เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 10-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ลมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนยังคงมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบน ระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงไว้ด้วย รวมทั้งระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนชาวเรือควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงค่อนข้างสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และการระบายอากาศในบริเวณดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันลดลงเนื่องจากมีฝนเพิ่มมากขึ้น


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 10 ? 15 พ.ค. 67 ลมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน ทำให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้น รวมถึงมีฝนตกหนักบางพื้นที่

สำหรับภาคใต้ ในช่วงวันที่ 10 ? 11 พ.ค. 67 ลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 12 ? 15 พ.ค. 67 ลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออก


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง รวมทั้งมีฝนตกหนักบางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงไว้ด้วย รวมทั้งระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ควรระมัดระวังในการเดินเรือและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 10-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


อธิบดี ทช. ระบุทะเลเดือดทำปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวใน 3 จุดใหญ่ของไทยน่าห่วง

ตราด - อธิบดี ทช. ระบุภาวะโลกเดือดทำประเทศไทยพบปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวใน 3 จุดใหญ่ทั้งที่ทะเลอันดามันตอนล่าง อ่าวไทยด้านตะวันตก และอ่าวไทยด้านตะวันออก โดยที่ จ.ชุมพร รุนแรงสุดถึง 90% ส่วนที่ตราดอยู่ในระดับ 30-50%



วันนี้ (9 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ว่าจากการลงพื้นที่ ต.เกาะหมาก อ.เกาะกูด จ.ตราด พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานเพื่อสำรวจหญ้าทะเลด้านหน้าเกาะกระดาด ต.เกาะหมาก พบว่าสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงทั้งอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น และกระแสน้ำที่เปลี่ยนไปได้ทำให้หญ้าทะเลบริเวณดังกล่าวตายเป็นจำนวนมาก

ขณะที่สถานการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และหลายประเทศถือเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวระดับโลกที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 และหลายประเทศมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้น

โดยในประเทศไทยพบปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวใน 3 จุด คือ พื้นที่ทะเลอันดามันตอนล่าง พื้นที่อ่าวไทยด้านตะวันตกใน จ.ชุมพร และฝั่งอ่าวไทยด้านตะวันออกที่ จ.ตราด ซึ่งทั้ง 3 จุดมีสถานการณ์รุนแรงมากกว่าพื้นที่อื่นๆ จาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยทางสมุทรศาสตร์ และปัจจัยเรื่องกระแสน้ำที่เปลี่ยนไป

"จากข้อมูลในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาพบปะการังฟอกขาวในหลายพื้นที่ โดยบางจุดมีความรุนแรงมากถึง 80-90% โดยเฉพาะที่ทะเลใน จ.ชุมพร และที่ ต.เกาะกูด และ ต.เกาะหมาก จ.ตราด ที่พบปะการังฟอกขาวในระดับ 30-50% ซึ่งเป็นเรื่องที่โชคดีที่ไม่เสียหายมากตามที่มีการคาดการณ์ไว้ครั้งแรก"

นอกจากนั้น ยังพบว่าปัญหาอื่นๆ ที่คุกคามปะการังให้ตาย มีทั้งตะกอน น้ำเสีย และครีมกันแดดที่นักท่องเที่ยวใช้ทาผิว ซึ่งหลังจากนี้ไปกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะเร่งรณรงค์ไม่ให้มีการใช้ในปริมาณมากเพราะอาจจะส่งผลกระทบในระยะยาว อีกทั้งอุณหภูมิของประเทศที่ยังไม่ได้ผ่านช่วงฤดูร้อนที่สุด ทำให้ปะการังเครียดต่อเนื่อง โดยคาดว่าหากอุณหภูมิลดลงปะการังอาจได้พักบ้าง

อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ยังเผยอีกว่า ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวและหญ้าทะเลตายของประเทศไทยขณะนี้ถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤต เนื่องจากมีการเกิดต่อเนื่องในหลายจุด หลายพื้นที่และหลายระดับน้ำทะเลที่ลดต่ำลงกว่าปกติ และหากสภาพอากาศร้อนนานขึ้นยิ่งจะทำให้ปะการังร้อน หญ้าทะเลจะพากันแห้งตายในอีกหลายพื้นที่

โดยแนวทางแก้ไขมี 2 วิธีการ คือ การแก้ไขแบบการทำงานเชิงรุกด้วยการปลูกปะการังและปลูกหญ้าทะเลซึ่งจะทำให้การฟื้นฟูเกิดขึ้นได้รวดเร็ว

อีกวิธีคือ การแก้ไขด้วยการปรับสภาพแวดล้อมของทะเล และปล่อยไปตามธรรมชาติซึ่งปะการังและหญ้าทะเลจะได้รับการฟื้นฟูในเวลา 5-10 ปี

