|
|
Share | คำสั่งเพิ่มเติม | เรียบเรียงคำตอบ |
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้ากับมีลมแรง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นไว้ด้วย สำหรับภาคใต้มีฝนลดลง ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา คลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่ จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป คลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งของภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 20-24 ก.พ. 63 ฝุ่นละอองในระยะนี้ ลมตะวันออกที่พัดปกคลุมภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีกำลังแรงขึ้น ทำให้การสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันสะสมได้น้อย ส่วนภาคเหนืออากาศยกตัวได้ไม่ดีในตอนเช้าและลมอ่อน ทำให้ตอนเช้ามีการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควัน ส่วนตอนบ่ายจะดีขึ้นเนื่องจากอากาศยกตัวได้ดี กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 20-23 ก.พ. 63 ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีลมแรงในช่วงวันที่ 20 - 23 ก.พ. 63 ส่วนในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. 63 บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว โดยจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ส่วนอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ตลอดช่วง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 20-22 ก.พ. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 24 ก.พ. 63 ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "คลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 20-24 กุมภาพันธ์ 2563)" ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงอย่างต่อเนื่อง ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยยังคงมีกำลังแรง โดยบริเวณอ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมามีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งของภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 20-24 ก.พ. 63
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
ภาพประทับใจ! ฉลามวาฬโผล่หากินเกาะห้า ว่ายน้ำเล่นรอบเรือจนท.อุทยานฯ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ฉลามวาฬขนาดใหญ่ ยาวกว่า 4 เมตร กำลังเวียนว่ายหากินบริเวณเกาะห้า ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ขณะที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา กำลังดำน้ำสำรวจความสมบูรณ์ทรัพยากรทางทะเล ในเขตอุทยานหมู่เกาะลันตา โดยฉลามวาฬตัวดังกล่าว โผล่ขึ้นมาใกล้เรือให้เจ้าหน้าที่อุทยาน และนักท่องเที่ยวได้เห็นในระยะใกล้ โดยไม่มีอาการตื่นกลัวแต่อย่างใด หลังจากเวียนว่ายอยู่ประมาณ 10 นาที ก่อนจะว่ายน้ำหายไปในทะเลลึก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกภาพไว้ ก่อนแชร์ในโลกออนไลน์ สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น เพราะการที่ฉลามวาฬจะปรากฎตัวให้เห็นในระยะใกล้นั้นมีไม่บ่อยนัก นายวีระศักดิ์ ศรีสัจจัง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯหมู่เกาะลันตา นำเรือตรวจขนาดเล็กออกลาดตระเวน บริเวณเกาะห้า ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของ จ.กระบี่ เพื่อดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ก็พบกับฉลามวาฬ ยาวประมาณ 4 เมตร เวียนว่ายหากินอยู่รอบๆลำเรือ เจ้าหน้าที่จึงได้บันทึกภาพไว้เพื่อเก็บข้อมูลการอาศัยของฉลามวาฬ ในพื้นที่เกาะลันตา ขณะที่นักประดาน้ำว่ายไปใกล้ๆ ฉลามวาฬก็ไม่ได้ทำร้ายหรือมีอาการตื่นกลัวแต่อย่างใด เนื่องจากฉลามวาฬไม่มีนิสัยดุร้าย ทั้งนี้การที่ฉลามวาฬหากินบริเวณเกาะห้า เนื่องทรัพยากรยังมีความสมบูรณ์ มีแพลงตอน แหล่งอาหารของฉลามวาฬ หลังจากนี้ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ให้คอยเตือนนักท่องเที่ยวหากพบเห็นฉลามวาฬ สามารถบันทึกภาพได้ แต่ห้ามใช้แฟลชอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะทำฉลามวาฬตกใจ และอาจทำอันตรายโดยไม่ได้ตั้งใจ https://www.naewna.com/likesara/473475
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
เสนอฟื้นระบบนิเวศทุ่งหญ้า คืนสมดุลนิเวศดั้งเดิม หลังภูกระดึงไฟไหม้ นักนิเวศวิทยาและนักอนุรักษ์ประสานเสียง พลิกวิกฤตไฟป่าภูกระดึงฟื้นระบบนิเวศทุ่งหญ้าเดิม ลดเชื้อเกิดไฟป่า และอาจช่วยกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ แก้ปัญหาโลกร้อน "สมัยก่อน บนหลังแปจะเป็นทุ่งหญ้ามีต้นสนใหญ่อยู่ประปราย สายลมพัดโบกไปตามท้องทุ่งหญ้า มองเห็นไกลสุดตา ต่อมาก็มีโครงการปลูกป่าสน จึงมีป่าสนขึ้นเต็ม มองไม่ค่อยเห็นทิวทัศน์" ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Oneman Show ทบทวนความประทับใจที่มีต่อการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึงสมัยก่อนในกลุ่มเฟซบุ๊ก "กลุ่มรักภูกระดึง" ภายในกลุ่มคนรักอุทยานแห่งชาติที่นี้ เกิดบทสนทนาถกเถียงกันว่า?หลังจากเหตุไฟป่าเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ภูกระดึงจะเอายังไงต่อ? หลายคนอาจนึกถึงวิธีการฟื้นฟูป่าด้วยการปลูกต้นไม้เพิ่ม ทว่าแกนนำนักอนุรักษ์ ศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร กลับเสนอให้พลิกวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาส ฟื้นฟูระบบนิเวศเดิมตามธรรมชาติซึ่งถูกทดแทนด้วยแนวสนซึ่งคนเข้าไปปลูก เขาให้เหตุผลว่าสมัยก่อนลักษณะระบบนิเวศบนภูกระดึงคือป่าต้นสนสลับทุ่งหญ้า เป็นที่ราบมีน้ำท่วมขังเวลาฝนตก มีไม้ล้มลุกจำนวนมาก? เช่น พืชกินแมลง?อย่างหยาดน้ำค้าง เทียนป่า? หม้อข้าวหม้อแกงลิง? กระดุมเงิน? กระถินนา? เรียกว่าระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำแอ่งลานทราย (Bog) ภูกระดึงสมัยก่อน เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าและต้นสนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่เรียงเป็นระเบียบ จนได้ชื่อว่า "ดินแดนแห่งทุ่งหญ้าและป่าสน" // ขอบคุณภาพจาก: วุธ บ้านสวนสุขใจ ทว่าราว 20-30 ปีก่อน มีโครงการปลูกต้นสนสองใบและสามใบบริเวณหลังแปมาถึงศูนย์วังกวาง รวมถึงเส้นวังกวางถึงผาหมากดูก ทำให้มีปริมาณต้นสนขึ้นแน่นเป็นจำนวนมาก สังเกตได้ว่าเป็นป่าปลูกด้วยต้นสนเรียงเป็นแถวและมีความสูงระดับเท่ากัน ภูกระดึงบริเวณหลังแป หลังเหตุไฟไหม้ พ.ศ.2563 เห็นแนวสนปลูกตามโครงการปลูกป่า // ขอบคุณภาพจาก: Obay Auyz ศศินชี้ให้เห็นถึงผลเสียที่เกิดจากการมีต้นสนมากเกินไป ว่าต้นสนจะดูดน้ำจากพื้นที่ชุ่มน้ำมาก ทำให้พื้นดินแห้ง อีกทั้งยังเพิ่มไนโตรเจนในดิน เป็นผลให้ระบบนิเวศเปลี่ยน เกิดพืชหลายชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน สอดคล้องกับ Wei Zhiling นักนิเวศวิทยาที่ศึกษาด้านสังคมพืชธรรมชาติ? เขาอธิบายถึงผลกระทบที่เกิดจากการปลูกสนว่าเป็นเหตุให้เกิดไฟป่ามากขึ้น เพราะต้นสนจะใช้น้ำมาก ทำให้พื้นที่แห้ง อีกทั้งต้นสนยังเป็นเชื้อติดไฟง่ายและเศษซากกิ่งกับใบจะทับถมกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ดังนั้นภูกระดึงซึ่งถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่เกษตรกรรมจึงเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าได้ง่าย การเผาอ้อยในพื้นที่เกษตรใกล้อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ถ่ายภาพจากหลังแป อุทยานแห่งชาติภูกระดึง วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 // ขอบคุณภาพจาก: มนตรี อุดมพงษ์ นอกจากนั้นการปลูกสนยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน (Homogeneity) เป็นการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพของป่า พืชปลูกเข้ามาแข่งขันกับพืชท้องถิ่น เสี่ยงให้สายพันธุ์ธรรมชาติหายไป และการมีต้นสนมากเกินไปยังสร้างละอองเรณูจำนวนมาก ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจของผู้คน คล้ายกับกรณีประเทศญี่ปุ่นซึ่งนิยมปลูกต้นซีดาร์เพิ่มหลังสงครามโลกถึง 44% ของพื้นที่ป่าในประเทศ จนทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากเป็นภูมิแพ้ นักนิเวศวิทยาผู้นี้เชื่อว่า การปลูกป่าผสมผสานพันธุ์พืชให้หลากหลายนั้นไม่เทียบเท่ากับการปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูเอง เนื่องจากป่ามีศักยภาพฟื้นฟู เช่น ที่บ้านโคก ตำบลนามาลา อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ชาวบ้านได้ปล่อยป่าให้คืนกลับมาเองตามธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้น การนำระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบนภูกระดึงกลับมา อาจช่วยลดโลกร้อนได้มากกว่าป่าสีเขียวชะอุ่ม ตัวอย่างหนึ่งที่อาจเป็นบทเรียนแก่เหตุการณ์ภูกระดึงครั้งนี้ได้คือที่สกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร ช่วงปีพ.ศ.2523 มีความนิยมปลูกป่าเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จนกระทั่งกระทบต่อระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำประเภท Peatland ซึ่งคล้ายคลึงระบบนิเวศบนภูกระดึง หลังจากตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงมีโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศนั้นในปีพ.ศ.2540 พื้นที่ระบบนิเวศชุ่มน้ำเพียงบริเวณหนึ่งจึงช่วยกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 400 ล้านตัน เป็นสองเท่ามากกว่าศักยภาพในการกักเก็บของป่าทั้งหมดในสหราชอาณาจักร เรียกได้ว่าระบบนิเวศดังกล่าวมักศักยภาพช่วยกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าระบบนิเวศบนบกอื่นๆ (Terrestial Ecosystem) นักอนุรักษ์ทั้งสองจึงแนะให้เหตุไฟป่าภูกระดึงครั้งนี้เป็นโอกาสฟื้นฟูระบบนิเวศพรุบนเขาคืนมา ไทยพีบีเอสออนไลน์สอบถามความเห็นของสมบัติ พิมพ์ประสิทธิ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เขาแสดงความเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว และยังเชื่อว่าระบบนิเวศทุ่งหญ้ายังเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่า ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกสนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์หลายแห่ง เช่น อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก และเส้นทางตาก-แม่สอด https://greennews.agency/?p=20293
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก PPTV
"เรือผี" ถูกพายุซัดเกยตื้นชายฝั่งไอร์แลนด์ เรือสินค้าเอ็มวี อัลตา ความยาว 77 เมตร ถูกคลื่นสูงซัดเข้ามาติดแนวโขดหินไม่ไกลจากหมู่บ้านบัลลีย์คอทตอน ใกล้เมืองคอร์ค เมืองใหญ่สุดอันดับ 2 ของไอร์แลนด์ สิ้นสุดการล่องลอยกลางทะเลยาวนานหลายเดือนนับตั้งแต่มันหายไปอย่างปริศนา การผจญภัยของเรือสินค้าอัลตา เริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายน 2018 ครั้งที่มันสูญหายไปกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ระหว่างเดินทางจากกรีซไปยังเฮติ ลูกเรือ 10 คนใช้เวลา 20 วันบนเรือตอนที่มันล่องลอยอยู่นอกชายฝั่งเบอร์มิวดา ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 2,220 กิโลเมตร ก่อนได้รับความช่วยเหลือจากเรือตรวจการณ์ของยามชายฝั่งสหรัฐฯลำหนึ่ง ในตอนนั้นยามชายฝั่งสหรัฐฯ เผยว่ากำลังประสานงานกับเจ้าของเรือที่ประดับธงแทนซาเนียเพื่อเตรียมลากมันกลับเข้าฝั่ง แต่ความเคลื่อนไหวหลังจากนั้นของเรือกลายเป็นเรื่องราวปริศนา Fleetmon เว็บไซต์เกี่ยวกับการเดินเรือ อ้างได้รับข้อมูลจากเจ้าของเรือระบุว่าเรือลำนี้ถูกจี้ไปจากกายอานาถึง 2 ครั้งระหว่างปฏิบัติการกู้เรือ ต่อมามีคนพบเห็นเรืออายุ 44 ปีลำนี้อย่างเป็นทางการอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2019 โดยหนนี้เป็น HMS Protector เรือลาดตระเวนของกองทัพเรืออังกฤษที่พบมันล่องลอยโดยไร้ลูกเรืออยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก "เราเข้าไปใกล้เรือเพื่อติดต่อและเสนอมอบความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครตอบกลับ" สุดท้ายแล้วการผจญภัยของเรืออัลตาก็สิ้นสุดลงที่โขดหินริมฝั่งเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างที่พายุเดนนิสโหมกระหน่ำ ซัดถาโถมเข้าเล่นงานไอร์แลนด์ด้วยฝนตกหนักและลมพักแรงกว่า 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/119769
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก PPTV
"เรือผี" ถูกพายุซัดเกยตื้นชายฝั่งไอร์แลนด์ เรือสินค้าเอ็มวี อัลตา ความยาว 77 เมตร ถูกคลื่นสูงซัดเข้ามาติดแนวโขดหินไม่ไกลจากหมู่บ้านบัลลีย์คอทตอน ใกล้เมืองคอร์ค เมืองใหญ่สุดอันดับ 2 ของไอร์แลนด์ สิ้นสุดการล่องลอยกลางทะเลยาวนานหลายเดือนนับตั้งแต่มันหายไปอย่างปริศนา การผจญภัยของเรือสินค้าอัลตา เริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายน 2018 ครั้งที่มันสูญหายไปกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ระหว่างเดินทางจากกรีซไปยังเฮติ ลูกเรือ 10 คนใช้เวลา 20 วันบนเรือตอนที่มันล่องลอยอยู่นอกชายฝั่งเบอร์มิวดา ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 2,220 กิโลเมตร ก่อนได้รับความช่วยเหลือจากเรือตรวจการณ์ของยามชายฝั่งสหรัฐฯลำหนึ่ง ในตอนนั้นยามชายฝั่งสหรัฐฯ เผยว่ากำลังประสานงานกับเจ้าของเรือที่ประดับธงแทนซาเนียเพื่อเตรียมลากมันกลับเข้าฝั่ง แต่ความเคลื่อนไหวหลังจากนั้นของเรือกลายเป็นเรื่องราวปริศนา Fleetmon เว็บไซต์เกี่ยวกับการเดินเรือ อ้างได้รับข้อมูลจากเจ้าของเรือระบุว่าเรือลำนี้ถูกจี้ไปจากกายอานาถึง 2 ครั้งระหว่างปฏิบัติการกู้เรือ ต่อมามีคนพบเห็นเรืออายุ 44 ปีลำนี้อย่างเป็นทางการอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2019 โดยหนนี้เป็น HMS Protector เรือลาดตระเวนของกองทัพเรืออังกฤษที่พบมันล่องลอยโดยไร้ลูกเรืออยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก "เราเข้าไปใกล้เรือเพื่อติดต่อและเสนอมอบความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครตอบกลับ" สุดท้ายแล้วการผจญภัยของเรืออัลตาก็สิ้นสุดลงที่โขดหินริมฝั่งเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างที่พายุเดนนิสโหมกระหน่ำ ซัดถาโถมเข้าเล่นงานไอร์แลนด์ด้วยฝนตกหนักและลมพักแรงกว่า 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/119769
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|