เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 19-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง และมีฝนตกหนักบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และฝนตกหนักที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณเกาะสุมาตรา ลักษณะเช่นนี้ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 20 - 23 พ.ค. 67 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับในช่วงวันที่ 22 - 26 พ.ค. 67 จะมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวมะตะบัน ประเทศเมียนมา และมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณด้านตะวันตกของภาคเหนือและภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1?2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดการเดินเรือ ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์น้อย เนื่องจากมีฝนตกหลายพื้นที่ และการระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 18 ? 19 พ.ค. 67 ลมตะวันออกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 20 - 22 พ.ค. 67 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับในช่วงวันที่ 22 - 24 พ.ค. 67 จะมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวมะตะบัน ประเทศเมียนมา ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในด้านตะวันตกของภาคเหนือและภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 18 ? 19 พ.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงและฝนตกหนักบางแห่ง

ส่วนช่วงวันที่ 20 ? 24 พ.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง



******************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามัน ฉบับที่ 2 (94/2567)


ในช่วงวันที่ 20 - 23 พ.ค. 67 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับในช่วงวันที่ 22 - 26 พ.ค. 67 จะมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวมะตะบัน ประเทศเมียนมา และมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในด้านตะวันตกของภาคเหนือและภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นในช่วงวันที่ 21 - 26 พ.ค. 67 โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร สำหรับอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1?2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดการเดินเรือ ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 19-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


เอลนีโญส่งไม้ต่อลานีญา เฝ้าระวังเดือน ก.ย.-ต.ค. ไทยเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่



สภาพอากาศแปรปรวน จะต้องเตรียมรับมือว่าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในไทยหรือไม่? ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง หลังปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นจนอากาศร้อน โลกเดือดเป็นประวัติการณ์ จะสิ้นสุดลงเดือน พ.ค.นี้ สลับมาเป็นปรากฏการณ์ลานีญา ทำให้ไทยมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ และมีอุณภูมิลดลง ซึ่งปรากฏการณ์เอลนีโญสลับมาเป็นลานีญาในปีเดียวกันเกิดขึ้นไม่บ่อยมากนัก โดยในรอบ 75 ปี เกิดขึ้นเพียง 10 ครั้งเท่านั้น


ก.ย.-ต.ค. ภาคกลาง ตะวันออก ใต้ เสี่ยงน้ำท่วมหนัก

แต่ปรากฏการณ์ลานีญาและเอลนีโญ ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่บ่งชี้สถานการณ์น้ำท่วมและน้ำแล้ง แล้วเกี่ยวข้องกับปัจจัยใดบ้าง "รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ประธานกรรมการบริหาร Futuretales LAB, MQDC และผู้เชี่ยวชาญ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ชี้ให้เห็นจากเหตุการณ์น้ำแล้ง และน้ำท่วมในไทยทั่วประเทศ ตั้งแต่อดีตกว่า 50 ปี จนถึงปัจจุบัน ยังมีปัจจัยความแปรปรวนของสภาพอากาศในมหาสมุทรอินเดีย ที่มีจำนวนความรุนแรง และเส้นทางพายุจรที่จะเกิดขึ้นอีกด้วย แต่เอลนีโญหรือลานีญา ก็เป็นปัจจัยบ่งชี้อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้น หรือต่ำลงกว่าปกติ ประมาณบวก-ลบ 0.2 ถึงบวก-ลบ 0.3 องศาฯ ทำให้ปลายปี 2567 จะมีอุณหภูมิต่ำกว่าปี 2566

จากการประเมินสภาพอากาศในครึ่งปีหลัง 2567 พบว่าช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. ปริมาณฝนเฉลี่ยยังคงมีน้อยกว่าปกติทั่วทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ และเมื่อผ่านเข้าเดือน ก.ค.-ส.ค. ปริมาณฝนจะเริ่มมากขึ้นทั่วทุกภาค โดยเฉพาะภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ จนเข้าสู่ปลายฝนในเดือน ก.ย.-ต.ค. ปริมาณฝนยังคงมากขึ้นในภาคตะวันออก และภาคใต้ ทำให้การคาดการณ์ปริมาณฝนตกหนักถึงหนักมากในช่วงครึ่งปีหลังในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ จะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดเหตุ "น้ำท่วมใหญ่" หรือไม่