"ในพื้นที่ จ.ตราด เราเห็นโอกาสที่ปะการังและหญ้าทะเลมีโอกาสรอดสูง ผิดกับอีกหลายพื้นที่ที่น่าเป็นห่วง ทั้งชุมพร และอันดามัน ซึ่งที่เกาะหมาก อ.เกาะกูด จ.ตราด โชคดีที่มีเครือข่ายอาสาสมัครที่เข้มแข็ง และยังได้ร่วมมือกับ ทช.ในการดูและฟื้นฟูในหลากหลายรูปแบบ"

โดยมาตรการสำคัญที่กรม ทช.จะดำเนินการต่อไปใน อ.เกาะช้าง และเกาะกูด คือการประกาศให้พื้นที่ทะเลช่วง อ.เกาะกูด เป็นพื้นที่คุ้มครองทางทะเล ส่วนในพื้นที่ อ.เกาะช้าง ที่มีสภาพเป็นเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง มีมาตรการที่เข้มแข็งจึงไม่น่าเป็นห่วง


https://mgronline.com/local/detail/9670000040148

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 10-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


ญี่ปุ่นเปิดไฟเขียว ล่าวาฬเชิงพาณิชย์ สายพันธุ์ 'วาฬฟิน'


แฟ้มภาพรอยเตอร์

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศจะเพิ่มวาฬฟิน ซึ่งเป็นวาฬขนาดใหญ่อันดับ 2 รองจากวาฬสีน้ำเงิน อยู่ในรายชื่อสายพันธุ์วาฬเชิงพาณิชย์ ที่จะเปิดทางให้ล่าวาฬฟินเชิงพาณิชย์ได้

เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่มีขึ้นหลังจากญี่ปุ่นได้ถอนตัวออกจากคณะกรรมการล่าวาฬระหว่างประเทศ (IWC) ซึ่งเป็นคณะทำงานควบคุมการล่าวาฬไปเมื่อ 5 ปีก่อน ส่งผลให้ญี่ปุ่นถูกกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

นายโยชิมาสะ ฮายาชิ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น แถลงว่า รัฐบาลจะส่งเสริมการล่าวาฬต่อไปและจะดำเนินการทางการทูตที่จำเป็น โดยชี้ว่าวาฬเป็นแหล่งอาหารสำคัญและควรได้รับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนซึ่งตั้งอยู่บนหลักฐานวิทยาศาสตร์ โดยรัฐบาลจะขยายการอนุญาตล่าวาฬที่รวมไปถึงวาฬฟินด้วย นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่าเป็นสิ่งสำคัญในการสืบทอดวัฒนธรรมอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นเอาไว้อีกด้วย

ทั้งนี้ หลังจากญี่ปุ่นได้ถอนตัวออกจาก IWC ก็ได้เริ่มกลับมาล่าวาฬเชิงพาณิชย์ในน่านน้ำของตนเองและเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของญี่ปุ่นในปี 2019 และจากข้อมูลสำนักประมงระบุว่า ในปีที่แล้วญี่ปุ่นได้ทำการล่าวาฬรวมแล้วทั้งสิ้น 294 ตัว ทั้งวาฬมิงค์ วาฬบรูด้า และวาฬเซ ซึ่งเป็น 3 สายพันธุ์วาฬที่ปัจจุบันทางการญี่ปุ่นอนุญาตให้ล่าเชิงพาณิชย์ได้


https://www.matichon.co.th/foreign/news_4567306

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 10-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


ญี่ปุ่นจะเริ่มล่าวาฬฟินหลังล่าวาฬเชิงพาณิชย์มาแล้ว 5 ปี



โตเกียว 9 พ.ค. ? ญี่ปุ่นจะเพิ่มชื่อวาฬฟิน (Fin Whale) ซึ่งเป็นวาฬที่มีขนาดใหญ่ ในบัญชีวาฬที่ญี่ปุ่นจะล่าในเชิงพาณิชย์ หลังจากญี่ปุ่นออกจากการเป็นสมาชิกองค์กรระหว่างประเทศที่ควบคุมการล่าวาฬเพื่อการพาณิชย์เมื่อ 5 ปีก่อน

นายโยชิมาสะ ฮายาชิ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะยังคงส่งเสริมการล่าวาฬต่อไปและจะดำเนินขั้นตอนทางการทูตที่จำเป็น เขากล่าวว่า วาฬเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของญี่ป่นุและควรจะมีการใช้อย่างยั่งยืน โดยอ้างอิงจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้น ยังมีความจำเป็นในการส่งต่อมรดกทางด้านวัฒนธรรมอาหารของญี่ปุ่นไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานสืบต่อไป

ญี่ปุ่นกลับมาล่าวาฬในเชิงพาณิชย์ในน่านน้ำของญี่ปุ่นและเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่นในปี 2019 หลังจากถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการการล่าวาฬระหว่างประเทศ หรือ ไอดับเบิลยูซี และในสัปดาห์นี้ สำนักงานประมงของญี่ปุ่นได้ขอความเห็นสาธารณะเกี่ยวกับร่างแก้ไขนโยบายควบคุมทรัพยากรทางน้ำ ที่จะอนุญาตให้มีการล่าวาฬฟินเพื่อการพาณิชย์

สำนักงานประมงกล่าวว่า เมื่อปีที่แล้ว ญี่ปุ่นจับวาฬมิงก์ (Minke Whale) วาฬบรูด้า (Bryde?s Whale) และ วาฬเซย์ (Sei Whale) จำนวนทั้งสิ้น 294 ตัว


https://tna.mcot.net/world-1362030

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 10-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation


อัปเดตสถานการณ์ "ปะการังฟอกขาว" ล่าสุด พบในเขตอุทยานฯ 12 แห่ง สั่งปิดพื้นที่ห้ามรบกวน



ยังต้องตามกันต่อสำหรับปรากฏการณ์ "ปะการังฟอกขาว" ล่าสุด เกิดขึ้นที่ "เกาะลิบง" แหล่งอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเลของไทย ชาวบ้าน-นทท. หวั่นกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรง ขณะที่ "พัชรวาท" รองนายกฯ และรมว.ทส. สั่งติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ด้าน กรมอุทยานฯ พบปะการังฟอกขาวในเขตอุทยานฯ 12 แห่ง เร่งปิดพื้นที่ห้ามรบกวน

จากการที่ปี 2567 นี้ สภาพสิ่งแวดล้อมน้ำทะเลมีความผิดปกติ โดยเฉพาะอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น จากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ "ปะการังฟอกขาว" ในหลายพื้นที่ ซึ่งหลายคนก็คงจะเห็นกันตามข่าวมาบ้างแล้ว

วันนี้ (9 พ.ค. 67) Nation STORY ขอพาไปสำรวจทะเลตรัง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาว จากภาวะโลกร้อน และยังคงเกิดขึ้นและขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ไม่กี่วันมานี้ "ดอกไม้ทะเล" แหล่งอาศัยของปลาการ์ตูน หรือ ปลานีโม่ ที่บริเวณอ่าวฝรั่ง ของเกาะมุก ในพื้นที่ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ก็เกิดปรากฏการณ์ฟอกขาวเป็นจำนวนมาก ทำให้คนในพื้นที่เป็นห่วงว่า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อาจส่งผลกระทบต่อบ้านของการ์ตูนได้ในอนาคต

ล่าสุด สถานการณ์ปะการังฟอกขาวจะเป็นอย่างไร เราไปสำรวจกัน


พบปะการังฟอกขาวลามที่เกาะลิบง

พาไปที่บริเวณหาดหลังเขา ของเกาะลิบง ซึ่งถือเป็นแหล่งอนุรักษ์พะยูนและแหล่งหญ้าทะเลที่ใหญ่สุดของประเทศไทย โดยหลังจากที่น้ำทะเลได้ลดลง ก็ต้องกับตกตะลึงกับภาพปะการังจำนวนมากที่โผล่อยู่ทั่วชายหาด ในสภาพที่บางส่วนมีสีซีดจางลง หรือบางส่วนกลายเป็นสีขาวไปหมดแล้ว ทั้งที่ปกติปะการังเหล่านี้จะมีความสวยงามหลากหลากสีสัน

โดย นายจิตตพล ตันอนุสรณ์ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นผู้ถ่ายคลิปปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาว ที่หน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่ง บริเวณหาดหลังเขา หมู่ที่ 5 ของเกาะลิบง หลังจากที่น้ำทะเลลดลง ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านและนักท่องเที่ยวอย่างมาก เนื่องจากเดิมทีบริเวณนี้จะเป็นจุดที่มีปะการังสมบูรณ์มากมาย เช่น ปะการังสมอง ปะการังรังผึ้ง ปะการังตาข่าย ปะการังเขากวาง ทำให้มีปลาและหอย รวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่างๆ มาอาศัยอยู่จำนวนมาก

แต่เมื่อมาเกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวรุนแรงเช่นนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้ตนเองรู้สึกกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างมาก และอยากให้ทุกฝ่ายรีบเร่งช่วยกันแก้ปัญหาโดยด่วน


ไม่ใช่แค่เกาะลิบง ที่จังหวัดกระบี่ก็เจอ "ปะการังฟอกขาว"

ขณะที่ นายสิรณัฐ สก๊อต หรือ "ทราย สก๊อต" นักอนุรักษ์ทางทะเลชื่อดัง ที่เคยทำสถิติว่ายน้ำตัวเปล่าข้าม 3 จังหวัดอันดามันมา ได้นำภาพของแนวปะการัง ซึ่งมีสภาพเป็นสีขาว มาโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก โดยระบุข้อมูลไว้ว่า

นี่เป็นสภาพปะการังฟอกขาวบริเวณเกาะรอก ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ โดยแต่ละภาพจะเห็นว่าแผ่นปะการังขนาดใหญ่ จะมีสภาพเปลี่ยนเป็นสีขาวบางจุด ปะการังบางแผ่นก็กลายสภาพเป็นสีขาวทั้งแผ่น แม้แต่ดอกไม้ทะเล ที่เป็นบ้านของปลาการ์ตูน หรือปลานีโม่ ซึ่งปกติจะเป็นสีเหลืองออกส้ม แต่ตอนนี้กลายสภาพเป็นสีขาวซีดไปแล้ว โดยยังมีปลานีโม่ว่ายอาศัยอยู่

"ทราย สก๊อต" ให้ข้อมูลว่า ปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวที่เห็นในภาพนั้น ตัวเขาเองไปถ่ายมาขณะไปดำน้ำเก็บขยะทะเลกันที่เกาะรอก เกาะที่ได้ชื่อว่าปะการังน้ำตื้นสวยที่สุดแห่งหนึ่งของกระบี่ ตอนนี้พบว่าสภาพปะการังหลายจุดเริ่มกลายเป็นสีขาว จากวิกฤติปะการังฟอกขาว ซึ่งเป็นผลมาจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น เท่าที่เขาไปดำน้ำสำรวจมาหลายจุดสำคัญของกระบี่ อาทิ เกาะไก่ เกาะรอก เกาะห้า เกาะห้อง ก็พบสภาพนี้มากขึัน และมีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าเป็นห่วง

ที่ผ่านมาสังคมไทยอาจจะไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่อย่าลืมว่าเวลาคุณมาดำน้ำดูปะการัง เพราะคุณต้องการมาดูสีสันที่สวยงามของมัน แต่วันนี้สีสันมันเริ่มหายไปแล้ว ปีนี้ถือว่าสถานการณ์ฟอกขาวมาเร็ว และรุนแรงมากกว่าทุกปี เป็นสัญญาณเตือนจากธรรมชาติ ว่านี่คือผลจากการกระทำของมนุษย์ จึงอยากเรียกร้องให้สังคมไทย ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เริ่มจิตสำนึกในการลดก๊าซคาร์บอน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น

นายสิรณัฐ ยังบอกด้วยว่า จากที่เขาดำน้ำสำรวจ จะพบว่าปะการังที่เริ่มฟอกขาว จะอยู่ตั้งแต่ระดับความลึก 5 เมตร ลึกลงไปกว่านััน อาจจะยังไม่กระทบมาก เพราะอุณหภูมืของน้ำยังไม่ร้อนมาก


"พัชรวาท" ลงพื้นที่ภูเก็ต รับฟังปัญหาสถานการณ์ปะการังฟอกขาว

อัปเดตสถานการณ์ "ปะการังฟอกขาว" ล่าสุด พบในเขตอุทยานฯ 12 แห่ง สั่งปิดพื้นที่ห้ามรบกวนอีกด้านหนึ่ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยร้อยเอก รชฏ พิสิฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ปะการังฟอกขาว จากนายชิดชนก สุขมงคล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

โดยมีข้อสรุปคือปัจจุบันมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ El Ni?o-Southern Oscillation (ENSO) ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย (SST) และคาดการณ์ว่าจะเกิดปะการังฟอกขาวในประเทศไทยในช่วงระหว่างเดือนเมษายน ? กรกฎาคม 2567 ระดับความรุนแรงอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่

ทั้งนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท กำชับให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวอย่างใกล้ชิด ถ้าหากพบการเกิดปะการังฟอกขาวขั้นรุนแรง ให้ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อบรรเทาความเครียดของปะการัง และจัดตั้งทีมประสานงานร่วมกับในพื้นที่ ให้การสนับสนุนในทุกๆ ด้าน

นอกจากนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ได้มอบหมายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาปิดจุดดำน้ำบางแห่งที่พบปะการังฟอกขาวเป็นจำนวนมาก และให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พยายามช่วยชีวิตปะการังโดยดำเนินการตามหลักวิชาการ เช่น การลดปริมาณแสงโดยการใช้วัสดุปิดบังแสงในแนวปะการังน้ำตื้น และการย้ายปะการังบางชนิดลงไปในระดับน้ำที่ลึกมากขึ้น และที่มีอุณหภูมิน้ำต่ำกว่าปกติ เพื่อให้ปะการังได้พักฟื้นกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง


พบ "ปะการังฟอกขาว" ในเขตอุทยานฯ 12 แห่ง - สั่งปิดพื้นที่ห้ามรบกวน

ตามที่ " พล.ต.อ.พัชรวาท" กำชับให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวอย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลรักษาระบบนิเวศที่สำคัญของท้องทะเลไทย นั้น

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รับรายงานการสำรวจ ติดตามการเกิดปะการังฟอกขาว ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล จากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเล และหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 1-5 ซึ่งสาเหตุการเกิดปะการังฟอกขาวนั้น เกิดจากสภาพสิ่งแวดล้อมน้ำทะเลผิดปกติ เช่น น้ำทะเลร้อน มีคราบน้ำมัน มีตะกอนทับถมในปะการัง หรือปะการังผึ่งแห้งเป็นเวลานานเมื่อน้ำทะเลลงต่ำสุด

ทั้งนี้ จึงส่งผลให้ปะการังเกิดความเครียดที่สูง และทำให้ปะการังขับสาหร่ายเซลล์เดียวออกจากตัวปะการัง (สาหร่ายซูแซนเทลลี (zooxanthellae)) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของปะการัง และทำให้ปะการังมีสีสันด้วย เมื่อสูญเสียสาหร่ายดังกล่าวไป ปะการังเข้าสู่ภาวะอ่อนแอและกลายเป็นสีขาวโพลน หากเป็นเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ ปะการังจะตายทันที


เปิดรายชื่อพื้นที่เกิดการฟอกขาวในอุทยานแห่งชาติทางทะเลมี 12 แห่ง

สำหรับพื้นที่ที่เกิดการฟอกขาวในอุทยานแห่งชาติทางทะเลมี 12 แห่ง (ข้อมูลระหว่างวันที่ 2 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2567) แบ่งเป็น

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง
อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า - หมู่เกาะเสม็ด
อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด
อุทยานแห่งชาติหาดวนกร
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร
อุทยานแห่งชาติหาดขนอม-หมู่เกาะทะเลใต้
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์
อุทยานแห่งชาติสิรินาถ
อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา
อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี
อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา


ด้านพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีอัตราการฟอกขาวมากกว่า 50% ขึ้นไป มีดังนี้

1. อุทยานแห่งชาติหาดวนกร บริเวณเกาะจานทิศตะวันตก ปะการังมีการฟอกขาวในพื้นที่มากกว่า 80%
2. อุทยานแห่งชาติสิรินาถ บริเวณเกาะปลิง ปะการังมีการฟอกขาวในพื้นที่มากกว่า 80% (ดำเนินการประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยว)
3. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร
3.1 เกาะคราม ปะการังมีการฟอกขาวในพื้นที่มากกว่า 70 %
3.2 เกาะง่ามน้อย ปะการังมีการฟอกขาวในพื้นที่มากกว่า 60%
3.3 เกาะง่ามใหญ่ ปะการังมีการฟอกขาวในพื้นที่มากกว่า 80%

ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการังในขณะเกิดการฟอกขาว กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้มีแนวทางและมาตราการในการป้องกันการเกิดปะการังฟอกขาว คือการประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยว เพื่อลดผลกระทบจากกิจกรรมประเภทต่าง ๆ ที่อาจเป็นการเร่งให้ปะการังเกิดการฟอกขาว ในอุทยานแห่งชาติทางทะเล จนกว่าสถานการณ์การฟอกขาวของปะการังจะคลี่คลายลง


(มีต่อ)

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 10-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation


อัปเดตสถานการณ์ "ปะการังฟอกขาว" ล่าสุด พบในเขตอุทยานฯ 12 แห่ง สั่งปิดพื้นที่ห้ามรบกวน ......... ต่อ


"ปะการังฟอกขาว" คืออะไร มีผลกระทบอย่างไรกับโลกใต้ทะเล

อ้างอิงข้อมูลจาก ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา อธิบายเกี่ยวกับ "ปะการังฟอกขาว" (Coral bleaching) ว่า เป็นปรากฏการณ์ที่เนื้อเยื่อปะการังมีสีซีดหรือจางลงจากการสูญเสีย "สาหร่ายซูแซนเทลลี" (zooxanthellae) ซึ่งเกิดจากสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสาหร่าย เช่น อุณหภูมิน้ำทะเลสูงเกินไป มีน้ำจืดไหลลงมาทำให้ความเค็มลดลง ตะกอนที่ถูกน้ำจืดไหลพัดพามาจากชายฝั่ง หรือแม้แต่มลพิษที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ทางทะเลของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยน้ำเสีย การใช้ครีมกันแดด การทิ้งขยะตามแนวชายหาดก็ล้วนมีผลให้สาหร่ายซูแซนเทลลีออกมาจากเนื้อเยื่อของปะการังเพื่อความอยู่รอด

