#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 10 เมษายน 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้แล้ว ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน โดยมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนผ่านประเทศเมียนมาและตอนบนของภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยจะเริ่มมีผลกระทบใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตราย จากพายุฤดูร้อน โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมในบริเวณดังกล่าวมีกำลังอ่อน กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 28-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-39 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย คาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 10 ? 11 เม.ย. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน โดยมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนผ่านประเทศเมียนมาและผ่านภาคเหนือตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในระยะแรก โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยจะเริ่มมีผลกระทบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป ส่วนในช่วงวันที่ 12 - 15 เม.ย. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับภาคใต้ในช่วงวันที่ 10 ? 12 เม.ย. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามัน ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 13 - 15 เม.ย. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะลอันดามันเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 10 ? 11 เม.ย. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 12 - 15 เม.ย. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน ****************************************************************************************************** พยากรณ์อากาศเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน พ.ศ. 2567 ในวันที่ 11 เม.ย. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน โดยมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนผ่านประเทศเมียนมา และภาคเหนือตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือยังคงมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 12 - 17 เม.ย. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทย มีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับภาคใต้ในช่วงวันที่ 11 ? 12 เม.ย. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้นทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามัน ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 13 - 17 เม.ย. 67 ลมตะวันออก และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'โลกหมุนช้าลง - เวลาเดินช้าลง' เหตุจาก 'น้ำแข็งขั้วโลกละลาย' ................ โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล การวิจัยล่าสุดพบว่า "น้ำแข็งขั้วโลกละลาย" ทำให้การหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงไป จนส่งผลต่อ "เวลา" ลดลงไปด้วยเช่นกัน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เวลาแต่ละวันจะหายไปเสี้ยววินาที อาจไม่ได้มี 24 ชั่วโมงอีกต่อไป เพราะการวิจัยล่าสุดพบว่า "น้ำแข็งขั้วโลกละลาย" ทำให้การหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงไป จนส่งผลต่อ "เวลา" ลดลงไปด้วยเช่นกัน "โลกหมุนรอบตัวเอง" 1 รอบใช้เวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับ 1 วันโดยประมาณ ซึ่งการหมุนของโลกเราไม่คงที่ สามารถเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก เช่น การเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว ปริมาณน้ำในมหาสมุทร กระแสน้ำ ตลอดจนแรงดึงดูดของดวงจันทร์ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้อัตราการหมุนของโลกช้าลงหรือเร็วขึ้น และแน่นอนว่าทำให้ "นาฬิกาเวลาโลก" เปลี่ยนไป เพื่อรักษามาตรฐานการประกาศเวลาให้ใกล้เคียงกับเวลาสุริยะ (UT1) โดยเฉลี่ย นักวิทยาศาสตร์จึงมีการใช้ ?อธิกวินาที? (Leap Second) วินาทีที่ปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงในการทดแทนเวลาที่หายไป ทั้งนี้ช่วงหลายปีที่ผ่านมาอธิกวินาทีเพิ่มขึ้นมาตลอด แต่ในตอนนี้โลกอาจสูญเสียเวลาไป เพราะโลกเริ่มหมุนช้าลง และมีช่วงกลางวันยาวนานขึ้น "เราไม่เคยปรับลดเวลามาก่อน ดังนั้นมันอาจเกิดปัญหาใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบคอมพิวเตอร์" ปาตริเซีย ทาเวลลา สมาชิกแผนกเวลาสำนักงานชั่ง ตวง วัด ระหว่างประเทศ กล่าว "น้ำแข็งละลาย" จนโลกหมุนช้าลง การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ของดันแคน แอกนิว ศาสตราจารย์ด้านธรณีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก พบว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ที่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้"น้ำแข็งขั้วโลกละลาย" เร็วขึ้น และส่งผลต่อแบบเป็นลูกโซ่ต่อการนับเวลา อีกทั้งเมื่อน้ำแข็งละลายลงสู่มหาสมุทรจนทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น และน้ำที่ละลายจะไหลจากขั้วโลกไปยัง "เส้นศูนย์สูตร" ซึ่งจะทำให้โลกหมุนช้าลงไปอีก ทาเวลลา คิดว่าการคำนวณของแอกนิว จะช่วยให้นักอุตุนิยมวิทยาคำนวณการหมุนของโลกได้ดีขึ้น พร้อมจะช่วยให้ประเมินว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องลดเวลาลงจริงหรือไม่ เท็ด สแกมบอส นักธารน้ำแข็งแห่งมหาวิทยาลัยโคโลราโดโบลเดอร์ อธิบายกระบวนการนี้เหมือนเวลาที่นักสเกตลีลาทำท่าหมุนแขนโดยยกแขนไว้เหนือศีรษะ แล้วตอนที่เขากำลังวาดแขนลงไปที่ไหล่ ความเร็วในการหมุนตัวของพวกเขาจะลดลง น้ำแข็งขั้วโลกที่ละลายในตอนนี้ มีปริมาณมากพอที่จะส่งผลต่อการหมุนของโลกทั้งใบอย่างเห็นได้ชัด ในลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับผมแล้วการที่มนุษย์สามารถทำให้การหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงไปได้เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก? แอกนิว ผู้เขียนรายงานการศึกษากล่าว "แกนโลก" ทำให้โลกหมุนช้าลง การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้โลกหมุนช้าลง การเปลี่ยนแปลงของ "แกนโลก" ก็ส่งผลด้วยเช่นกัน สสารที่อยู่ในแกนโลกชั้นในสามารถหมุนได้เป็นอย่างอิสระจากเปลือกนอกที่เป็นของแข็ง หากสสารเหล่านี้ไหลช้าลง เปลือกโลกก็จะเร่งความเร็วขึ้นในอัตราที่เท่ากัน เพื่อรักษาโมเมนตัมไว้ แอกนิวกล่าวว่านักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นลึกลงไป 1,800 ไมล์ใต้พื้นผิวโลก ถึงทำให้ความเร็วเปลี่ยนไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ แอกนิว และทีมวิจัยใช้ข้อมูลแรงโน้มถ่วงจากดาวเทียมเพื่อตรวจสอบการลดลงของโมเมนตัมเชิงมุมของโลกและผลกระทบต่อการจับเวลา เผยให้เห็นว่าการละลายอย่างรวดเร็วของแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกาได้เปลี่ยนการกระจายมวลของพื้นผิวโลกของเรา และทำให้ความเร็วเชิงมุมของเปลือกชั้นนอกที่เป็นของแข็งของโลกลดลงเร็วขึ้น ในขณะที่ความเร็วเชิงมุมของแกนกลางของเหลวส่วนใหญ่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง การวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างแกนกลาง และเนื้อโลกทำให้เกิดการหมุนเร็วขึ้น แต่ยังมีการชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการเริ่มละลายครั้งใหญ่ของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกที่เริ่มขึ้นใกล้ปลายศตวรรษที่ 20 นั่นหมายความว่าโลกจะต้องลดวินาทีเป็นครั้งแรกในไม่ช้า "วินาทีนั้นฟังดูไม่มากนัก แต่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ตั้งค่าไว้สำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น ธุรกรรมในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะต้องใช้ความแม่นยำ และความเที่ยงตรงในระดับหนึ่งในพันของวินาที" แอกนิว กล่าว ระบบคอมพิวเตอร์จำนวนมากมีซอฟต์แวร์ที่ทำให้สามารถเพิ่มวินาทีได้ แต่มีเพียงไม่กี่ระบบเท่านั้นที่สามารถลบวินาทีได้ มนุษย์จะต้องตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ ซึ่งอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ "ไม่มีใครคาดคิดจริง ๆ ว่าโลกจะเร่งความเร็วจนถึงจุดที่เราอาจต้องลดเสี้ยววินาทีลง" แอกนิวอธิบาย ขณะที่ สแกมบอส กล่าวว่า "ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงจากแกนโลกจะส่งผลต่อการหมุนของโลกมากกว่าการสูญเสียน้ำแข็งจากขั้วโลก แม้ว่าการสูญเสียน้ำแข็งจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา" ทั้งนี้สแกมบอสกล่าว ในตอนนี้การหมุนที่ช้าลงของโลก อาจเป็นปัญหาต่อโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนส่วนใหญ่ แต่จำนวนน้ำแข็งที่ละลายจนทำให้การหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นเรื่องใหญ่มากเช่นกัน ที่มา: CNN, Euro News, Space https://www.bangkokbiznews.com/environment/1121499
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เปิดผลสอบ! "เรือหลวงสุโขทัย" ล่ม อดีต ผบ.เรือลาออก เหตุขาดความรอบคอบ กองทัพเรือแถลงผลสอบสวน "เรือหลวงสุโขทัย" อับปาง เนื่องจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรง ฉับพลัน คลื่นสูง 6 เมตร ทำให้เรือโคลง ควบคุมเรือไม่ได้ ขณะที่วันที่ 18-19 ธ.ค.มีเรือล่มทั้งหมด 7 ลำ วันนี้ (9 เม.ย.2567) พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ แถลงผลสอบสวน กรณี "เรือหลวงสุโขทัย" อับปางในทะเล จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2565 วันเกิดเหตุคลื่นลมแรง มีเรือล่มใกล้กัน 7 ลำ โดยข้อมูลจากวิดีทัศน์ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้เรือหลวงสุโขทัยอับปาง ข้อมูลสำคัญระบุว่า มาจากสภาพอากาศและคลื่นลม สภาพอากาศแปรปรวน เปลี่ยนแปลงฉับพลัน รุนแรงคลื่นสูง 6 ม.จนทำให้เรือหลวงสุโขทัยล่ม ทั้งนี้ รล.สุโขทัย สามารถเดินเรือได้ที่ Sea Stage 5 ในระดับคลื่นที่มีความสูง 2.5 - 4 ม.โดยสภาพอากาศที่เกิดขึ้นจริงมีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ฉับพลัน จากที่มีการพยากรณ์ไว้ จึงทำให้เรือโคลงมาก ควบคุมเรือได้ยาก การทรงตัวของเรือและกำลังพลอยู่ในภาวะไม่ปกติ การทำกิจวัตรหรือปฏิบัติงานไม่สามารถทำได้เหมือนในภาวะปกติ "เป็นคืนเดือนมืดเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น มีข้อจำกัดในการและช่วยเหลือ และคลื่นลมแรงทำให้ลูกเรือถูกพัดกระจายตัวออกไป และเป็นอุปสรรคในการเอาชีวิตรอด" นอกจากนี้ ในวันที่ 18 - 19 ธ.ค.มีเรืออับปางในอ่าวไทยถึง 7 ลำ เรือขนาดใหญ่สุด คือ เรือสินค้าที่ใหญที่สุดมีขนาด ขนาด 2,123 ตันกรอส อันเนื่องมาจากสภาพอากาศแปรปรวน เปลี่ยนแปลงฉับพลัน รุนแรง โดยเรือที่ล่มทั้ง 7 ลำ มีดังนี้ 1.รล.สุโขทัย 2.เรือสินค้าอนุบูลย์ 3.เรือสันทัดสมุทร 4.ซัมเมอส์ซัคเซสอุตมะ และ 5.เรือ ส.4 นพรัตน์ 6.เรือประมงทรัพย์สุนันท์ 7.เรือประมง ส.เอกรัตน์ 19 เรือรั่วเกิดจากการกระแทกจากภายนอก ด้าน พล.ร.ต.อภิรมย์ เงินบำรุง เจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ คณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค และคณะกรรมการสอบสวนระบุว่า ข้อมูลจากวัตถุพยาน หลังเรือหลวงสุโขทัยอับปาง กองทัพเรือ ลงดำน้ำสำรวจเรือทั้งหมด 4 ครั้ง โดยครั้งที่ 4 มีการปฏิบัติการร่วมกับกองทัพเรือ และสหรัฐฯ วัตถุประสงค์ในการสำรวจครั้งที่ 4 คือ ค้นหาศพที่ติดค้างในเรือซึ่งไม่พบ การปลดวัตถุอันตราย และสำรวจภายในและภายนอก ทั้งนี้การที่เรือกจมมาจากการที่น้ำเข้าเรือจาก 2 กรณี คือ 1.จากทางท้องเรือทำให้สูญเสียกำลังลอย 2.น้ำเข้าทางด้านบนเหนือจุดศูนย์ถ่วงของเรือ (จุด CG)ทำให้เรือเอียง สุดท้ายทำให้ทราบว่า เรือหลวงสุโขทัยเอียงก่อนโดยน้ำเข้าทางดาดฟ้าและจากนั้นจึงจมทางท้ายเรือ พล.ร.ต.อภิรมย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะที่แผ่นกันคลื่นมีอาการยุบ มีพื้นที่เสียหายราว 148 ตร.น.ซึ่งใหญ่มาก จากคลื่นลมแรงทำให้ดาดฟ้าเปิดเป็นช่องเมื่อเรือมุดคลื่นจึงทำให้น้ำเข้ามาในเรือมาก จุดที่ 2 ตำแหน่งป้อมปืนยุบลงไปโดยไม่ได้เกิดจากคลื่นเพราะสามารถทดกำลังกดได้ ซึ่งสาเหตุที่ยุบ เพราะโดนของแข็งกระแทก แต่ไม่พบหลักฐานว่า วัตถุดังกล่าวติดอยู่บริเวณป้อมปืน "ขณะที่รอยรั่วของเรือที่ยุบเข้าไป เกิดจากวัตถุภายนอกกระแทก ไม่ได้เกิดจากตะเข็บของเรือ ซึ่งเกิดจากการกระแทก แต่ไม่พบวัตถุตกอยู่เช่นกัน ยาว 1 ฟุต กว้าง 3-4 นิ้ว" พล.ร.ต.อภิรมย์ กล่าวว่า ขณะที่จากการสำรวจบริเวณหัวเรือ ซึ่งเป็นห้องเก็บเชือกในการเทียบเรือ ซึ่งเป็นห้องที่มีโอกาสที่ทำให้น้ำเข้าได้ และทำให้เรือเอียง รวมถึงประตูใต้ป้อมปืนที่ปิดไม่สนิท ทำให้น้ำไหลไปห้องทางเดิน และไปท่วมห้องเครื่อง "ความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการเสียการทรงตัวคือ แผ่นกันคลื่น ป้อมปืน 76 มม. ทะลุบริเวณกราบซ้าย ห้องกระชับเชือกหัวเรือ และประตูด้านท้ายป้อมปืน แผลพวกนี้ทำให้น้ำเข้าเรือ และท่วมไปยังห้องด้านหลัง และทำให้เรือเสียการทรงตัวเอียงและจมในที่สุด" ขณะที่การเดินเรือจากท่าเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี เวลา 02.00 น. เครื่องจักรใหญ่เริ่มขัดข้อง คาดว่าจากน้ำมันเกิดสกปรกเพราะเรือโยนไปมาทำให้สิ่งสกปรกเข้าไป เวลา 04.00 - 06.00 น. น้ำเริ่มเข้าเรือมากขึ้น จากสัตหีบไปหาดทรายรี ไม่เกี่ยวข้องกับการอับปางของเรือ เพราะน้ำเข้าประตู ช่องเล็กช่องน้อย สามารถจัดการได้ และระดับน้ำไม่สูงมาก โดยกำลังพลใช้วิธีตักออก คลื่นแรง-น้ำเข้า-ไฟดับ-คุมเรือไม่ได้-อับปาง กระทั่งเวลา 07.00 น. เรือเจอคลื่นที่แรงเพราะสวนคลื่นตรง ๆ ทำให้แผ่นกันคลื่นเกิดล้าและฉีกออกเป็นรู ทำให้น้ำเข้าใต้ป้อมปืน 76 มม. และเกิดเหตุการณ์หลายอย่าง ทั้งไฟไหม้ ไฟฟ้าดวงจร ไฟรั่ว ไฟดูดกำลังพล โดยการตัดสินใจนำเรือกลับสัตหีบ ส่วนคลื่นทำให้น้ำเข้าอย่างมาก และมีปัญหาใบจักรชำรุด เวลา 15.45 น.เปลือกไฟเบอร์กลาสป้อมปืน 76 มม.ชำรุด โดยชำรุดมาก่อน และเพิ่งมาเจอ ซึ่งขณะนั้นเรือเอียงมากว่า 45 องศา ระบบต่าง ๆ เริ่มใช้การไม่ได้ และเวลา 24.00 น.เรือจมลง ซึ่งตอนเรือออก ค่า GM (ค่าการทรงตัวของเรือ) อยู่ที่ 3.89 ต่อมา เวลา 15.00 น.ค่า GM อยู่ที่ 0.0034 ดังนั้นเมื่อคลื่นซัดไปทางไหน เรือก็จะถูกซัดไปทางนั้น และเมื่อน้ำเข้าเรือ เหนือจุด G จนทับจุด M ทำให้เรือสูญเสียการทรงตัวค่ามาตรฐานไม่น้อยกว่า 0.49 ฟุต และเมื่อเรือเอียงระดับ 15-30 องศา ทำให้น้ำเริ่มเข้าเรือทางช่องระบายอากาศต่าง ๆ ทำให้น้ำไหลไปถึงข้างท้ายเรือได้ ซึ่งมีน้ำหนักน้ำค่อนข้างมาก เรือหลวงสุโขทัยจึงจมในทางท้ายเรือ "ขณะที่การผนึกน้ำ กรณีเรือรั่วและน้ำเข้าท้องเรือ ถ้าสามารถปิดผนึกได้ เรือจะไม่จม แต่กรณีเรือเอียง น้ำเข้า เราไม่สามารถผนึกน้ำได้ เพราะน้ำเข้าไปถึงห้องนั้น ๆ เลย" บทสรุปการอับปาง 1.เรือรั่วหลายจุด 2.สภาพคลื่นลมที่มีความรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน รวมถึงเรือหลวงสุโขทัยเก่าโดยใช้งานไปกว่า 30 ปี 3.เกิดความเสียหายในตำแหน่งที่ทำให้น้ำเข้าสู่ห้องเรือ 4.เมื่อเรืออยู่ในสภาวะเอียง น้ำทะเลเข้าทางช่องระบายอากาศต่อเนื่อง และไหลเข้าเครื่องจักรใหญ่ และส่วนท้าย 5.เรือสูญเสียการทรงตัวตั้งแต่เวลา 15.00 น.จนจม เวลา 24.00 น.ใช้เวลา 9 ชั่วโมง แสดงว่า การผนึกน้ำทำได้ดี แต่น้ำเข้าจากช่องทางอื่น 6.การป้องกัน การตรวจสอบสาเหตุน้ำเข้า ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะคลื่นลมแรง จึงต้องพยายามนำน้ำออก เกิดการชำรุดของเครื่องจักรใหญ่ ระบบไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้ ทำให้การแก้ไขทำได้ยาก กรณีไฟดูดต้องตัดไฟ ทำให้สูบน้ำออกจากเรือไม่ได้ สู้กับน้ำที่เข้ามาไม่ได้ ยอมรับตัดสินใจพลาด นำเรือกลับสัตหีบ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ สิงขรวัฒน์ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ทัพเรือภาคที่ 1 กล่าวว่า 1.ความพร้อมของเรือก่อนการส่งมอบ ภายหลังการซ่อมบำรุงปี 2564 ทดสอบแล้วพบว่า ทำตามมาตรฐาน 2.เสื้อชูชีพเบิกจ่ายไป 120 ตัว กำลังพล 105 นาย เสื้อชูชีพเพียงพอกับกำลังพล และประกาศให้กำลังพลสมทบไปรับเสื้อชูชีพ กำลังพลสมทบไม่ได้ไปรับเสื้อชูชีพ และกำลังพลบางส่วนไม่สามารถลงไปใส่เสื้อชูชีพได้ แพชูชีพจำนวน 6 แพ อยู่บริเวณทางกราบซ้าย-ขวา เมื่อเกิดเหตุสามารถปลดเรือชูชีพกราบขวาได้ 2 แพ อีก 4 แพ อยู่ในพื้นที่อันตรายเข้าถึงยาก เมื่อเรืออับปาง เรือชูชีพทั้งหมดจึงหลุดออกจากที่ติดตั้ง ทั้งนี้ยังพบว่า ผู้บังคับการ รล.สุโขทัย ระบุว่า ภารกิจนี้ไม่ใช่ภารกิจรบเต็มรูปแบบจึงจัดกำลังเพียง 75 นายจาก 100 นาย รวมถึงจัดที่พักอาศัยบนเรือให้หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งรวม 30 นาย เมื่อไปถึงภาวะที่ต้องปฏิบัติงานที่ภาวะคลื่นลมรุนแรง ทำให้ประสิทธิภาพลดลงและต้องปกป้องความเสียหายหลายสถานที่พร้อมกันจึงทำให้ทำได้อย่างจำกัด "มีอุปกรณ์ป้องกันความเสียหายครบทั้งหมด และเมื่อพบว่าน้ำเข้า จึงผนึกน้ำทันที แต่ไม่สามารถไปตรวจสอบความเสียหายนอกตัวเรือได้ โดยลูกเรือช่วยป้องกันเต็มที่" 6.ผลกระทบจากคลื่นลมวันเกิดเหตุอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรง รวดเร็วฉับพลัน ซึ่งเป็นประเด็นให้เรือโคลงมาก ทำให้เรือเอียง และอับปาง รวมถึงการช่วยเหลือลูกเรือลำบาก 7.การตัดสินใจนำเรือกลับฐานทัพเรือสัตหีบ ผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย ตัดสินใจนำเรือกลับฐานทัพสัตหีบ จ.ชลบุรี แม้ว่าจะไกล และใช้เวลามากว่านำเรือเข้าเทียบท่าประจวบฯ แต่ตัดสินใจเพราะคลื่นลมหน้าท่ารุนแรง หากนำเรือเทียบท่าจะไม่สามารถจัดเรือลากจูงเข้าสนับสนุนการเทียบเรือได้ การเข้าเทียบอาจเกิดอันตราย รวมถึงเวลานั้นยังไม่ได้ข้อมูลว่าแผ่นกันคลื่นฉีกขาดและหากนำเรือพ้นพื้นที่ใกล้ฝั่ง คลื่นลมอาจเบาบางลง ซึ่งเป็นการตัดสินใจภายใต้ข้อมูลจำกัด "สรุปว่า เรืออับปางไม่ได้เกิดจากการจงใจของผู้บังคับการและลูกเรือ แต่เพราะสภาพอากาศที่รุนแรงฉับพลัน และน้ำทะเลเข้าตัวเรือ ทำให้เรือเอียงและจม" สั่งขัง ผบ.เรือฯ 15 วัน คดีรอ สภ.บางสะพาน อย่างไรก็ตาม ผู้บังคับการ รล.สุโขทัย ตัดสินใจนำเรือกลับฐานทัพเรือสัตหีบ ที่มีระยะทางไกลและใช้เวลานานมากกว่าการนำเรือเข้าท่าเรือประจวบฯ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยขาดความรอบคอบ จึงเชื่อว่า การอับปางเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ เป็นการใช้ดุลยพินิจ โดยขาดความรอบคอบ ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นความผิดตาม มาตรา 5 ตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร พ.ศ.2476 เห็นสมควรลงทัณฑ์ กักเต็มอำนาจการลงทัณฑ์ ของ ผบ.ทร.เป็นเวลา 15 วัน ขณะที่คดีอาญาอยู่ในขั้นตอนของ ตำรวจ สภ.บางสะพานจ.ประจวบคีรีขันธ์ ผบ.เรือฯ ไม่ได้จงใจ ไม่ต้องชดใช้ทางแพ่ง ด้าน พล.ร.อ.ชัยณรงค์ บุณยรัตนกลิน คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ความรับผิดชอบทางละเมิด ระบุว่า เมื่อเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของทางราชการ ต้องหาผู้ต้องรับผิด กรณีจงใจ หรือปฏิบัติเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยคณะกรรมการรวมรวมข้อเท็จจริง จากคณะกรรมการชุดต่าง ๆ พบว่า สาเหตุที่เรืออับปาง 1.จัดกำลังพลไม่ครบตามอัตราทำให้การป้องกันการเสียหายลดลง โดยผู้บังคับการหลวงสุโขทัยระบุว่า ไม่ใช่ภารกิจการรบเต็มรูปแบบ แต่สภาพอากาศที่แปรปรวนรุนแรง ตัวเรือเสียหายตามส่วนต่าง ๆ กำลังพลพยายามเข้าช่วยแก้ไขเต็มความสามารถแล้ว แต่มีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะอากาศรุนแรง ไม่ได้เกิดจากการจงใจ แต่เป็นเพราะสภาพอากาศรุนแรง และในวันดังกล่าวมีเรือจม 7 ลำ รวมถึงการตัดสินใจนำเรือกลับสัตหีบแทนการเทียบที่ท่าเรือบางสะพาน คณะกรรมการสอบปากคำ ผู้บังคับการเรือแจ้งว่า เรือสามารถผนึกน้ำได้ และเครื่องจักรที่เหลือ 1 เครื่อง สามารถนำเรือกลับไปได้อย่างปลอดภัย แม้ยุทโธปกรณ์เสียหายและหากนำเรือกลับได้ จะได้รับการซ่อมแซม ขณะที่การนำเรือเข้าไม่สามารถทำได้ เพราะคลื่นลมแรง จะไม่ได้รับการสนับสนุนในการเทียบเรือ การตัดสินใจของ ผบ.เรือ เป็นดุลยพินิจที่สามารถทำได้ และไม่ได้จงใจให้เรือหลวงสุโขทัยอับปางแต่อย่างใด จากข้อสรุปของสาเหตุเรืออับปางทั้ง 3 ประเด็น และ ผบ.เรือ และลูกเรือ พยายามแก้ไขสถานการณ์แล้ว มีความเห็นว่า "การอับปางของเรือหลวงสุโขทัย เกิดจากสภาพคลื่นลมรุนแรงเป็นหลัก ไม่ได้เกิดจากการจงใจของผู้บังคับการเรือ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด จึงไม่เข้าเงื่อนไข ในการรับผิดทางละเมิด ตามข้อบังคับของกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการปฏิบัติความเสียหายที่เกิดกับทางราชการ หรือทรัพย์สินของทางราชการ อันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ ดังนั้น ผบ.และเจ้าหน้าที่จึงไม่ต้องชดใช้ความเสียหายทางแพ่ง" (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เปิดผลสอบ! "เรือหลวงสุโขทัย" ล่ม อดีต ผบ.เรือลาออก เหตุขาดความรอบคอบ ......... ต่อ ผบ.ทร.ยันดูแลผู้สูญเสียอย่างดีที่สุด พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร.กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี เศษที่ผ่านมา กองทัพเรือตระหนักถึงความสูญเสียกำลังพล อันเป็นกำลังสำคัญและเป็นที่รักของครอบครัว โดยได้มอบเงินสวัสดิการและเงินช่วยเหลือให้ได้ครบตามสิทธิ ผู้สูญหายกองทัพเรือไม่เคยละความพยายามในการค้นหา และกำลังพลที่สูญหาย 2 ราย ที่ต้องรอค่าสวัสดิการฌาปนกิจ จนกว่าจะครบ 2 ปี กองทัพได้อนุมัติเงินไปก่อนแล้ว และขอพระราชทานยศสูงขึ้น และให้การบรรจุทดแทนบุตร หรือญาติกำลังพลที่เสียชีวิต และเตรียมบรรจุบุตรธิดาที่ยังไม่จบการศึกษา และปรับปรุงที่พักอาศัย ซึ่งช่วยเหลือหมดแล้ว เหลือเพียงการซ่อมแซมบ้านอีก 2 หลัง ยืนยันว่า ดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างตรงไปตรงมา สามารถตรวจสอบได้ อุบัติเหตุครั้งนี้นับเป็นความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ของกองทัพเรือ และให้จเรกองทัพเรือนำความผิดพลาดไปศึกษาและเสนอแนวทางแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้อีก https://www.thaipbs.or.th/news/content/338895
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
มาเลเซีย พบซากสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ ยังระบุชนิดไม่ได้ คาดเป็น 'กล็อบสเตอร์' SHORT CUT - มาเลเซีย พบซากสัตว์ทะเลลึกลับในสภาพเน่าเปื่อยเกยตื้นที่ชายหาด Teluk Melano ในเมืองลุนดู เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นตัวอะไร - ผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ตรวจสอบซากดังกล่าว คาดว่าน่าจะเป็นซากของ 'วาฬ' ที่ตายแล้ว หรืออาจเป็น 'กล็อบสเตอร์' - กล็อบสเตอร์ คือซากของสัตว์ที่ตายแล้ว และไม่สามารถระบุชนิดได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด โดยจะพบเป็นซากขาว ๆ เนื้อยุ่ยเปื่อยจนหมด วันธรรมดา ๆ ในมาเลเซีย พบซากสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ลอยเกยตื้น ที่บริเวณชายหาด Teluk Melano เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ยังไม่ามารถระบุชนิดได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด ท้องทะเลอันกว้างใหญ่มีอะไรให้เราแปลกใจอยู่ตลอด ล่าสุด เจ้าหน้าที่ในมาเลเซียรายงานว่า พบกับซากสัตว์ทะเลลึกลับในสภาพเน่าเปื่อยเกยตื้นที่ชายหาด Teluk Melano ในเมืองลุนดูและเบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นตัวอะไร หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น New Sarawak Tribune รายงานว่า ผู้คนในพื้นที่ต่างตบเท้ามาดูให้เห็นกับตาว่าซากสัตว์ตัวดังกล่าว เนื่องจากนาน ๆ ที จะมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาเกยตื้นที่ชายหาดแห่งนี้... มาเลเซีย พบซากสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ ยังระบุชนิดไม่ได้ คาดเป็น 'กล็อบสเตอร์' คาดว่าเป็น 'กล็อบสเตอร์' แน่นอนว่าผู้คนต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา จินตนาการสารพัดสิ่ง บ้างว่าเป็นปลาเอเลี่ยน เพราะด้วยรูปลักษณ์ที่ดูพิลึก แถมเนื้อหนังเน่าเปื่อยจนคาดเดาสภาพร่างกายตอนสมบูรณ์ไม่ออก อย่างไรก็ดี หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ก็ได้ข้อสรุปว่าน่าจะเป็นซากของวาฬ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นกล็อบสเตอร์ (Globster) พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นซากหรือวัตถุที่พัดขึ้นมาติดชายฝั่ง และไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด สรุปคือ ซากสัตว์ทะเลตัวนี้ก็ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นสัตว์ชนิดใด ซึ่งต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก มีการรายงานว่าพบเจอกับกล็อบสเตอร์อยู่บ่อยครั้ง แต่มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องเล่าปรัมปราอยู่เสมอ ที่มา: Livescience https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/849356
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|