#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 9 กันยายน 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และอ่าวไทย เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบริเวณภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุโซนร้อน "ยุนยาง" (YUN-YEUNG) ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง บริเวณชายฝั่งตอนกลางของประเทศญี่ปุ่นในระยะต่อไป โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 9 ? 14 ก.ย. 66 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากใน ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ในช่วงวันที่ 9 ? 10 ก.ย. 66 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 11 ? 14 ก.ย. 66 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง พายุโซนร้อน "ยุนยาง" (YUN-YEUNG) บริเวณทิศใต้ของประเทศญี่ปุ่น มีแนวโน้มจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศญี่ปุ่นในช่วงกลางคืนของวันที่ 8 กันยายน 2566 โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
ตายปริศนาอีกตัว! พะยูนทะเลกระบี่ กระบี่ - สลดตายปริศนาอีกตัว พะยูนโตเต็มวัย ความยาวกว่า 2 เมตร หนักกว่า 100 กิโลกรัม ลอยตายในทะเลเกาะจำ อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ตรวจสอบพบบาดแผลคล้ายรอยขีดข่วน คาดตายมาแล้ว 12 ชั่วโมง เผยปีนี้ตายแล้ว 6-7 ตัว วันนี้ (8 ก.ย.) น.ส.กนกพรรณ ดำรงอ่องตระกูล ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 บ้านเกาะจำ ต.เกาะศรีบอยา อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ว่า พบซากพะยูนตายลอยอยู่ในทะเลบริเวณหลังเกาะจำนุ้ย ชาวบ้านช่วยกันนำเรือไปลากซากพะยูนเข้าฝั่ง จากการตรวจสอบเบื้องต้นเป็นพะยูน เพศผู้ โตเต็มวัย อายุประมาณ 5 ปี วัดความยาวประมาณ 2.20 เมตร น้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม มีบาดแผลที่ส่วนหัว แต่บาดแผลไม่ลึกมาก คล้ายรอยขีดข่วน คาดว่าตายมาแล้ว ไม่เกิน 12 ชั่วโมง จึงประสานไปศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง (ศวอล.) จ.ตรัง นำซากพะยูนไปผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการตายที่แน่ชัด สำหรับบริเวณเกาะจำ เกาะปู เกาะศรีบอยา ต.เกาะศรีบอยา อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ เป็นแหล่งหญ้าทะเลขนาดใหญ่ พื้นที่ติดกับ อ.สิเกา จ.ตรัง เป็นแหล่งอาหารของพะยูน จากข้อมูลที่ผ่านมาพบพะยูนตายในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ตั้งแต่ต้นปีจนขณะนี้มีจำนวน 6-7 ตัว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ครู และนักเรียน ในพื้นที่ทราบข่าวการตายของพะยูน ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ ได้พากันมามุงดูด้วยความเศร้าสลด https://mgronline.com/south/detail/9660000081230 ****************************************************************************************************** จมเรือหลวง 2 ลำใต้ท้องทะเลเกาะเต่า เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งดำน้ำใต้ท้องทะเล สุราษฎร์ธานี - กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจมเรือหลวง "สู้ไพรินทร์ 313" และเรือหลวง "หาญหักศัตรู 312" ที่ปลดประจำการแล้ว ใต้ท้องทะเลเกาะเต่า แหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งดำน้ำ ภาพประวัติศาสตร์จมเรือหลวงสู้ไพรินทร์ 313 และเรือหลวงหาญหักศัตรู 312 ซึ่งเรือทั้ง 2 ลำ เป็นเรือที่ปลดประจำการแล้ว ทำพิธีจัดวางเรือทั้ง 2 ลำจมใต้ท้องทะเลเกาะเต่า เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ และแหล่งดำน้ำใต้ท้องทะเล เป็นอุทยานเรียนรู้ใต้ท้องทะเลแห่งใหม่ของเกาะเต่า ซึ่งอนาคตจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใต้ทะเลจุดสำคัญของเกาะเต่า ชาวเกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ร่วมกันบันทึกภาพประวัติศาสตร์นำเรือหลวงจำนวน 2 ลำ ประกอบไปด้วย เรือหลวงสู้ไพรินทร์ 313 และเรือหลวงหาญหักศัตรู 312 ซึ่งเรือทั้ง 2 ลำ เป็นเรือที่ปลดประจำการแล้ว ที่ทางเกาะเต่าได้รับมอบจากกองทัพเรือ นำมาจัดวางจมลงใต้ท้องทะเล เพื่อเป็นอุทยานแห่งเรียนรู้ใต้ท้องทะเลแห่งใหม่ของเกาะพะงัน รวมถึงเป็นจุดดำน้ำแห่งใหม่ของเกาะเต่า ซึ่งในพิธีจัดวางจมเรือหลวง ได้กำหนดขึ้น 2 วัน วันที่ 7-8 ก.ย.2566 นี้ โดยเมื่อวันที่ 7 ก.ย.66 ที่ผ่านมา พล.ร.ท.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 พร้อมด้วย นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี น.ส.พรศรี สุทธนารักษ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นางรำลึก อัศวชิน นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเกาะเต่า เทศบาลตำบลเกาะเต่า องค์กรภาครัฐ ร่วมทั้งผู้ประกอบการ และประชาชนบนเกาะเต่า ร่วมกันประกอบพิธีจัดวางเรือหลวงสู้ไพรินทร์ และเรือหลวงหาญหักศัตรู ซึ่งปฏิบัติภารกิจในท้องทะเลมากว่า 47 ปี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำอุทยานการเรียนรู้ใต้ทะเลพื้นที่เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีพิธีบวงสรวงพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ บริเวณลานหินหน้าหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ที่ตั้งอยู่หาดทรายรี ต.เกาะเต่า โดยมี พล.ร.ท.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผู้บัญการทัพเรือภาคที่ 2 เป็นประธานพิธี โดยหลังประกอบพิธี พล.ร.ท.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ พร้อมคณะได้เดินทางไปขึ้นเรือหลวงปัตตานี ที่จอดลอยลำอยู่ทางทิศใต้ของเกาะนางยวน เพื่อประกอบพิธีวางพวงมาลา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะเริ่มมีการปล่อยน้ำเข้าเรือหลวงสู้ไพรินทร์ ซึ่งเป็นเรือลำแรกในจำนวน 2 ลำ ที่ได้จัดวางนำลงสู่ก้นทะเล บริเวณทางทิศใต้ของเกาะนางยวน เพื่อจะเป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล และเป็นจะดำน้ำแห่งใหม่ของเกาะเต่า โดยภาพวินาทีที่เหลือหลวงสู้ไพรินทร์ เริ่มจมลงสู่ก้นทะเลที่มีความลึกเกือบ 20 เมตร ถือเป็นภาพวินาทีประวัติศาสตร์ ที่สร้างความประทับให้ชาวเกาะเต่า และทุกภาคส่วนที่ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ขณะเดียวกัน วันนี้ (8 ก.ย.) จะมีการทำพิธีจัดวางเรือหลวงหาญหักศัตรู ณ บริเวณฝั่งตะวันออของเกาะเต่า หรืออ่าวเมา ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะเป็นแหล่งนำน้ำและอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีต้องขอขอบคุณกองทัพเรือ ที่มอบเรือหลวงหาญหักศัตรู และเรือหลวงสู้ไพรินทร์ จำนวน 2 ลำ ที่ปลดประจำการแล้ว เพื่อเป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเลแห่งที่ 2 และแห่งที่ 3 ของเกาะเต่า ซึ่งจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน โดยก่อนนี้ ทางกองทัพเรือได้มอบเรือหลวงสัตกูด ให้เป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเลแห่งที่ 1 เกาะเต่า เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2554 โดยเรือหลวงสัตกูด ได้นำไปวางไว้ใกล้กองหินขาว ด้านทิศตะวันตกของเกาะเต่า ปัจจุบันเป็นจุดดำน้ำสำคัญของเกาะเต่า และเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์เกาะติดจำนวนมาก เช่น ปะการัง เห็ดทะเล ดอกไม้ทะเล กัลปังหา ปะการังดำ และในโอกาสนี้ทางกองทัพเรือได้มอบเรือหลวงอีกจำนวน 2 ลำ ให้เป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล และจะเป็นจุดนำน้ำที่สำคัญของเกาะเต่า ที่นักดำน้ำทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต้องเดินทางมาดำน้ำในจุดนี้ และจะเป็นการสร้างรายได้ให้การท่องเที่ยวต่อไป โดยในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาดำน้ำดูความสวยงามใต้ทะเลเกาะเต่ากันเป็นจำนวนมาก สร้างเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ด้าน นางรำลึก อัศวชิน นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะเต่า กล่าวว่า เกาะเต่า เป็นเกาะท่องเที่ยวหลัก 1 ใน 3 ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลยอดนิยมที่มีศักยภาพสูงมีชื่อเสียงติด 1 ใน 10 ของโลก รวมทั้งเป็นห้องเรียนใต้ทะเล (สอนดำน้ำ) สำคัญของเอเชียและ อันดับต้นของโลก ด้วยสภาพทรัพยากร ธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนปีละเกือบ 1 ล้านคน ร้อยละ 90 เป็นชาวต่างประเทศ สามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศปีละ 5,000 ล้านบาท และครั้งนี้ผู้ประกอบการร้านดำน้ำ สถาบันสอนดำน้ำ ชมรม และผู้ประกอบการชาวเกาะเต่า กว่า 64 แห่ง ได้ร่วมใจสนับสนุนโครงการอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเลแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเกาะเต่า จำนวน 8,607,000 บาท ดำเนินการให้มีอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเลจากเรือหลวงเป็นแห่งที่ 2 และ 3 จะส่งผลเกิดแหล่งปะการัง แหล่งสัตว์น้ำ และจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใต้ทะเลแห่งใหม่ที่เป็นจุดเด่นจุดสำคัญอีกด้วย https://mgronline.com/south/detail/9660000081065
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|