นอกจากนี้ "ปะการังฟอกขาว" ยังเป็นสัญญาณเตือนหนึ่งของวิกฤตโลกร้อน เนื่องจากปะการังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมในมหาสมุทร การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำทะเลเพียง 1?2 องศาเซลเซียส ภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ สามารถทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาวขึ้นได้


ผลกระทบ

เมื่อปะการังเกิดการฟอกขาว ย่อมส่งผลกระทบต่อโลกใต้ท้องทะเล เช่น

- ปริมาณสัตว์น้ำลดลงเนื่องจากขาดแหล่งอนุบาล

- ปะการังฟอกขาวทำให้แนวปะการังเสื่อมโทรม ส่งผลให้กระทบต่อสมดุลในระบบนิเวศแนวปะการัง

- ปะการังเกิดความเสื่อมโทรม ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว

ปะการังฟอกขาว จึงเป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่าที่คิด อีกทั้ง สิ่งมีชีวิตอย่างปะการัง มีคุณค่ากับท้องทะเลเช่นเดียวกับสัตว์น้ำอื่นๆ หากมันหายไปย่อมส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล

ซึ่งเราเองก็สามารถช่วยกันดูแลรักษา และอนุรักษ์แนวปะการังได้ โดยเริ่มจากการลดการสร้างมลภาวะ เช่น ไม่ทิ้งขยะลงทะเลและตามชายฝั่ง , หลีกเลี่ยงการกระทำที่จะเป็นการทำลายแนวปะการัง เป็นต้น

หากพบเห็นการเกิดปะการังฟอกขาว สามารถแจ้งข่าวสารผ่านเว็บไซต์ https://thailandcoralbleaching.dmcr.go.th/th เพื่อทุกฝ่ายจะได้เตรียมพร้อมรับมือและลงพื้นที่ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ปะการังฟอกขาวอย่างใกล้ชิดต่อไป


ขอบคุณข้อมูลและภาพบางส่วนจาก :
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
เฟซบุ๊ก ทราย สก๊อต
เฟซบุ๊กเพจ Environman
https://www.bangkokbiznews.com/environment/1117126
https://sciplanet.org/content/8276
https://hub.mnre.go.th/th/knowledge/detail/65637
https://km.dmcr.go.th/c_3/d_1772
https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/848470
https://thailandcoralbleaching.dmcr....oral/detail/83
Scimath คลังความรู้
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร



https://www.nationtv.tv/news/social/378943652

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 10-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews



โลกร้อนทำให้ธารน้ำแข็งแห่งสุดท้ายใน "เวเนซุเอลา" ละลายหมดแล้ว


SHORT CUT

- เวเนซุเอลามีธารน้ำแข็ง 6 แห่ง ตั้งอยู่บนเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา เด เมริดา อยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 5,000 เมตร แต่ธารน้ำแข็งทั้ง 5 แห่งได้ละลายหายไปก่อนแล้วในปี 2554

- อากาศในเวเนซุเอลา หลายเดือนมีอากาศร้อนเกินค่าเฉลี่ยราว 3 ? 4 องศา ผนวกกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่เป็นตัวเร่งให้อุณหภูมิพุ่งสูงเข้าไปใหญ่

- เว็บไซต์ Herrera ได้คาดการณ์ว่าประเทศที่จะปราศจากน้ำแข็งรายต่อไปคือ อินโดนีเซีย เม็กซิโก และสโลวีเนีย




หากใครยังสงสัยอยู่ว่าโลกร้อนมันร้อนขึ้นแค่ไหนกันนะ springnews อยากให้ลองอ่านเคสนี้เป็นกรณีศึกษา จากน้ำแข็งที่ปกคลุมทั่วทั้งภูเขา แถมอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 5,000 เมตร ยังถูกอากาศร้อนเล่นงาน จนน้ำแข็งละลายหายเกลี้ยง


เวเนซุเอลาไม่เหลือธารน้ำแข็งอีกแล้ว

เว็บไซต์ The Guardian รายงานว่า ขณะนี้ ธารน้ำแข็งแห่งสุดท้ายในเวเนซุเอลาได้ละลายไปหมดแล้ว เหลือแค่ภูเขาเกลี้ยงเตียนทิ้งไว้ดูต่างหน้า ทั้งหมดนี้ เป็นพิษสงจากอะไรพอจะเดากันได้ไหม...

ปูพื้นก่อนว่าเวเนซุเอลามีธารน้ำแข็งสำคัญทั้งหมด 6 แห่ง ตั้งอยู่บนเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา เด เมริดา อยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 5,000 เมตร แต่ธารน้ำแข็งทั้ง 5 แห่งได้ละลายหายไปก่อนแล้วในปี 2554 ซึ่งขณะนี้ ธารน้ำแข็งฮุมโบลดต์ ก็ตามเพื่อนไปแล้ว

"ฮูลิโอ ซีซาร์ เซนเตโน ที่ปรึกษาการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (UNCED) เปิดเผยกับสำนักข่าว AFP ว่า "เวเนซุเอลาไม่มีธารน้ำแข็งอีกแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือชิ้นส่วนน้ำแข็ง ในสัดส่วน 0.4% ของธารน้ำแข็งเดิม"


ต้องบอกว่า ประเทศอื่น ๆ สูญเสียธารน้ำแข็งไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ก่อนที่โลกจะเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ แต่ถ้านับปัจจุบัน เวเนซุเอลาถือเป็นเคสแรกที่ธารน้ำแข็งละลายเพราะโลกเดือด


เวเนซุเอลา อากาศร้อนทุบค่าเฉลี่ย

อย่างไรก็ดี เมื่อไปดูอุณหภูมิของเวเนซุเอลาในเขตพื้นที่แอนเดียน พบว่าหลายเดือนมีอากาศร้อนเกินค่าเฉลี่ยราว 3 ? 4 องศา ผนวกกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่เป็นตัวเร่งให้อุณหภูมิพุ่งสูงเข้าไปใหญ่ อากาศร้อนขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจที่ธารน้ำแข็งละลายไปจนหมด

อันที่จริงมีสัญญานเตือนมาสักระยะแล้ว เริ่มมีการสังเกตว่าน้ำแข็งมันเริ่มละลาย รัฐบาลเวเนซุเอลาจึงสั่งติดตั้งผ้าห่มกันความร้อนเพื่อป้องกันการละลายเพิ่มเติม แต่ไม่เป็นผล...

ไม่แน่ใจว่าโลกจะถอดบทเรียนจากเคสของเวเนซุเอลามากแค่ไหน แต่คงไม่ต้องอธิบายให้มากความอีกแล้วว่า สิ่งใดเป็นต้นเหตุให้โลกเคลื่อนเข้าสู่สภาวะที่เดือดเป็นหม้อไฟเช่นนี้


เตือน! เหยื่อน้ำแข็งละลายรายต่อไป

ข่าวร้ายไปกว่านั้นอีกคือ เวเนซุเอลาจะไม่อยู่คนเดียวในลิสต์ประเทศที่ธารน้ำแข็งละลายอย่างเหงาหงอยแน่นอน เพราะหากสภาพอากาศโลกยังแปรปรวนเพราะภาวะโลกเดือด (Global Boiling) แบบนี้

เว็บไซต์ Herrera ได้คาดการณ์ว่าประเทศที่จะปราศจากน้ำแข็งรายต่อไปคือ อินโดนีเซีย เม็กซิโก และสโลวีเนีย


ที่มา: The Guardian, Eco Watch


https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/850147
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 10-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews



เปิด 7 ประโยชน์ ที่ "แนวปะการัง" มอบให้กับท้องทะเลไทย


SHORT CUT

- โลกเดือด อากาศเดือดกว่า! ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลไทยพุ่งทะเล 32 องศา พื้นที่ชายฝั่งอันดามันและอ่าวไทยเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวแล้ว

- เคสล่าสุดเกิดขึ้นที่ เกาะปลิง จ. ภูเก็ต แนวปะการังเกิดการฟอกขาวแล้ว ทำให้อุทยานแห่งชาติสิรินาถต้องประกาศปิดการท่องเที่ยวบริเวณเกาะปลิงและแนวปะการังเป็นการชั่วคราว

- สปริงพาไปดู 7 ประโยชน์ของแนวปะการัง ที่เป็นทั้งบ้าน แหล่งอาหาร แหล่งกำเนิดวัตถุดิบสำคัญ เป็นเกราะป้องกันการกัดเซาะ เรื่อยไปจนถึงเป็นผลดีในแง่การสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ




ครั้งก่อน สปริงพาไปทำความรู้จักกับแนวปะการังในไทยมาแล้ว ว่าอยู่ที่ไหน และมีจำนวนเท่าไร บทความชิ้นนี้จะพาทุกคนไปดูประโยชน์ของแนวปะการังกัน แล้วคนจะรู้ว่า แนวปะการังใต้ท้องทะเลนั้นสำคัญไฉน

ตอนนี้โลกใต้บาดาลเรียกได้ว่าเดือดไม่แพ้บนดิน เพราะอากาศร้อนถึงขั้นส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลพุ่งทะลุ 32 องศา ส่งผลให้ทั้งชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามันเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว (Coral Bleaching) เป็นที่เรียบร้อย


ปะการังฟอกขาวที่เกาะปลิง จ.ภูเก็ต

เคสล่าสุดเกิดขึ้นที่ เกาะปลิง จังหวัดภูเก็ต พบว่าแนวปะการังเกิดการฟอกขาวแล้ว ทำให้อุทยานแห่งชาติสิรินาถต้องประกาศปิดการท่องเที่ยวบริเวณเกาะปลิงและแนวปะการังเป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการัง

นี่เป็นแค่กรณีตัวอย่าง แต่คาดว่าเราจะได้ยินข่าวปะการังฟอกขาวกันบ่อยครั้งยิ่งขึ้น เพราะแนวปะการังทนอุณหภูมิของท้องทะเลไทยไม่ไหว น้ำเดือดประหนึ่งอยู่ในหม้อไฟร้อน ๆ

ด้วยเหตุนี้ สปริงจึงขอพาทุกคนไปสำรวจประโยชน์ของแนวปะการังอีกครั้ง สปริงรวบรวมมาได้ทั้งหมด 7 ข้อ เราจะเห็นว่าแนวปะการังเป็นทั้งบ้าน แหล่งอาหาร แหล่งกำเนิดวัตถุดิบสำคัญ เป็นเกราะป้องกันการกัดเซาะ เรื่อยไปจนถึงเป็นผลดีในแง่การสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ

อย่างไรก็ดี ประโยชน์ทั้ง 7 ข้อนี้จะไม่มีความหมายใดใดเลย อะไรที่เราเคยได้รับ เราก็จะไม่ได้สิ่งนั้นแล้ว หากแนวปะการังซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลถูกพิษสงของทะเลเดือดเล่นงานจนเป็นปะการังฟอกขาวตายไปหมด


เปิด 7 ประโยชน์ของแนวปะการัง

1. แหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหาร : สิ่งมีชีวิตต่างๆ ใช้แนวปะการังเป็นแหล่งสืบพันธุ์ แหล่งวางไข่ แหล่งอนุบาลตัวอ่อน แหล่งหลบภัย และแหล่งหากิน แนวปะการังเป็นแหล่งที่มีผลผลิตทางชีวภาพสูง ผลผลิตประเภทปลาเศรษฐกิจหลายชนิดพบในแนวปะการัง

2. แหล่งหลบภัยให้กับสัตว์นานาชนิดตั้งแต่ช่วงวัยอ่อนจนถึงตัวเต็มวัย

3. แหล่งทำการประมง : เนื่องจากเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสิ่งมีชีวิตมากมายใต้ท้องทะเล

4. แนวป้องกันชายฝั่งจากการกัดเซาะของคลื่นและกระแสน้ำ : บริเวณชายฝั่งที่แนวปะการังถูกทำลายจะถูกกัดเซาะอย่างรุนแรงจากคลื่นลมทะเลในฤดูมรสุม

5. แหล่งของสิ่งมีชีวิตที่มีความสำคัญทางด้านเภสัช : ตัวยาหลายชนิด มีแนวโน้มว่าพบได้ในปะการัง รวมทั้งในสิ่งมีชีวิตในแนวปะการังหลายชนิด เช่น การสกัดสารจากเพรียง-หัวหอม สำหรับเป็นตัวยาต้านมะเร็ง และหินปะการังบางชนิด ได้แก่ ปะการังดอกไม้ทะเล (Goniopora spp.) ใช้ในการทำกระดูกเทียมรักษาผู้ป่วยที่กระดูกหัก

6. แหล่งกำเนิดเม็ดทราย : จากการสึกกร่อนของโครงสร้างหินปูน การกัดกร่อนโดยสัตว์ทะเลบางชนิด และจากกระแสคลื่น ซึ่งทำให้หินปูนปะการังแตกละเอียดเป็นเม็ดทรายที่ขาวสะอาด มีการประมาณว่าแร่ธาตุแคลเซียมคาร์บอเนตที่ทับถมในมหาสมุทรนั้น ร้อยละ 50 เกิดจากแนวปะการัง

7. แหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล : มูลค่าแนวปะการังด้านการท่องเที่ยว คิดเป็นเงินประมาณ 84,357 ล้านบาท ต่อปี


ที่มา: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง


https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/850157
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:09


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger