย์สันนิษฐานว่า เจ้าปิ่นน่าจะเข้ามาหากินและโชคร้ายติดอวนจากเรือประมง จนจมน้ำตาย ส่วนวาฬอีก 2 ตัว ตายเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ตัวแรกเป็นวาฬตัวผู้ ความยาว 8.30 เมตร พบบริเวณป่าโกงกาง อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ สภาพซากเน่า ส่วนกะโหลกหายไป สรุปสาเหตุการตายไม่ได้ และอีกตัวก็เป็นเป็นตัวผู้ ความยาว 10.8 เมตร พบที่ทะเล จ.สุราษฎร์ธานี สภาพซากสมบูรณ์ แต่ส่วนหัวและหางพบรอยช้ำ คาดว่าอาจถูกอวนประมง หรือกะะแทกของแข็ง แต่ก็ยังไม่สามารถระบุสาเหตุตายได้ ยังนับว่าโชคดีอยู่บ้าง ปลายปี 2562 เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก พบวาฬบรูด้าคู่แม่ลูก เข้ามาหากินบริเวณชายฝั่ง ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ตรวจสอบอัตลักษณ์จากภาพถ่าย พบว่าเป็น "แม่วันดี" และลูกน้อยตัวใหม่ โดยนับเป็นลูกตัวที่ 3 ของแม่วันดี "เต่าทะเล" ก็ตายลงมากเช่นกัน โดยข้อมูลจากศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ พบว่า เพียง 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค.2562) พบเต่าเกยตื้นตายและยังมีชีวิต รวม 10 ตัว บางตัวติดเครื่องมือประมง บางตัวพบขยะพลาสติดในระบบทางเดินอาหาร และบางตัวป่วยตายธรรมชาติ ล่วงมาถึงปลายปีสถานการณ์ไม่ดีขึ้น พบว่ามีเต่าทะเลตายเพิ่มอีกหลายตัว ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อ้างอิงการรายงานสัตว์ทะเลเกยตื้นของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่า ในช่วงเวลาเพียง 2 วัน (7-8 ธ.ค.2562) มีเต่าเกยตื้นตายมากถึง 13 ตัว เกือบทั้งหมดตายเพราะขยะทะเล แม้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า เต่าทะเลเกยตื้นตายในปี 2562 จริงๆ มีจำนวนเท่าไหร่กันแน่ แต่ภาพรวมสถานการณ์ตลอดทั้งปี พอจะประเมินได้ว่ามีมากกว่า 400 ตัว (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#8
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
"วาฬ-ช้าง-เต่า-พะยูน" สูญนับร้อยชีวิต ...... ต่อ ไม่เพียงแต่ทะเลที่ต้องสูญเสียพะยูน วาฬ และเต่า ป่าก็สูญเสีย "ช้าง" ไปไม่น้อยเหมือนกัน หากนับตั้งแต่เดือน ม.ค. - ต.ค.2562 มีช้างป่าตายไปมากถึง 27 ตัว ทั้งตกน้ำตก อุบัติเหตุ ถูกล่า ถูกไฟฟ้าช็อต ฯลฯ ปิดตำนาน "ด้วน ด่านลอย" ขาใหญ่เขาอ่างฤาไน "ด้วน ด่านลอย" ช้างป่าขาใหญ่ บนถนนหมายเลข 3076 ที่ตัดเลียบเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน จ.ฉะเชิงเทรา คลิปของมันแพร่กระจายไปทั่ว ด้วยภาพรถบรรทุกจอดกลางถนน ให้มันคว้าอ้อยมากินอย่างพอใจ ก่อนจะปล่อยให้ผ่านไป มีคนไปพบด้วนนอนอยู่กลางป่าในวันที่ 18 มี.ค. ตรวจตามลำตัวพบบาดแผลที่โคนหาง คาดว่าเกิดการอักเสบอย่างหนัก จนกระดูกโคนหางหลุดออกมา สัตวแพทย์จึงลงมือรักษา พบว่ามีแผลติดเชื้ออย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่ได้ติดปลอกคอสัญญาณดาวเทียมเพื่อติดตามอาการ แต่หลังจากนั้นเพียง 3 วัน ด้วนก็จากไป ล่วงมา 6 เดือนเศษ บนเส้นทางหากินของช้างป่าเขาใหญ่ น้ำตกเหวนรกคร่าช้างป่าไปมากถึง 11 ตัว นับว่ามากที่สุดที่เราเสียช้างในคราวเดียวกันของปีนี้ เข้าวันที่ 5 ต.ค. เจ้าหน้าที่พบซากช้างลอยอยู่ 6 ตัว นั่นก็นับว่ามากแล้ว ผ่านไปวันเดียว กลับพบว่ามีเพิ่มอีก 5 ตัว ภาพ : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ขยะเหตุตายของสัตว์ป่าใกล้คน การตายตามธรรมชาติของสัตว์ป่า สัตว์ทะเล อาจเป็นเหตุสุดวิสัยและเข้าใจได้ แต่สิ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญในรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมาก็คือ "ขยะ" โดยเฉพาะสัตว์ป่าที่เข้ามาอยู่ใกล้คน เช่น ในอุทยานแห่งชาติที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว กวางหลายตัวตายลงเพราะขยะเต็มท้อง ภาพ : สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 แพร่ "กวางป่า" ที่ตายในอุทยานแห่งชาติขุนสถาน อ.นาน้อย จ.น่าน พบขยะในท้องมากถึง 7 กิโลกรัม ส่วนใหญ่เป็นพลาสติกอย่าง ซองกาแฟ ซองบะหมี่สำเร็จรูป แม้แต่กางเกงชั้นใน หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกาศมาตรการรณรงค์ ลด เลิก ใช้ถุงพลาสติก ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563 รวมถึงให้นักท่องเที่ยวที่พกถุงขยะ และนำออกมาทิ้งนอกพื้นที่ด้วย https://news.thaipbs.or.th/content/287566
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|