#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2565
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศจีนตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลงแต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 19 - 20 มิ.ย. 65 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น ส่วนในช่วงวันที่ 21 - 24 มิ.ย. 65 ร่องมรสุมเลื่อนลงมาพาดผ่านประเทศเมียนมาและประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น จะทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น โดยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 21 - 24 มิ.ย. 65 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากลมกระโชกแรง ฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เนปาลเตรียมย้าย เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ ธารน้ำแข็งละลายเร็วมาก บางลงปีละเมตร ทางการเนปาลเตรียมย้าย เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ พบธารน้ำแข็งในบริเวณที่ตั้งเบสแคมป์กำลังละลาย จนน้ำแข็งบางลงเร็วมากปีละเมตร จนท.เผยที่ตั้งใหม่จะอยู่ต่ำกว่าที่ตั้งในปัจจุบัน เมื่อ 17 มิ.ย. 65 บีบีซีรายงานวิกฤติโลกร้อน ทำให้ทางการเนปาลกำลังเตรียมจะย้ายเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำหรับบรรดานักเดินทางที่อยากจะเห็นยอดเขาเอเวอเรสต์ ยอดเขาสูงที่สุดในโลกบนเทือกเขาหิมาลัย และเป็นที่พักเตรียมตัวสำหรับบรรดานักปีนเขาที่จะพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ เนื่องจากธารน้ำแข็งคุมบู ซึ่งเป็นที่ตั้งของเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ กำลังเผชิญกับสถานการณ์น้ำแข็งละลายจนปริมาณน้ำแข็งกำลังบางลงอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ทางการเนปาลคนหนึ่งเผยกับบีบีซีว่า เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ รองรับนักเดินทางและนักปีนเขาซึ่งเดินทางมาที่นี่ในฤดูปีนเขาเฉลี่ยแล้ว ปีละจำนวนถึง 1,500 คน สำหรับที่ตั้งแห่งใหม่ของเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ จะอยู่ต่ำกว่า และไม่มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดทั้งปี 'พวกเรากำลังเตรียมตัวที่จะย้ายที่ตั้งเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ และกำลังจะเริ่มปรึกษากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในการย้ายที่ตั้งเบสแคมป์' นายทารานาธ อัดฮีการี ผู้อำนวยการกองการท่องเที่ยวเนปาล เผยกับบีบีซี พร้อมบอกว่า ที่ตั้งเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับความสูง 5,364 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ที่ตั้งแห่งใหม่จะต่ำลงไปประมาณ 200-400 เมตร บรรดานักวิจัยชี้ว่า การละลายของน้ำแข็ง ทำให้ธารน้ำแข็งคุมบูไม่มีความมั่นคงแข็งแรง และนักปีนเขายังพบว่า รอยแยกในน้ำแข็งกำลังกว้างเพิ่มขึ้น จากผลการศึกษาโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลีดส์ในอังกฤษ เมื่อปี 2561 พบว่า ธารน้ำแข็งคุมบูกำลังสูญเสียน้ำแข็งมากถึง 9.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และน้ำแข็งบริเวณใกล้ที่ตั้งเบสแคมป์กำลังบางลงในอัตรา 1 เมตรต่อปี https://www.thairath.co.th/news/foreign/2421767
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ชายหาดเกาะทะลุคืนสภาพแล้ว หลังเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติน้ำทะเลลดต่ำสุด 3 วัน ประจวบคีรีขันธ์ - อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เผยน้ำทะเลลดต่ำสุด 3 วัน ส่งผลปะการังเกาะทะลุโผล่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ล่าสุดปกติแล้ว วันนี้ (18 มิ.ย.) กรณีที่มีการเผยแพร่ภาพปะการังหลายชนิดบริเวณอ่าวมุก และอ่าวใหญ่ ชายหาดเกาะทะลุ ตำบลทรายทอง อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำเป็นบริเวณกว้าง ระหว่างวันที่ 16-18 มิถุนายน 2565 ในช่วงน้ำลงต่ำสุดช่วงเที่ยงถึงบ่ายโมงนั้น นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ได้รับรายงานแล้ว ซึ่งปรากฏการณ์น้ำทะเลลงต่ำสุดเป็นครั้งแรกของปีนี้ตามตารางน้ำขึ้นน้ำลงของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ที่แจ้งเอาไว้เพียง 3 วันเท่านั้น ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ขอให้ผู้ประกอบการนำเที่ยวงดกิจกรรมดำน้ำในช่วงที่น้ำลงต่ำสุดเพื่อความปลอดภัยต่อทรัพยากรและนักท่องเที่ยว ซึ่งได้รับความร่วมมืออยู่แล้ว กรณีดังกล่าวมักเกิดขึ้นในทุกปีในช่วงนี้ เท่าที่ได้รับรายงานถึงแม้จะมีแดดที่ร้อน ปะการังที่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำไม่มีผลกระทบเพราะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งวันนี้น้ำลดลงเป็นวันสุดท้าย และเริ่มทยอยขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลา 14.00.น.ที่ผ่านมา ซึ่งแนวปะการังจะอยู่ใต้น้ำตามปกติ ด้านนายเผ่าพิพัธ เจริญพักตร์ เลขานุการมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม กล่าวว่า ปรากฏการณ์น้ำทะเลลดต่ำสุดวันนี้เมื่อเวลา 13.00 น.และเริ่มทยอยกลับขึ้นตั้งแต่บ่าย 2 โมงที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงหลังเที่ยงเป็นต้นไปงดกิจกรรมดำน้ำดูปะการัง ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยมีความเข้าใจเมื่อมีการอธิบายให้ฟัง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปน้ำทะเลจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งน้ำทะเลจะลงอีกครั้งของปีนี้ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมในลักษณะเช่นนี้ จะต้องติดตามจากตารางน้ำขึ้นน้ำลงต่อไป https://mgronline.com/local/detail/9650000058122 ********************************************************************************************************************************************************* ศรชล.ภาค 3 จับกุมเรือประมงอินโดฯ 1 ลำ พร้อมลูกเรือ รุกล้ำทำประมงในเขตน่านน้ำไทย ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ศรชล.ภาค 3 จับกุมเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซียได้ 1 ลำ พร้อมลูกเรือ 11 คน ขณะลักลอบเข้ามาทำประมงในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย ห่างจากเกาะภูเก็ตไปทางทิศตะวันตก 45 ไมล์ทะเล ครึ่งปี 65 จับแล้ว 3 ครั้ง เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (18 มิ.ย.) ที่บริเวณท่าเทียบเรือรัษฎา จ.ภูเก็ต ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 3 (ศรชล.ภาค3) โดย นาวาเอกณฐพงศ์ เศวตรัฐ ผู้บังคับการหมวดเรือเฉพาะกิจ ศรชล.ภาค 3 พร้อมด้วย นาวาเอกพิเชษฐ์ ซองตัน ผู้อำนวยการกองสารนิเทศ สำนักฝ่ายอำนวยการ ศรชล.ภาค 3 ทำหน้าที่โฆษก ศรชล.ภาค 3 นายสมยศ วงษ์บุญยกุล นายกสมาคมชาวประมงภูเก็ต ตัวแทนจากประมงจังหวัดภูเก็ต ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้าออกเรือประมง เขต 3 (ภูเก็ต) ตำรวจน้ำ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซีย รุกล้ำเข้ามาทำประมงในเขตน่านน้ำไทยได้ 1 ลำ พร้อมลูกเรือ 11 คน ได้ที่บริเวณห่างจากทิศตะวันตกของเกาะภูเก็ต ประมาณ 45 ไมล์ทะเล นาวาเอกณฐพงศ์ เศวตรัฐ ผู้บังคับการหมวดเรือเฉพาะกิจ ศรชล.ภาค 3 กล่าวถึงการจับกุมเรือประมงอินโดนีเซียในครั้งนี้ ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2565 ศูนย์ปฏิบัติการ ศรชล.ภาค 3 ได้รับแจ้งจากเครือข่ายประมงในพื้นที่ ว่า พบกลุ่มเรือประมงต่างชาติกำลังลักลอบทำการประมงในน่านน้ำไทย บริเวณแลตติจูด 7 องศา 41 ลิปดา 50 ฟิลิปดา ลองจิจูด 97 องศา 38 ลิปดา 59 ฟิลิปดา หรือประมาณ 45 ไมล์ทะเล ทางทิศตะวันตกของเกาะภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย พล.ร.ท.สมพงษ์ นาคทอง ผอ.ศรชล.ภาค 3 ได้สั่งการให้ศูนย์ยุทธการ ศรชล.ภาค 3 (ศยก.ศรชล.ภาค 3) และหมวดเรือ ศรชล.ภาค 3 ร่วมกันวางแผนการปฏิบัติการตามขั้นตอน เพื่อออกปฏิบัติการในพื้นที่เป้าหมาย จึงได้จัดเรือหลวงแหลมสิงห์ ออกปฏิบัติการในครั้งนี้ จนเวลา 20.00 น. เรือหลวงแหลมสิงห์ ได้ทำการจับกุมเรือประมงอินโดนีเซียที่ลักลอบทำการประมงในน่านน้ำไทยได้จำนวน 1 ลำ ข้อมูลเบื้องต้นทราบว่า เรือประมงอวนล้อมมีขนาดยาวประมาณ 60 ฟุต มีลูกเรือเป็นชาวอินโดนีเซียจำนวน 11 คน หลังจากที่ได้ทำการจับกุมแล้วเรือหลวงแหลมสิงห์ได้นำเรือประมงที่จับได้พร้อมลูกเรือเข้าฝั่งที่ท่าเรือรัษฎา เพื่อนำส่ง สภ.ฉลอง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายตาม พ.ร.บ.ประมงต่อไป อย่างไรก็ตาม การจับกุมในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 3 ในปี 2565 นี้ โดยครั้งแรกสามารถจับได้ที่บริเวณห่างจากเกาะภูเก็ตประมาณ 40-45 ไมล์ทะเล ครั้งที่ 2 ที่บริเวณเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล และครั้งนี้ที่บริเวณทางทิศตะวันตกของเกาะภูเก็ต 45 ไมล์ทะเล โดยจุดที่จับกุมได้นั้นอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย ซึ่งในจุดนี้ทาง ศรชล.ภาค 3 ได้เฝ้าติดตามและป้องกันไม่ให้เรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาทำประมงในบริเวณดังกล่าว ทั้งการลาดตระเวนทางอากาศ เรือลาดตระเวน และเครือข่ายเรือประมงไทยที่ทำประมงอยู่ในบริเวณดังกล่าว ด้าน นายสมยศ วงษ์บุญยกุล นายกสมาคมชาวประมงภูเก็ต กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางเรือประมงไทยที่ไปทำประมงในบริเวณดังกล่าวพบเห็นกองเรือประมงต่างชาติ โดยเฉพาะเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซียลักลอบเข้ามาทำประมงในบริเวณเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทยอยู่บ่อยครั้ง มาเป็นกองเรือไม่ต่ำกว่า 10 ลำ แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องการสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำในการเข้าจับกุม ทำให้เรือประมงดังกล่าวหลบหนีออกนอกจากน่านน้ำไทยไปได้ก่อนที่ถูกจับกุม ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณดังกล่ามีสัตว์น้ำชุกชุม เรือประมงอินโดฯ ซึ่งมีความชำนาญในการวางอวนล้อมซัง และบางครั้งเรือประมงต่างชาติได้ขโมยสัตว์น้ำที่เรือประมงไทยได้วางซังได้เช่นกัน ซึ่งสร้างความเสียให้เรือประมงไทยอย่างต่อเนื่อง https://mgronline.com/south/detail/9650000058000 ********************************************************************************************************************************************************* ตะรุเตาเฮ!! พบเต่าตนุขึ้นวางไข่หาดเกาะอาดังครั้งที่ 3 ของปีนี้ สตูล - เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตาพบไข่เต่าตนุที่ชายหาดแหลมสน เกาะอาดัง นับเป็นครั้งที่ 3 ของปีแล้ว ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติท้องทะเลที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังเคยพบวาฬบรูด้าถึง 2-3 ตัวมาแล้วที่บริเวณเกาะไข่ และเกาะอาดัง วานนี้ (17 มิ.ย.) เวลา 06.45 น. นายมุมีน มาลินี ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา เปิดเผยว่า หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต.5 (แหลมสน-เกาะอาดัง) พบร่องรอยเต่าขึ้นมาวางไข่บริเวณชายหาดแหลมสน ด้านทิศใต้ของเกาะอาดัง จึงได้เข้าตรวจสอบร่องรอยและวัดขนาดของไข่เต่า พบว่า เป็นเต่าตนุ ไม่ทราบจำนวนเนื่องจากอยู่พื้นที่ที่เหมาะสมและปลอดภัย จึงมิได้ตรวจนับขนย้ายไข่เต่า โดยจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของไข่เต่าทะเลอยู่ตลอดเวลา เป็นครั้งที่ 3 แล้วของปีนี้ที่พบเต่าตนุขึ้นวางไข่ ด้านนายพันธ์พงศ์ คงแก้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา กล่าวว่า อุทยานแห่งชาติตะรุเตามีเกาะแก่งที่เป็นชายหาดทรายหลายจุด ซึ่งจุดหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต.5 (แหลมสน-เกาะอาดัง) บริเวณชายหาดแหลมสน เกาะอาดังนั้น เป็นชายหาดทรายสีขาวละเอียดกว้างยาว เป็นที่ลมเย็น สงบ ไร้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยว หากเข้ามาต้องได้รับการอนุญาต "การพบไข่เต่าตนุเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง บ่งบอกตัวชี้วัดธรรมชาติท้องทะเลที่สมบูรณ์ นอกจากเจอเต่าตนุแล้วที่ขึ้นมาวางไข่ ท้องทะเลน้ำลึกยังพบวาฬบรูด้าถึง 2-3 ตัวมาแล้วที่บริเวณเกาะไข่ และเกาะอาดัง ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ที่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งหลังพายุคลื่นลมสงบจะพบสัตว์ทะเลมากมาย" นายพันธ์พงศ์ กล่าว https://mgronline.com/south/detail/9650000057994
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|