"ต้องเฝ้าระวังพื้นที่ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีโอกาสเกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง เป็นน้ำท่วมฉับพลัน น้ำรอการระบายจากฝนตกหนักในเวลาสั้นๆ หรือเป็นน้ำท่วมใหญ่จากอิทธิพลพายุจร รวมถึงพื้นที่ภาคกลางต้องจับตาน้ำท่วมด้วย เพราะพื้นที่รับน้ำลดลงทุกปี จากการเปลี่ยนแปลงสภาพการใช้ที่ดิน แม้ปริมาณน้ำเหนือน้อย แต่ระดับน้ำสูงกว่าปี 2554 จนล้นคันกั้นน้ำมาแล้วในปี 2564 และปี 2565 สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินในหลายพื้นที่" นี่คือคำเตือนจาก รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์


ลานีญา เร่งตัว ก.ย.ถึง ธ.ค. ฝนตกน้ำท่วม อีสานเย็นสุดๆ

เช่นเดียวกับ "รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช" อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเกษตร ได้อ้างถึงการพยากรณ์ล่าสุดของ Climate Prediction Center (NOAA) และศูนย์พยากรณ์อากาศระยะปานกลางแห่งยุโรป ระบุว่า เอลนีโญสิ้นสุดในเดือน พ.ค. 2567 และจะเปลี่ยนสู่เฟสกลาง หรือภาวะปกติในช่วงเดือน มิ.ย. ถึงเดือน ก.ค. จากนั้นลานีญาจะกลับมาตั้งแต่เดือน ส.ค. และคาดว่าจะจบลงช่วงเดือน พ.ค. 2568

"ลานีญาจะทำจุดสูงสุดช่วงเดือน ม.ค. 2568 และช่วงลานีญาเร่งตัวราวเดือน ก.ย. ถึงเดือน ธ.ค. 2567 ต้องระวังน้ำท่วม และเดือน พ.ย. 2567 ภาคอีสานอาจเริ่มเผชิญอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ เนื่องจากกำลังลานีญามีแนวโน้มอยู่ในระดับอ่อนถึงปานกลางมากที่สุด"

ด้านค่าเฉลี่ยผลพยากรณ์ของสำนักอุตุนิยมวิทยา 12 สำนักทั่วโลก บ่งชี้ว่าเดือน มิ.ย. 2567 ปริมาณฝนจะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติเล็กน้อยเกือบทั่วประเทศ ยกเว้นภาคใต้ โดยภาคเหนือและอีสานบางส่วน ต้องระวังภัยแล้งยืดเยื้อ ส่วนภาคใต้ ปริมาณฝนจะมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ และเดือน ก.ค. 2567 ปริมาณฝนจะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติในภาคเหนือ และภาคตะวันตก ส่วนภาคใต้จะมีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ และภูมิภาคอื่นปริมาณฝนจะกลับสู่ภาวะปกติ


พ.ย. ฝนสู่ภาวะปกติ ยกเว้นภาคใต้ ระวังน้ำท่วมให้มาก

เดือน ส.ค. 2567 ปริมาณฝนจะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติในภาคตะวันตก ส่วนภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคอีสานฝั่งตะวันออก ฝนจะลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ส่วนภาคเหนือฝนจะกลับสู่ภาวะปกติ และภาคใต้จะมีฝนมากกว่าปกติ ขณะที่เดือน ก.ย. 2567 ผลพยากรณ์จากอุตุนิยมวิทยา 12 สำนักทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนทิศทาง โดยบ่งชี้ว่าทุกภูมิภาคจะมีปริมาณฝนเท่ากันหรือมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยเฉพาะภาคเหนือ อีสาน และใต้ เพราะฝนจะมีปริมาณที่สูงกว่าปกติ

ส่วนเดือน ต.ค. ทุกภูมิภาคต้องระวังน้ำท่วม โดยเฉพาะภาคตะวันตกและภาคใต้ตอนบน อาจต้องระวังมากกว่าภูมิภาคอื่น ก่อนที่เดือน พ.ย. ปริมาณฝนจะกลับสู่ภาวะปกติในทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคใต้ต้องระวังน้ำท่วมให้มาก เพราะเดือน ต.ค.เป็นช่วงฤดูฝนมีปริมาณฝนสูง

"ให้เตรียมรับมือกับอากาศผันผวน เหมือนเล่นรถไฟเหาะตีลังกา เพราะเอลนีโญสลับเป็นลานีญาในปีเดียวกันเกิดขึ้นไม่บ่อยมากนัก ในรอบ 75 ปี มีเพียง 10 ครั้ง และเตรียมรับมือฝนที่จะมีปริมาณมากกว่าปกติ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวต้องระวังข้าวล้มช่วงฝนมาก อาจทำให้น้ำท่วมขังในพื้นที่เพาะปลูก พืชผลเสียหาย และความชื้นสูง เอื้อต่อการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช และพายุอาจสร้างความเสียหายได้".


https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2786619

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 19-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ทำความรู้จัก "เรือหลวงช้าง" เรืออเนกประสงค์ยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ ลำใหม่ของกองทัพเรือ



ทำความรู้จักเรือหลวงช้าง หมายเลข 792 เรืออเนกประสงค์ยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ลำใหม่ของกองทัพเรือ ต่อเรือที่ประเทศจีน แล้วเสร็จเมื่อปี 2566 ยาว 210 เมตร กว้าง 28 เมตร กินน้ำลึก 7 เมตร พร้อมกำลังพลประจำเรือ 196 นาย มีภารกิจหลักปฏิบัติการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบก ขนส่งลำเลียง และรองรับการสนับสนุนของเรือดำน้ำ

เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2567 เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเจิมเรือหลวงช้าง ณ ท่าเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ร.อ.ชาติชาย ทองสะอาด ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชน เฝ้าฯ รับเสด็จ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเรืออเนกประสงค์ยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ลำนี้ว่า ?เรือหลวงช้าง? ชื่อภาษาอังกฤษ "H.T.M.S. CHANG" ตามชื่อของหมู่เกาะช้างในจังหวัดตราด ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของกองทัพเรือ ที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์การตั้งชื่อเรือรบ ตามประเภทของเรือ โดยในส่วนของเรือยกพลขึ้นบก กำหนดให้ตั้งชื่อตามเกาะต่าง ๆ ในประเทศไทย

สำหรับเรือหลวงช้าง หมายเลข 792 เป็นเรืออเนกประสงค์ยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ลำใหม่ ที่กองทัพเรือได้ว่าจ้าง บริษัท ไชน่า ชิพบิลดิ้ง เทรดดิ้ง จำกัด (China Shipbuilding Trading) หรือ CSSC ให้ต่อขึ้น ณ อู่ต่อเรือหูตงจงหัว เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้รับการปรับปรุงและพัฒนาแบบมาจากเรือ LPD Type 071 ที่ประจำการในกองทัพเรือจีน มีขีดความสามารถในการควบคุมบังคับบัญชา การปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก และมีขีดความสามารถในการลำเลียงกำลังรบยกพลขึ้นบกจำนวน 650 นาย

มียานรบประเภทต่าง ๆ รวมถึงยุทโธปกรณ์ อีกทั้งสามารถปฏิบัติงาน ร่วมกับอากาศยานของกองทัพเรือได้ทุกประเภท ใช้ระยะเวลาในการต่อเรือ 4 ปี แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2566 โดยมี พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้น เดินทางไปเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือหลวงช้าง ระหว่างการเดินทางกลับ เรือหลวงช้างได้ประกอบกำลังเดินทางกับเรือหลวงนราธิวาส รวมทั้งทำการฝึกการปฏิบัติงานในสถานีเรือต่าง ๆ เพื่อให้กำลังพล และเรือมีความพร้อมปฏิบัติราชการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายทันทีที่เดินทางกลับมาถึง

เรือหลวงช้างลำใหม่นี้เป็นเรือหลวงช้างลำที่ 3 ของราชนาวีไทย มีความยาวตลอดลำ 210 เมตร ความกว้าง 28 เมตร กินน้ำลึก 7 เมตร ระวางขับน้ำ 25,000 ตัน มีกำลังพลประจำเรือ 196 นาย แบ่งเป็น นายทหารสัญญาบัตร 26 นาย พันจ่า 39 นาย จ่า 96 นาย และพลทหาร 35 นาย โดยได้เข้าประจำการในกองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ กองเรือยุทธการ มีภารกิจหลักในการปฏิบัติการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบก การขนส่งและลำเลียง อีกทั้งเป็นเรือบัญชาการ และมีภารกิจรองในการสนับสนุนการปฏิบัติการของเรือดำน้ำ อาทิ การช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัย (HADR) การอพยพประชาชน การสนับสนุนการป้องกันและต่อต้านการก่อการร้ายในทะเลและท่าเรือ

สำหรับสะพานเดินเรือ หรือ ห้องควบคุมการเดินเรือ มีไว้สำหรับควบคุมการเดินเรือ เพื่อให้เรือสามารถเดินทางไปได้อย่างปลอดภัยและถึงที่หมายอย่างตรงเวลา โดยมีนายยามเรือเดินซึ่งได้รับแนวทางและคำสั่งการของผู้บังคับการเรือ ตามระเบียบของกองทัพเรือ ทำหน้าที่ควบคุมและสั่งการบนสะพานเดินเรือ สำหรับสะพานเดินเรือของเรือหลวงช้างนั้น มีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการนำเรือที่ทันสมัย อาทิ เรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัวแบบ x-band และ s-band แผนที่อิเล็กทรอนิกส์ จีพีเอสสำหรับการนำเรือ ระบบกล้องวงจรปิด ที่สามารถใช้ตรวจสอบในขณะปฏิบัติการยกพล และขณะปฏิบัติการร่วมระหว่างเรือกับอากาศยาน รวมทั้ง ระบบถือท้ายที่ทันสมัย เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย


https://mgronline.com/onlinesection/.../9670000043051

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 19-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


สุดหดหู่! เต่าตนุติดอวนชาวประมงกลางทะเลเกาะสมุย ตาย 3 รอด 1 ตัว

สุราษฎร์ธานี ? ชาวประมงเกาะสมุย พบเต่าตนุ ติดอวนที่วางจับปลาจาระเม็ด 4 ตัว น่าเศร้าตายแล้ว 3 ตัว เหลือ 1 ตัว เร่งนำกลับเข้าฝั่ง ก่อนปล่อยคืนสู่ท้องทะเล



วันนี้ ( 18 พ.ค.) ร้อยตรี เพชรตวรรณ ขวัญใจ หัวหน้าชุดปฏิบัติการ กอ.รมน.ภาค 4 พื้นที่เกาะสมุย เเจ้งว่า ได้รับแจ้งจากลูกข่ายเฝ้าระวังภัยวิทยุเครื่องแดง ที่เป็นอาสาสมัครเฝ้าระวังภัยในพื้นที่เกาะสมุย ซึ่งกำลังนำเรือออกทำการประมง แจ้งว่า ขณะที่กำลังขับเรือหางยาวออกไปทำประมง บริเวณชายหาดสน ใกล้ๆเกาะมัดหลัง หมู่ 2 ต.บ่อผุด พบมีการวางอวนจับปลาอยู่ในทะเลบริเวณหน้าเกาะมัดหลัง โดยพบว่าที่อวนชาวประมงที่วางทิ้งไว้ มีเต่าตนุติดอวนอยู่หลายตัว จึงได้รีบสาวอวนขึ้นมาเพื่อช่วยชีวิตเต่าทะเลที่ติดอวน จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วย อาสาสมัครหน่วยกู้ภัยวีอาร์วัดปลายแหลม

พบว่าเต่าทะเลที่ติดอวน 4 ตัว อายุ 5-10 ปี น้ำหนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม ที่น่าตกใจพบว่าเต่าในจำนวน 4 ตัว ตายไปก่อนแล้ว 3 ตัว เหลืออีก 1 ตัว ที่ยังดิ้นๆ อยู่ ลูกข่ายเฝ้าระวังวิทยุเครื่องแดง จึงได้ช่วยกันปลดอวนเพื่อนำเต่าที่ยังไม่ตายออกมา

นายสมพงศ์ ศิวายพราหมณ์ อายุ 58 ปี ชาวประมงที่ออกไปตกปลา แล้วไปเจอเต่าตนุ 4 ตัว ที่ติดอวนของชาวประมงที่ตัดทิ้งไว้ในทะเล ได้นำคลิปภาพ ขณะช่วยเหลือเต่าตนุที่ติดอวนของชาวประมงที่ตัดทิ้งไว้ พร้อมเล่าว่า เมื่อช่วงเช้าได้ออกไปตกปลา ก็เห็นทุ่นสีขาวลอยอยู่ใกล้โขดหิน บริเวณปลายแหลมหินแดง เห็นไกลๆเหมือนมีเต่าติดอยู่จึงให้เพื่อนเข้าไปดู พอเห็นว่าเป็นเต่าติดอยู่ที่อวน ตนก็เข้าไปช่วยเหลือ โดยนำอวนที่เต่าติดอยู่ทั้งหมดขึ้นเรือ แล้วนำเรือกลับเข้าฝั่งที่อยู่ไม่ไกล เพื่อทำการตัดอวนเอาเต่าที่ติดอยู่ทั้ง 4 ตัว ออกจากอวน ก็พบว่ามีเต่าตนุ 1 ที่ยังไม่ตาย จึงช่วยกันนำเต่าตัวที่รอดปล่อยกลับคืนสู่ทะเล ส่วนที่เหลือ 3 ตัว พบว่าได้ตายไปก่อนหน้าที่ตนจะไปพบเจอแล้ว จึงได้แจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบ

นายสมงพงศ์ ยังเปิดเผยอีกว่า ว่าอวนที่เต่าทั้ง 4 ตัว เข้าไปติดลักษณะเป็นอวนดักจับปลาจาระเม็ด ซึ่งเชื่อว่าชาวประมงที่มาว่างอวนจับปลาจาระเม็ด นำอวนมาวางใกล้โขดหินมากเกิดไป อวนเลยถูกกระแสนำทะเลพัดเข้าไปติดกับโขดหิน ทำให้ไม่สามารถนำเรือประมงเข้าไปเก็บอวนที่ติดกับโขดหินได้ เนื่องจากลำเรือมีขนาดใหญ่ จึงใช้วีธีการตัดอวนที่ติดกับโขดหินทิ้งไป จนทำให้เต่าตนุทั้ง 4 ตัว ที่ออกหากินในบริเวณดังกล่าว เข้าไปติดอวนที่ชาวประมงตัดทิ้งไว้ จนเกิดเรื่องน่าเศร้าใจขึ้นดังกล่าว ที่เต่าตนุ ซึ่งเป็นสัตว์สงวนของท้องทะเลต้องมาตายไปพร้อมๆกัน ถึง 3 ตัว

"อยากฝากถึงชาวประมง ทั้งที่เป็นชาวประมงที่วางอวนดักจับปลาจาระเม็ด หรือชาวประมงที่จับสัตว์ในทะเลอื่น ที่ใช้อวนวาง อยากให้วางอวน ให้ห่างจากฝั่งมากกว่านี้ เพราะอวนจะไม่ต้องไปติดโขดหิน หากช่วงคลื่นลมแรงอวนไปติดโขดหินจนต้องตัดทิ้ง แต่เมื่อช่วงคลื่นสงบก็ควรมากู้ซากอวนเก็บขึ้นฝั่ง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับสัตว์ทะเล อย่างเช่น เต่าทะเล เป็นการป้องกันไม่ให้เหตุแบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต"


https://mgronline.com/south/detail/9670000042978

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 19-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


กรม ทช. ติดตั้งสแลนลดแสงแนวปะการังเกาะไม้ท่อน ภูเก็ต แกัปัญหาการฟอกขาว



กองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ร่วมกับ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน และเจ้าหน้าที่โรงแรมเกาะไม้ท่อน จ.ภูเก็ต ดำเนินการติดตั้งสแลนลดแสง (Shading) แนวปะการังด้านทิศตะวันออกของเกาะไม้ท่อน อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยทดลองกับปะการัง จำนวน 3 แปลง ที่มีลักษณะสีซีด ฟอกขาว และลักษณะปกติ เปรียบเทียบกับปะการังชนิดเดียวกันในบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ได้กางสแลนลดแสง ทั้งนี้ จะดำเนินการติดตามและรายงานผลเป็นระยะต่อไป


https://mgronline.com/south/detail/9670000042873

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 19-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


เดดไลน์รื้อโพงพาง 19 พ.ค. กีดขวางร่องน้ำ แจ้งดำเนินคดี รอคำสั่งศาล ไม่ใช้กำลังเด็ดขาด?

สงขลา เดดไลน์รื้อโพงพาง 19 พ.ค. กีดขวางร่องน้ำ อุปสรรคเรือเข้าออกทะเลสาบ รองพ่อเมือง แจ้งความดำเนินคดี รอคำสั่งศาล ไม่ใช้กำลังเด็ดขาด



18 พ.ค. 67 ? ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2567 เป็นวันสุดท้ายของการขยายระยะเวลา ในการให้เจ้าของเครื่องมือโพงพาง รื้อถอนออกจากทะเลสาบสงขลา ในจุดที่กีดขวางการเดินเรือระยะกว้าง 300 เมตร ยาว 5,000 เมตร จากหัวพญานาคจนถึง ท่าเทียบเรือประมงใหม่

ซึ่งจากการสำรวจของเจ้าหน้าที่มีจำนวน 13 แถว 158 ช่อง ซึ่งแนวทางการดำเนินการนั้นหลังจากครบกำหนดระยะเวลาในการผ่อนผัน ก็จะเริ่มขั้นตอนที่วางเอาไว้

นายเศวต เพชรนุ้ย รอง ผวจ.สงขลา กล่าวว่า จังหวัดสงขลาโดยหน่วยงานที่มีหน้าที่ในเรื่องนี้คือประมงจังหวัดและเจ้าท่าส่วนภูมิภาคสาขาสงขลา มีขั้นตอนปฏิบัติ ในกรณีนี้อยู่แล้ว โดยเน้นย้ำการปฏิบัติตามลำดับขั้น จากเบาไปหาหนัก

ครั้งนี้จะไม่ใช้กำลังกับประชาชนอย่างแน่นอน แต่ละหน่วยก็มีแนวทางปฏิบัติ ตามประกาศที่ระบุเอาไว้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม วันที่ 19 พฤษภาคม ครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผัน หลังจากนั้นก็มีแนวทางในการปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไป

โดยมีรายงานว่า การรื้อถอนโพงพางในครั้งนี้ จะดำเนินการตามกฎหมาย อาทิ การพิสูจน์ทราบเจ้าของโพงพางแต่ละช่อง การแจ้งความดำเนินคดี และกระบวนการทางศาล ส่วนจะรื้อถอนอย่างไรหรือไม่นั้น จะต้องรอคดีสิ้นสุดและดำเนินการตามคำสั่งศาล

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นตรงกัน ที่จะใช้แนวทางตามกระบวนการทางกฎหมาย แทนการระดมกำลังเข้าปฏิบัติการรื้อถอน เนื่องจากที่ผ่านมาการดำเนินการลักษณะดังกล่าวนั้น จะเกิดการกระทบกระทั่งกัน จนต้องชะลอการรื้อถอนออกไป และปัญหายังคงอยู่เช่นเดิม

เช่นเดียวกับการรื้อถอนโพงพางเมื่อปี 2557 ต่อเนื่อง 2558 ซึ่งมีรายงานการระดมเงินจากภาคเอกชนเพื่อมาใช้เป็นเงินเยียวยาให้กับเจ้าของโพงพางและไซนั่ง ที่กีดขวางร่องน้ำทะเลสาบสงขลา ในจุดที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันไปแล้ว แต่ผ่านไปไม่นานก็มีการกลับมาปักโพงพางใหม่ในจุดเดิม จนต้องมีปฏิบัติการรื้อถอนอีกครั้ง

เจ้าของโพงพางในจุดที่จะต้องรื้อถอน ยังคงยืนยันที่จะร้องขอความเห็นใจจากส่วนราชการ ด้วยเพราะทำกินมานานหลายชั่วอายุคน ไม่สามารถไปประกอบอาชีพอื่นได้ หากต้องรื้อถอนก็จะขาดรายได้เลี้ยงดูครอบครัว จึงอยากให้หยุดการรื้อถอนโพงพาง

ทั้งนี้ชาวประมงเจ้าของโพงพางมองว่าความพยายามในการรื้อถอนโพงพาง ทั้งที่ยังมีเครื่องมือประมงผิดกฎหมายอีกหลายชนิดในทะเลสาบสงขลา ไม่ว่าจะเป็นไซนั่ง ไซหนอน การก่อสร้างท่าเทียบเรือของผู้ประกอบการประมง

ซากเรือประมงสัญชาติเวียดนาม และยังมีการปลูกสร้างอาคารที่เรียกว่า โฮมสเตย์ ในทะเลสาบสงขลารอบ ต.เกาะยอ อ.เมืองสงขลา ซึ่งล้วนแล้วแต่ผิดกฎหมายแต่กลับไม่ได้ดำเนินการใดๆ เป็นการเลือกปฏิบัติ


https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_8239789

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 19-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


ทช.ย้ายหอยมือเสือฟอกขาว น้ำทะเลอุ่น เล็งปิดเกาะท่องเที่ยวเพิ่ม

ทช.ทดลองภารกิจย้ายหอยมือเสือ 5 ตัวเริ่มซีด เหตุน้ำทะเลอุ่น เล็งปิดเกาะเพิ่มรอสำรวจอีก 7 พื้นที่ปะการังฟอกขาว ทช.ทดลองติดตั้งสแลนลดแสง (Shading) บริเวณแนวปะการังเกาะกา จ.กระบี่



กรณี ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ระบุสถานการณ์ปะการังฟอกขาวรุนแรงในเขตน้ำตื้น และยังพบหอยมือเสือ เริ่มมีสีซีดจาง บริเวณหินต่อยหอย เกาะขี้ปลา และเกาะมันใน จ.ระยอง โดยเสนอแนะให้ทดลองย้ายหอยมือเสือ ไปยังบริเวณน้ำลึกหรือที่อุณหภูมิน้ำทะเลต่ำลง

วันนี้ (18 พ.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ออกสำรวจ และติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาว บริเวณเกาะมันใน อ่าวต้นเลียบ หาดหน้าบ้าน และหินต่อยหอย

ผลการสำรวจเบื้องต้นพบว่า ที่ความลึก 2-5 เมตร อุณหภูมิน้ำทะเล 32 องศาเซลเซียส โดยเฉลี่ยปะการังสภาพปกติ 5% สีซีดจาง 20% ฟอกขาว 55% และตายจากการฟอกขาว 20% ปะการังกลุ่มที่ฟอกขาวได้แก่ ปะการังโขด ปะการังเขากวาง ปะการังกลุ่มที่มีสีซีดจาง นอกจากนี้ยังมีปะการังสมองร่องสั้น และปะการังวงแหวน

นอกจากนี้ทีมวิจัยได้ทดลองช่วยชีวิตหอยมือเสือจากการฟอกขาว โดยการย้ายหอยมือเสือ จำนวน 5 ตัว บริเวณหินต่อยหอย จากแนวน้ำตื้น 1.4 เมตร ไปบริเวณน้ำลึก 4-5 เมตร ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะติดตามสถานการณ์และอัตราการรอด ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง


ปิด 12 อุทยานฟื้นฟูปะการัง-ขอนักท่องเที่ยวเข้าใจ

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า กรมอุทยานฯ ได้ประกาศปิด 12 อุทยานทางอันดามัน และอ่าวไทยที่พบเกิดปะการังฟอกขาวเกิน 50-70% รวม 12 แห่ง เช่น หมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน หมู่เกาะชุมพร เพื่อให้ปะการังฟื้นฟู และลดกิจกรรมจากการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติมอีก 7 พื้นที่

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวว่าการปิดเกาะท่องเที่ยว เพื่อลดกิจกรรมที่อาจเพิ่มผลกระทบกับปะการังที่ฟอกขาว เพราะหากมีคน มีเรือ คราบน้ำมัน หรือแม้แต่ ครีมกันแดด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปิดการท่องเที่ยวไว้ชั่วคราว และหากระยะต่อไป อุณหภูมิลดลง ก็จะทำให้ปะการังฟื้นฟูตัวเองและกลับมาได้ตามปกติ

เมื่อถามว่าจะทดลองติดตั้งสแลนลดแสง (Shading) ในฝั่งอันดามันหรือไม่ นายอรรถพล กล่าวว่า หลักการง่ายๆ สแลนลดแสง (Shading) คือบังแดดให้ปะการัง แต่ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ดังนั้นยังมองว่าวิธีปิดกิจกรรมรบกวนและให้ปะการังฟื้นฟูตัวเอง และถ้าฝนมาเร็วจะช่วยได้ดีกว่า ส่วนจะพิจารณาเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวได้เมื่อไหร่นั้น ต้องพิจารณารายพื้นที่เพราะแต่ละแห่งปะการังแต่ละชนิดใช้ระยะเวลาไม่เท่ากัน


ทดลอง Shading ปะการังเกาะกา

ขณะที่ กองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล โดยส่วนฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล ร่วมกับ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง ยังการทดลองติดตั้งสแลนลดแสง (Shading) บริเวณแนวปะการังเกาะกา อ.เหนือคลอง จ.กระบี่

โดยทดลองจำนวน 5 แปลงกับปะการัง 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบแผ่น รูปแบบก้อน และรูปแบบกิ่งก้าน ที่มีลักษณะสีซีดจาง และเปรียบเทียบกับปะการังรูปแบบเดียวกันในบริเวณใกล้เคียง ที่ไม่ได้กางสแลนลดแสง และได้ติดตั้ง data temperature logger เพื่อติดตามอุณหภูมิน้ำทะเล


https://www.thaipbs.or.th/news/content/340123

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 19-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


เมื่อกรุงเทพฯ เสี่ยงจมน้ำ! รัฐบาล (อาจ) พิจารณาย้ายเมืองหลวงไปที่อื่น



ในยุคที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เมืองชายฝั่งอย่าง "กรุงเทพมหานคร" กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วม ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลไทย เปิดเผยว่า อาจมีการพิจารณาย้ายเมืองหลวงใหม่เร็ว ๆ นี้


กรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์กลางมากไปหรือเปล่า?

ตลอดหลายปีมานี้ สังคมตั้งคำถามว่าเหตุใดความเจริญ หน้าที่การงาน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง (ที่ดี) หรือโอกาสในชีวิตต่าง ๆ ถึงกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ ที่เดียว ทำไมจังหวัดอื่น ๆ ถึงไม่ได้รับสิทธินั้นบ้าง "กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางมากเกินไปหรือเปล่า"

อย่างไรก็ดี มหานครแห่งนี้ก็ไม่ได้เพอร์เฟกต์ไปเสียทุกเรื่อง เขตเมืองส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ เป็นที่ราบต่ำ ดังนั้น เมื่อฝนตกหนักทีไร กทม.กลายเป็นทะเลย่อม ๆ ในทันที และด้วยเหตุนี้เอง กทม. จึงเป็นหนึ่งในเมืองที่ถูกคาดการณ์ว่าจะจมบาดาลในเร็ววันนี้ ไม่ช้าก็เร็ว

เคราะห์ซ้ำ กรรมตามซัดต่อ! ทราบกันดีว่าโลกของเรากำลังร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ซึ่งอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นก็ไปละลายน้ำแข็งที่ขั้วโลกอันไกลโพ้น แต่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น จนกระทั่งมาเล่นงานถึงเมืองริมชายฝั่งทางนี้

ล่าสุด ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลไทย ได้กล่าวกับสำนักข่าว AFP ถึงกรณีการย้ายเมืองหลวงหนีน้ำเอาไว้ดังนี้

"กรุงเทพฯ อาจไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่ร้อนขึ้นในปัจจุบันได้ ผมคิดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยโลกของเราเกิน 1.5 องศาฯ ไปแล้ว" ปวิช กล่าวกับสำนักข่าว AFP

"ตอนนี้เราต้องกลับมาคิดถึงการปรับตัว ผมคิดว่ากรุงเทพฯ จะจมน้ำแน่นอน ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่"


กรณีศึกษา: อินโดนีเซียประกาศย้ายเมืองหลวงใหม่

กรณีของประเทศอินโดนีเซีย ที่จ่อเปิดตัว "นูซันตารา" เมืองหลวงแห่งใหม่ในฐานะศูนย์กลางทางการเมืองในปีนี้ แทนที่เมืองหลวงปัจจุบันอย่าง "กรุงจากาตาร์" ซึ่งตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากกรุงเทพฯ นั่นคือเฟื่องไปด้วยมลพิษและกำลังจมน้ำ

ในปี 2565 อินโดนีเซียได้ผ่านร่างกฎหมาย เพื่อเปิดทางย้ายเมืองหลวง อินโดฯ ถือเป็นชาติแรกในแถบภูมิภาคนี้ที่มีการสั่งย้ายเมืองหลวงผ่านกฎหมายของประเทศ

แต่ก็ไม่วายโดนครหาว่าไม่ศึกษาภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมให้ดี ไม่รู้หรือไงว่าต้องมีการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งทำให้เจ้าอุรังอุตังอาจไม่มีที่อยู่อาศัยอีกต่อไป

นอกเหนือจากข้อถกเถียงเรื่องสถานที่และสภาพแวดล้อมแล้ว ประเด็นเรื่อง ?งบประมาณ? ที่ใช้ก็ถูกหยิบขึ้นมาถกเถียงกันอย่างออกรส คาดการณ์ว่าการย้ายเมืองหลวงในครั้งนี้ของอินโดฯ ใช้งบประมาณทั้งหมด 32,000 ? 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.16 ? 1.26 แสนล้านบาท

กลับมาที่กรุงเทพฯ ปวิช เผยว่า "กรุงเทพฯ กำลังสำรวจมาตรการต่างๆ เช่นการสร้างเขื่อน คล้าย ๆ กับที่ใช้ในเนเธอร์แลนด์ เราก็มีความคิดที่จะย้าย ซึ่งผมคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดี"

"เราจะได้แยกเมืองหลวง พื้นที่ราชการ และพื้นที่ธุรกิจได้ กรุงเทพฯ จะยังคงเป็นเมืองหลวงของประเทศต่อไป แต่จะย้ายแค่เฉพาะภาคธุรกิจเท่านั้น"


วอนทุกคนช่วยกันปราบผีที่ชื่อว่า "Climate Change"

"เราต้องรักษาธรรมชาติของเรา ดังนั้นเราจึงคิดว่าเราจะใช้มาตรการใดๆ เพื่อปกป้องทรัพยากรของเรา" ปวิช กล่าว

ตั้งแต่เริ่มปี 2024 ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเล่นงานคนไทยไปยังไงแล้วบ้าง คลื่นความร้อนรุนแรง เอลนีโญ ส่งผลกระทบต่อพืชผลการเกษตร ทะเลเดือดจนเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ทำให้อุทยานแห่งชาติหลายแห่งต้องสั่งปิด กระทบไปถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

สำหรับการแก้ปัญหาในระดับนโยบาย ปวิช เผยว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็กำลังผลักดันกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของประเทศไทย

ซึ่งหากกฎหมายโลกร้อนผ่านกระบวนทางรัฐสภาเรียบร้อย กฎหมายฉบับนี้จะเข้าไปกำกับดูแลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยังมีอีกหลายหมวดที่จะช่วยเข้าไปยับยั้ง ดูแลในภาคส่วนต่าง ๆ ก่อนที่สถานการณ์การปล่อยมลพิษของไทยจะสูงไปมากกว่านี้

เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เราอาจมีเมืองหลวงใหม่ที่ชื่อว่า ?นครปฐม ราชบุรี เชียงใหม่ ยะลา? ก็เป็นได้

ที่มา: CNA


https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/850386

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:24


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger