#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัดในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงค่อนข้างสูง เนื่องจากการระบายอากาศในบริเวณดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนถึงร้อนจัด กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 27-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 38-41 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 12 - 17 เม.ย. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ประกอบกับในช่วงวันที่ 14 ? 17 เม.ย. 67 จะมีแนวพัดสอบของลมตะวันตกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน สำหรับชาวเรือควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 เม.ย. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
"เกาะกระดาด" ท่องซาฟารีบนเกาะสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เรือลำน้อยล่องมาถึงชายฝั่ง "เกาะกระดาด" ก็สัมผัสได้ถึงความเงียบสงบและธรรมชาติบริสุทธิ์ไร้การปรุงแต่ง โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกวางตัวใหญ่ที่มองเห็นอยู่ลิบๆ ซึ่งฉายภาพให้เห็นเอกลักษณ์บนเกาะแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี "เกาะกระดาด" เป็นหนึ่งในหมู่เกาะหมาก จังหวัดตราด เป็นเกาะเดียวในพื้นที่ที่เป็นที่ราบจากเปลือกโลกเคลื่อนตัวแยกออกมา ถือเป็นหินแร่อัคนีจากภูเขาไฟอายุกว่า 300-400 ล้านปี เกาะมีพื้นที่ประมาณ 2.8 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,113 ไร่เศษ มีความกว้างประมาณ 1.2 กิโลเมตร ยาวประมาณ 2.4 ตารางกิโลเมตร ลักษณะเมื่อมองจากภาพถ่ายทางอากาศเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีฐานกว้างเป็นเส้นตรง มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นที่ราบระดับเดียวกัน สูงไล่เลี่ยกับระดับน้ำทะเล โดยมีเนินอยู่ตรงกลาง ยอดเนินสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 36 เมตร มองไกลๆ จะมีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษ เกาะกระดาดได้รับการคัดเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้เป็นอันซีนไทยแลนด์ โดยชื่อของเกาะที่นอกจากแบนราบคล้ายกระดาษแล้ว ยังมีที่มาจาก "ต้นกระดาด" ที่เคยมีอยู่เป็นจำนวนมากบนเกาะแห่งนี้ สอดคล้องกับพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ทรงเขียนชื่อ "เกาะกระดาด" น่าจะมาจากชื่อของต้นกระดาดที่พบมากบนเกาะ ลักษณะคล้ายต้นบอน ต้นเผือกที่หัวใช้ทำยาได้ เป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบขึ้นอยู่ตามชายหาดชื้นแฉะ แต่ในปัจจุบันแทบไม่หลงเหลืออีก กลายเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าวเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในตราจองเขียนว่า "เกาะกระดาษ" จึงน่าจะมาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเกาะที่มีพื้นที่เกือบจะแบนราบทั้งเกาะ ไม่มีภูเขา เกาะกระดาด มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ไทย เพราะเป็นเกาะที่มีการออกโฉนดถูกต้องตามกฎหมายมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ และจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ พระองค์เสด็จประพาสมายังเกาะแห่งนี้ ถึง 10 ครั้ง ความสำคัญเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และยุทธศาสตร์ทางทะเล สาเหตุมาจากยุคล่าอาณานิคม ฝรั่งเศสได้เข้ามาขยายอาณาเขตในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพยายามยึดครองแผ่นดินของไทย และเกาะกระดาดก็เป็นที่หมายหนึ่งของฝรั่งเศสด้วย รัชกาลที่ ๕ ทรงซื้อ หรือทำตราจอง โดยซื้อจาก นายปร๊าก ชาวเขมร ซึ่งเป็นคนในบังคับฝรั่งเศส และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ออกโฉนดทีดินของเกาะขึ้น เพื่อให้รู้ว่าเกาะแห่งนี้คือผืนแผ่นดินไทย โดยพระราชทานให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (พระโอรสองค์ที่ 17) ก่อนที่จะกลายเป็นมรดกตกทอดสู่พระองค์เจ้านิทัศนาธร จิรประวัติ พระโอรสองค์โต ซึ่งทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ข้อมูลจาก เว็บไซต์ ilovekohmak.com ระบุเพิ่มเติมว่า เมื่อหม่อมเจ้านิทัศนาธรสำเร็จการศึกษากลับมารับราชการ ไม่มีเวลาดูแล ประกอบกับเกาะอยู่ห่างไกลจากกรุงเทพ ไปมาไม่สะดวกและมีไข้มาลาเรียชุกชุม จึงขายให้เอกชนไปในราคา 6,000 บาท นายวรกิจบรรหาร (พงษ์ รังควร) ผู้ได้รับการศึกษาดีจากต่างประเทศ เคยรับราชการสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ซื้อเกาะกระดาดในปี พ.ศ. 2482 เห็นว่ามีพื้นที่ราบและความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ มีแหล่งน้ำจืดกลางเกาะ จึงบุกเบิกทำการเกษตร ปลูกมะพร้าวจำนวนมากเกือบ 20,000 ต้น ต่อมาปี พ.ศ. 2512 นายชุมพล รังควร (บุตรชาย) ได้รับมรดก ยุคนี้ได้ได้มีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว เปิดที่พัก "เกาะกระดาด ไอร์แลนด์ รีสอร์ต" เป็นรีสอร์ทที่หรูและทันสมัยที่สุดในยุคบุกเบิกของการท่องเที่ยวจังหวัดตราด ได้นำมาเนื้อกวางมาเลี้ยง 2-3 คู่และปล่อยให้ขยายพันธุ์เองตามธรรมชาติเป็นเอกลักษณ์ของเกาะกระดาดมาตั้งแต่ครั้งนั้น และในปี พ.ศ. 2531 ได้มีการขายเกาะกระดาดอีกครั้งนึงให้นายคีรี กาญจนพาสน์ ซึ่งซื้อในนามของบริษัท กาญจนพาสน์พัฒนา จำกัดและเป็นเจ้าของมาถึงปัจจุบัน เกาะกระดาด มีหมู่เกาะบริวาร 4 เกาะ คือ เกาะใหญ่และเกาะเล็กๆ ทางด้านทิศเหนือ 3 เกาะคือ เกาะนกใน เกาะนกนอก และเกาะชู้ ช่วงน้ำลงมีลักษณะคล้ายทะเลแหวก สามารถเดินข้ามไปยังเกาะข้างเคียงได้ และยังเป็นการท่องเที่ยวต่อยอดเพื่อไปชม "เกาะขายหัวเราะ" อันโด่งดังของจังหวัดตราด ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณด้านหลังเกาะกระดาดนั่นเอง ส่วนกิจกรรมท่องเที่ยวบนเกาะกระดาด มีหาดทรายขาวสะอาดเป็นแนวยาวตลอดเกาะ มีต้นมะพร้าวอยู่เป็นจำนวนมาก และมีฝูงกวางเลี้ยงอาสัยตามธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งทางเจ้าของเกาะได้จัดกิจกรรมนั่งรถอีแต๊กชมฝูงกวางในบรรยากาศซาฟารีกลางทะเล กลายเป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเกาะประวัติศาสตร์แห่งนี้ นอกจากนี้ บนเกาะกระดาด ยังมีต้นมะพร้าวแปลกตาต้นหนึ่ง ยื่นยาวเอียงลู่เข้าหาท้องทะเลก่อนจะไปกระดกยอดยกสูงขึ้น ทำให้มะพร้าวต้นนี้เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำเกาะ และกลายเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมของผู้มาเยือน ข้อมูลเพิ่มเติม : ททท.สำนักงานตราด โทร. 039 597 259 facebook.com/tattratoffice https://mgronline.com/travel/detail/9670000031762
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
เสื้อ จากขยะทะเล ต่อยอด เพิ่มมูลค่า จาก"ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา" กรมประมงนำร่องผลิตเสื้อจากขยะทะเลแปรรูป ต่อยอดโครงการ "ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา" ร่วมกับประมงพาณิชย์ แก้วิกฤตขยะล้นทะเล แปลงเป็นทุน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ปลูกจิตสำนึกและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปัญหาขยะทะเลเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของโลก ส่งผลกระทบต่อทั้งสัตว์น้ำและมนุษย์ เนื่องจากทะเลเปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ของทุกคน กรมประมงในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงในน่านน้ำไทย ได้จัดตั้งโครงการ "ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา" ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดติดทะเลจำนวน 23 จังหวัด และได้นำหลักโมเดลเศรษฐกิจ BCG Model มาประยุกต์ใช้ผ่านการทำกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ภายใต้การมีส่วนร่วมของชาวประมง องค์กรชุมชนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาขยะทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมประมง ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการขยะ ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับประเทศที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือและให้ความสำคัญ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล และส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อการประกอบอาชีพการทำการประมง ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก โดยการนำแนวคิดไม่สร้างขยะในท้องทะเลและการเก็บขยะในท้องทะเลมาแปลงเป็นทุน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ปลูกจิตสำนึกและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงมีการประชาสัมพันธ์ ถ่ายทอดความรู้ถึงปัญหาที่มาของขยะในทะเลและวิธีจัดการกับขยะอย่างถูกต้องเพื่อเป็นการแก้ปัญหาขยะทะเลได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในพัฒนาการประมงด้วยหลักโมเดลเศรษฐกิจ BCG Model การใช้ประโยชน์ทรัพยากรประมงและสิ่งแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ของไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการทำเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 ? 2573 และ แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2563 ? 2565 เพื่อร่วมกันนำขยะขึ้นมาจากทะเลและนำไปกำจัด สร้างการตระหนักรู้ และการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน อันจะทำให้ทะเลไทย เป็น ?ทะเลสะอาด? เสื้อ จากขยะทะเล ต่อยอด เพิ่มมูลค่า จาก"ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา"เสื้อ จากขยะทะเล ต่อยอด เพิ่มมูลค่า จาก"ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา" ซึ่ง กรมประมง ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว โดยได้ร่วมกับประมงพาณิชย์ ดำเนินโครงการ "ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา" มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน โดยได้มอบหมายให้ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้าออก (PIPO) ทั้ง 30 แห่ง ทั่วประเทศ เป็นหน่วยงานหลักในประชาสัมพันธ์ให้ชาวประมงที่ออกเรือลดการใช้ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ยาก ไม่เทเศษสิ่งของเหลือใช้ หรือเครื่องมือ อุปกรณ์ และของใช้ในเรือประมงลงสู่ทะเล รวมทั้งประเมินและบันทึกปริมาณขยะที่ชาวประมงเก็บคืนสู่ฝั่ง นอกจากนี้ ท่าเทียบเรือที่จดทะเบียนกับกรมประมง ได้มีส่วนร่วมกับโครงการฯโดยการจัดจุดรวบรวมและคัดแยกขยะจากทะเล ซึ่งปัจจุบันมีเรือประมงลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนทั้งสิ้น 4,826 ลำ จากการดำเนินกิจกรรมที่ผ่านมา มีการสรุปรายงานผลปริมาณขยะคืนฝั่งที่เก็บมาได้ ยอดรวมปัจจุบันทั้งหมด จำนวน 408,373 กิโลกรัม แบ่งเป็นขยะที่เก็บในเรือประมง จำนวน 317,725 กิโลกรัม ขยะจากทะเล 90,648 กิโลกรัม โดยประเภทขยะที่พบมากที่สุด ได้แก่ เศษอวน รองลงมาเป็นขวดพลาสติก ขวดแก้ว และขยะอื่นๆ โดยขยะที่รวบรวมได้นั้น จะมีการส่งต่อไปสู่กระบวนการนำกลับมาใช้ซ้ำหรือกำจัดด้วยวิธีที่ถูกต้องต่อไป โดยล่าสุด กรมประมง ร่วมกับสมาคมประมงบ้านแหลม ชาวประมงพาณิชย์จังหวัดเพชรบุรี และภาคเอกชนผู้ประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ได้มีการขยายผลนำขยะทะเลที่เก็บได้ เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแปรรูปผลิตภัณฑ์ โดยมีกรรมวิธีผลิตด้วยการหลอมแปรรูปขยะเป็นเส้นใยรีไซเคิลผสมกับเส้นใยอื่น จากนั้นนำไปถักทอขึ้นรูปใหม่เป็น "เสื้อ" มีคุณสมบัติที่นุ่ม สวมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO?) ได้ โดยเสื้อ 1 ตัวผลิตจากขยะขวดพลาสติกจำนวน 8.5 ขวด ซึ่งเป็นขยะพลาสติกที่ถูกเก็บรวบรวมจากทะเล สอดรับแนวคิดในการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างคุ้มค่าสูงสุด เปลี่ยนขยะให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า ซึ่งสามารถลดขยะพลาสติก และยังสามารถลดโลกร้อนได้อีกด้วย เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการปกป้องสิ่งแวดล้อม และยังช่วยผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ขยายออกไปในวงกว้าง ด้วยแนวคิด "Extended Producer Responsibility (EPR) คือ การขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตครอบคลุมตลอดห่วงโซ่วงจรผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ผลิตไปจนถึงขั้นตอนหลังการบริโภค ที่ผู้ผลิตต้องเข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว กรมประมงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต เพื่อฟื้นฟูแหล่งทำการประมงให้คงความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงสนับสนุนให้ชุมชนร่วมมือในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนต่อไป https://www.bangkokbiznews.com/environment/1121385
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation
เปิดไฮไลต์ เที่ยว "เกาะไหง" หาดทรายขาว ชมฝูงนกเงือกนับร้อย ดำน้ำใสดูความสวยงามโลกใต้ทะเล เปิดไฮไลต์ "เกาะไหง" หมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ ชมความสวยงามของธรรมชาติ หาดทรายสีขาวละเอียด ดำน้ำทะเลใสราวกระจกดูปะการัง ตื่นตาไปกับฝูงนกเงือกนับร้อยตัว และขอพรที่แหลมเจ้าแม่กวนอิม ใครยังไม่มีแพลนเที่ยวไหนช่วงหยุดยาว ที่นี่ก็เหมาะมาพักผ่อนฮีลใจ หน้าร้อนแถมเข้าสู่ช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์แบบนี้ หากใครยังไม่มีโปรแกรมไปท่องเที่ยวไหน Nation STORY ขอพาไปรู้จักกับเกาะแห่งหนึ่ง ชื่อว่า "เกาะไหง" ที่นี่มีอะไรน่าสนใจ จุดเช็กอินไหนที่ไม่ควรพลาด ว่าแล้วก็ก้าวขาขึ้นเรือไปกันเลย น้ำทะเลใส หาดทรายขาว กับปะการังที่อุดมสมบูรณ์ "เกาะไหง" อยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ อยู่ใกล้กับเกาะแก่งต่างๆ ของ จ.ตรัง เช่น เกาะม้า และ เกาะเชือก ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำชมปะการังที่สวยงามของทะเลตรัง โดยใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือปากเมง อ.สิเกา จ.ตรัง เพียง 25 นาที ด้วยการเดินทางโดยเรือสปีดโบ๊ท และ ใช้เวลา 45 นาที สำหรับการเดินทางโดยเรือหางยาว เสน่ห์ของเกาะแห่งนี้ คือ ยังคงเป็นที่อุดมสมบูรณ์ และมีความสวยงามอย่างมาก พอเราไปถึงจะเห็นน้ำทะเลที่ใสราวกระจก ปะการังก็มีความสมบูรณ์ เราสามารถดำน้ำดูปะการังได้รอบเกาะ ไม่ว่าจะเป็นปะการังน้ำตื้น หรือปะการังน้ำลึก เลยเชียวล่ะ ซึ่งก็มีทั้ง ปะการังเขากวาง ปะการังก้อน ปะการังกิ่ง รวมถึง กัลปังหา เมื่อก้าวเข้าสู่ชายหาด จะเจอกับหาดทรายสีขาวละเอียด ซึ่งมีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร และเป็นชายหาดที่สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากเป็นชายทะเลที่ไม่ลาดชัน น้ำทะเลไล่ระดับจากน้ำตื้นไปยังระดับความลึก เป็นแหล่งอาศัยของ "นกเงือก" อีกหนึ่งไฮไลต์ของเกาะไหง นอกจากความสวยงามของทะเลแล้ว บนเกาะไหงยังเป็นแหล่งอาศัยของนกเงือกนับร้อยๆ ตัว ซึ่งเป็นนกประจำถิ่นที่นักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นโดยทั่วไป เพราะพวกมันจะบินมากินลูกผลของต้นไม้ที่อยู่บนเกาะแห่งนี้ รวมทั้ง ผักผลไม้ที่บรรดารีสอร์ทนำมาวางไว้ให้นกเหล่านี้ ซึ่งรีสอร์ทบนเกาะไหง ได้ร่วมกันอนุรักษ์นกเงือก นำอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ที่เหลือจากการปรุงอาหารมาให้พวกมัน มีการทำบ้านไม้ สำหรับนกเงือกให้เข้ามาอาศัยในบ้านเป็นคู่ บางคู่อยู่กันจนออกลูก นกเงือกที่นี่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี สำหรับ "นกเงือก" จัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในระดับชั้นบนของระบบนิเวศ มีนิสัยรักเดียวใจเดียว นกเงือกตัวผู้จะออกไปหาอาหาร นกเงือกตัวเมียจะรอจนตัวผู้กลับรัง ถ้าตัวผู้ไม่กลับมา นกตัวเมียจะคอยอยู่ในรังจนตัวตาย หากใครที่จะมาชมความงามของนกเงือก ก็สามารถชมได้ในช่วงเช้า และช่วงเย็น เพราะพวกมันจะออกมาหากินในช่วงนี้ ซึ่งพบเห็นได้ตลอดทั้งปี นอกจากนกเงือกแล้ว ที่เกาะไหงยังมีนกอาศัยอยู่อีกหลายชนิด เช่น นกเขาใหญ่ นกบินหลาดง เป็นต้น ส่วนเหตุผลที่ทำให้บนเกาะนี้มีนกเหงือกและนกอีกหลายชนิด เนื่องจากบนเกาะไม่มีชุมชน มีรีสอร์ทจำนวน 10 แห่ง เกาะมีเนื้อที่ 2,500 ไร่ มีพื้นที่ป่าและแหล่งน้ำจืด มีน้ำจืดตลอดทั้งปี ขอพรแหลมเจ้าแม่กวนอิม อีกจุดที่ไม่ควรพลาด อีกจุดหนึ่ง ที่หากใครได้มาเยือนเกาะไหงก็ต้องแวะไป คือ การชมความงาม และขอพรที่ "แหลมเจ้าแม่กวนอิม" ซึ่งเป็นหินขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ยืนตระหง่านอยู่ที่ริมภูเขา และเพิงถ้ำขนาดเล็ก ซึ่งชาวเรือที่ผ่านจุดนี้ไม่ลืมที่จะขอพรให้โชคดี สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจ สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวเกาะไหงได้ตลอดทั้งปี โดยใช้การเดินทางจากท่าเรือปากเมง จ.ตรัง และ จากเกาะลันตา จ.กระบี่ ซึ่งเกาะไหงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวไทยมากนัก แต่จะเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่สำคัญเกาะไหงสามารถท่องเที่ยวได้ทั้งปี ไม่มีช่วงปิดเกาะ แม้ในช่วงมรสุมที่มีคลื่นลมแรงก็สามารถท่องเที่ยวได้ เพราะเกาะไหงหันหน้าเข้าฝั่งทางทิศตะวันออก ทำให้ในคล้ายแนวกันคลื่นจึงสามารถเล่นน้ำได้ตลอดทั้งปี ยิ่งในช่วงเย็นเดือนเมษายน หากมองไปทางเกาะม้า จ.ตรัง ซึ่งอยู่ใกล้กัน จะเห็นเป็นเกาะม้าสีทอง เนื่องจากแสงแดดกระทบทำให้เกิดสีสันแปลกตาสวยงามมาก จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ก็อยากให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเที่ยวเกาะไหงกัน ยิ่งใครรักธรรมชาติ ชื่นชอบการเที่ยวเกาะ ดำน้ำดูโลกใต้ทะเล และชมนกเงือกแล้วล่ะก็ เกาะแห่งนี้ก็เป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://travel.trueid.net/detail/0xlo8AkDdldg https://www.nationtv.tv/lifestyle/travel/378942488
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
UN เตือน! เราเหลือเวลาแค่ 2 ปี กู้โลกจากวิกฤตสภาพอากาศ ก่อนที่จะสายเกินแก้ ไม่นานมานี้ มีการรายงานฟ้าผ่าว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกแค่ไม่กี่ราย แต่ปล่อยก๊าซคาร์บอนรวมกันกว่า 80% ของทั้งโลก และล่าสุด UN ก็ออกมาเตือนว่า มนุษย์เหลือเวลาแค่ 2 ปี เท่านั้น ที่จะแก้ไขเรื่องนี้ เลขาธิการหน่วยงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของสหประชาชาติออกโรงเตือนว่า มนุษย์เหลือเวลาแค่ 2 ปีเท่านั้นในการช่วยโลกจากปัญหาโลกร้อน ขณะที่ประเทศกลุ่มจี 20 ที่ร่ำรวย ปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของโลกใบนี้ ไซมอน สตีล เลขาธิการกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เตือนเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมาว่า เราเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นในการช่วยโลก จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอันเลวร้าย โดยบรรดานักวิทยาศาสตร์ระบุว่า เราจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำลายสภาพอากาศลงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 เพื่อยับยั้งไม่ให้อุณหภูมิสูงเกิน 1.5องศาเซลเซียส ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสภาพอากาศสุดโต่งและร้อนจัด เมื่อปีที่แล้ว การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเกิดจากการใช้พลังงาน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยักษ์ใหญ่ต้องให้ความร่วมมือมากกว่านี้ ไซมอนยังบอกอีกด้วยว่า ในช่วงสองปีถัดจากนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการช่วยโลก เรายังคงมีโอกาสที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เราจำเป็นต้องมีแผนการที่เข้มแข็งกว่านี้ โดยกลุ่มจี 20 เป็นกลุ่มประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของโลกใบนี้ นับเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ปัญหานี้ เตรียมถกในงาน COP 29 สำหรับภารกิจสำคัญของสหประชาชาติในปีนี้ คือการเจรจาด้านสภาพอากาศอากาศที่จะเกิดขึ้นในอาเซอร์ไบจาน เพื่อให้แต่ละประเทศเห็นพ้องต้องกันในเป้าหมายใหม่ ในการให้เงินสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งกำลังประสบปัญหาการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานฟอสซิลมาสู่พลังงานสะอาด และต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สำหรับการประชุมว่าด้วยสภาพอากาศของสหประชาชาติขยายใหญ่ขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างเมื่อปีที่แล้ว มีคนเข้าร่วมการประชุม COP28 ที่จัดขึ้นที่ดูไบเกือบ84,000 คน แต่มันก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีนักล็อบบี้จากบริษัทด้านพลังงานฟอสซิลลงชื่อเข้าร่วมงานกว่า 2,000 คน ไซมอนชี้ว่า เขาหวังว่าการประชุม COP ในอนาคตจะมีขนาดการจัดงานที่เล็กลง แต่มีผลลัพธ์การเจรจาที่แข็งแรงขึ้น ที่มา: Reuters https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/849419
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|