#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงยังคงปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง โดยภาคเหนืออุณหภูมิลดลงอีก 1-3 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 3-12 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-12 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากโดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยตอนบนมีแนวโน้มการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันน้อย เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังแรง และมีการระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ดี กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็น กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 18-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 23 - 24 ธ.ค. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศเย็นถึงหนาว กับมีลมแรง โดยภาคเหนือ อุณภูมิจะลดลงอีก 1 ? 3 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 25 - 29 ธ.ค. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงที่ปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้เริ่มมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้นกับหมอกบางในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า โดยภาคเหนือมีอุณหภูมิสูงขึ้น 2 - 4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคอื่นๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 - 3 องศาเซลเซียส ในช่วงวันที่ 23 ? 25 ธ.ค. 66 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างมีแนวโน้มเคลื่อนผ่านภาคใต้ตอนล่างและประเทศมาเลเซียลงสู่ทะเลอันดามันตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2 - 4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร สำหรับทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 26 ? 29 ธ.ค. 66 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้เริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างยังคงมีกำลังค่อนข้างแรง โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง และระมัดระวังอันตรายจากอัคคีภัยเนื่องจากสภาพอากาศแห้งและมีลมแรงตลอดช่วง ในช่วงวันที่ 24 - 25 ธ.ค. 66 ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม และประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกให้ระมัดระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่ง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
"เจ้าท่าพัทยา" ฮึ่มเชือดทุกข้อหาเหตุเรือล่ม หลังฝ่าฝืนประกาศเดินเรือช่วงคลื่นลมแรง "เจ้าท่าพัทยา" เร่งตรวจสอบเรือล่มจากคลื่นลมแรง พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมายสูงสุด หลังฝ่าฝืนประกาศเดินเรือช่วงคลื่นลมแรงจนเกิดอุบัติเหตุ-ใช้เรือหมดอายุ-สั่งงดไม่ให้ใช้ประกาศนียบัตรผู้ควบคุมเรือรายดังกล่าว พร้อมกู้ซากเรือที่จม ขณะที่ "เจ้าท่าพังงา" เร่งติดตามเหตุ "เรือสวรรค์ทัวร์" อับปางใกล้ชิด เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา แจ้งว่า เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 23 ธ.ค.66 ได้รับแจ้งเหตุจากวิทยุกู้ภัยสว่างบริบูรณ์ว่ามีเรือประสบเหตุ ชื่อ ซีบรีซ เป็นเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ประเภทการใช้ บรรทุกคนโดยสาร กว้าง 7.32 เมตร ยาว 14.61 เมตร ลึก 2.30 เมตร ขนาด 30.07 ตันกรอส บริษัท ซี บรีซ ทราเวิล จำกัด เป็นเจ้าของ ใบอนุญาตใช้เรือหมดอายุวันที่ 21 พ.ค.63 มีนายสมโภช ป้อมทอง เป็นผู้ควบคุมเรือ ได้รับประกาศนียบัตรนายเรือกลเดินทะเลชั้น 1 ประกาศนียบัตรยังไม่สิ้นอายุ จากการสอบถาม ทราบว่า ขณะเรือเดินเข้าใกล้ฝั่งประสบเหตุคลื่นสูงทำให้เรือแตกและพลิกคว่ำในทะเล ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ทั้งนี้นายกริชเพชร ชัยช่วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) สั่งการให้? นายเอกราช คันธโร ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา และเจ้าหน้าที่ เร่งตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลเรือประสบเหตุ พร้อมดำเนินคดีทุกข้อหา ตามที่กฎหมายกําหนดอย่างสูงสุด นอกจากนี้ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา ได้ประสานแจ้งไปยังสถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา เพื่อทำการติดตามจับกุมผู้ควบคุมเรือ ซึ่งปัจจุบันตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา สามารถจับกุมนายสมโภช ป้อมทอง ผู้ควบคุมเรือได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้เชิญเจ้าของเรือเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ถ้อยคำเพิ่มเติมในกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อกฎหมาย และการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าท่า พร้อมทั้งจะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ควบคุมเรือ ในฐานความผิด ดังนี้ 1.มาตรา 297 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 ฐานความผิด ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าท่าหรือเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ โดยมีการฝ่าฝืนประกาศเกี่ยวกับการเดินเรือในสภาวะคลื่นลมในทะเลรุนแรง ซึ่งสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยาได้มีประกาศแจ้งให้ทราบแล้ว 2.มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 ฐานความผิด ใช้เรือที่ใบอนุญาตใช้เรือสิ้นอายุแล้ว หรือใช้เรือผิดไปจากเขตหรือตำบลการเดินเรือที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตใช้เรือ และ 3.ดำเนินการสั่งงดไม่ให้ใช้ประกาศนียบัตรของผู้ควบคุมเรือรายดังกล่าว ตามมาตรา 291? แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2477 ส่วนการกู้ซากเรือที่จมอยู่ในทะเล สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยาได้ประสานงานกับชมรมเรือท่องเที่ยวจอมเทียนใช้เรือลากจูงซากเรือที่จมในทะเลขึ้นฝั่งพ้นจากทะเล เพื่อพิสูจน์และทราบชื่อเรือได้เป็นที่เรียบร้อย หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป ในวันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.00 น. สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพังงา ได้รับแจ้งเหตุเรือ Driving ชื่อเรือ "สวรรค์ทัวร์" ประสบอุบัติเหตุจมลงในทะเล บริเวณห่างจากหมู่เกาะสุรินทร์ 4 ไมล์ โดยมีผู้โดยสารประกอบด้วยคนประจำเรือและนักท่องเที่ยวจำนวนทั้งสิ้น 18 คน เบื้องต้น มีเรือประมงชื่อ "พรสุปราณี 9" ทำการช่วยเหลือไว้ได้ 16 คน และยังคงสูญหาย 2 คน เป็นลูกเรือชาวไทย 1 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 1 คน จากการตรวจสอบพบว่า เรือลำดังกล่าว เดินทางออกจากท่าเทียบเรือทับละมุหลังจากนำนักท่องเที่ยวไปดำน้ำ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.66 เวลา 15.00 น. และมาประสบอุบัติในช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. สาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากคลื่นลมแรง?ทั้งนี้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพังงา ได้ดำเนินงานประสานแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยค้นหาผู้สูญหายอย่างเร่งด่วน พร้อมออกหนังสือห้ามใช้เรือและคำสั่งให้กู้เรือสวรรค์ทัวร์และได้เร่งประสานให้เจ้าของเรือและผู้ควบคุมเรือ มาสอบสวนข้อเท็จจริงและบันทึกถ้อยคำ หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป https://www.dailynews.co.th/news/3020694/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
เที่ยวทะเล 'ตรัง' อัญมณีแห่งทะเลใต้ จ.ตรัง อาจไม่ใช่ชื่อแรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่นึกถึง แต่ที่นี่มีความสวยงามทางทะเลและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก มีหมู่เกาะที่สวยงามมากมาย หาดทรายขาวละเอียดที่ค่อย ๆ ลดระดับความลึกจนจมอยู่ใต้น้ำทะเลใสสีฟ้าอ่อน ที่ใสจนสามารถมองเห็นปะการังน้ำตื้นที่อยู่รอบ ๆ เกาะได้ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ "เกาะกระดาน" สมาชิกหมู่เกาะทะเลตรัง ได้รับการจัดอันดับให้เป็นชายหาดที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2566 โดยเว็บไซต์ World Beach Guide ทั้งยังรั้งตำแหน่งเกาะที่สวยที่สุดของท้องทะเลตรัง ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในเส้นทางดำน้ำชมโลกใต้ทะเลตรัง เพราะแนวปะการังน้ำตื้นที่เป็นแหล่งอาศัยของฝูงปลาหลากสีหลายพันธุ์ ด้วยความที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะมุกและเกาะลิบง เกาะกระดานจึงกลายเป็นฐานที่มั่นของนักท่องเที่ยวที่มาผจญภัยโลกใต้น้ำไปด้วย โดยพื้นที่ 600 ไร่ ของเกาะกระดานเกือบทั้งหมดอยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ที่เหลือเป็นพื้นที่เอกชนซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นที่พัก และมี "เกาะมุก" เป็นอีกหนึ่งจุดหมายห้ามพลาด โดยเฉพาะการสวมชูชีพแล้วค่อย ๆ ต่อแถวลอยคอเข้าไปชมความมหัศจรรย์ของ "ถ้ำมรกต" หลังจากผ่านความมืดที่มีเพียงแสงสลัวจากไฟบนศีรษะของผู้นำทางที่พาเกาะเชือกลอยตัวเข้าไปประมาณ 300 เมตร หาดทรายขาว น้ำทะเลใส ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในก็จะปรากฏให้เห็นเบื้องหน้า และหากมาถูกช่วงเวลาแสงตะวันจากภายนอกสาดส่องลงมากระทบผืนน้ำในถ้ำจนเห็นเป็นสีดั่งมรกต แนะนำให้มาให้ทันช่วง 10.00-14.00 น. โดยเดือนที่เหมาะแก่การเข้าถ้ำมรกตมากที่สุดคือตั้งแต่เดือนธันวาคม-ต้นเดือนพฤษภาคม ขณะที่อีกด้านของเกาะมุก เป็นชุมชนชาวมุสลิมที่ยังคงดำเนินชีวิตเรียบง่ายด้วยการทำประมงพื้นบ้าน โดยยังคงออกทะเลหาปลา วางอวนปู โหละกุ้ง ตกหมึก รวมถึงการทำสวนมะพร้าวและสวนยางพาราบนเกาะ แนะนำให้หาโอกาสลิ้มรสอาหารแสนอร่อยที่ปรุงจากวัตถุดิบสดที่สุดจากท้องทะเล ระหว่างเกาะมุกและเกาะกระดานยังมีเกาะไร้หาดอย่าง "เกาะเชือก เกาะแหวน" เกาะเล็ก ๆ ที่ไม่เพียงมีสัมปทานรังนก แต่ยังมีปะการังน้ำตื้น รวมถึงฝูงปลามากมายที่อาศัยอยู่ สำหรับนักดำน้ำลึกเกาะแหวนถือเป็นจุดไฮไลต์ห้ามพลาด เพราะแนวปะการังที่เรียกขานกันว่า "โบกี้รถไฟ" เป็นเหมือนสถานีรถไฟใต้น้ำ มีทั้ง สถานี โบกี้ และหัวรถจักร สำหรับสายนูดี้ หรือ Nudibranch บอกได้เลยว่า ที่นี่คือสวรรค์ของเหล่าสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋ว ขณะที่เกาะแหวนฝั่งตะวันตกมีซีแฟน กัลปังหาหลากสีและปะการังอื่น ๆ จุดดำน้ำลึกที่มีแฟนคลับมากมายของทะเลตรังคือ "กองปะการังเทียม เกาะลิบง" ไฮไลต์ของที่นี่เป็นจุดดำน้ำปะการังเทียมที่สวยที่สุดในประเทศไทย มีปะการังอ่อนสีชมพูขึ้นเต็มกอง ทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงปลาน้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมี "เกาะเหลาเหลียง" ภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาล้อมรอบมีหาดทรายสีขาวละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าใส และยังเต็มไปด้วยปะการังอ่อน ปะการังแข็ง กัลปังหา และปลาทะเลสวยงาม สำหรับการดำน้ำตื้นหากมีเวลาจำกัด สามารถเลือกไปแบบ DAY TRIP กับ 3 เกาะ 4 จุด ได้แก่ เกาะกระดาน เกาะเชือก และเกาะมุก (ถ้ำมรกต) แต่สำหรับการดำน้ำลึกอาจจะต้องมีเวลาใช้ชีวิตอยู่ในท้องทะเลอย่างน้อย 2-3 วัน ขอคำปรึกษาได้ที่ "เลตรัง ไดฟ์วิ่ง" ที่มีความชำนาญด้านการให้บริการดำน้ำลึก (Scuba Diving) โดยไม่เพียงได้รับการประเมินว่ามีเกณฑ์เหมาะสมสำหรับมาตรฐาน จากสมาคมครูผู้สอนดำน้ำมืออาชีพ PADI (Professional Association of Diving Instructors) มีความสามารถในระดับสูงสุดที่ครูฝึก ผู้ช่วยครูฝึก (IDC Staff Instructor) เท่านั้น แต่ยังได้รับมาตรฐาน SHA และดาวแห่งความยั่งยืน STAR 5 ดาว จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) STAR หรือ Sustainable Tourism Acceleration Rating คือ โครงการยกระดับผู้ประกอบการสู่มาตรฐานการท่องเที่ยวยั่งยืน เป็นการยกระดับต่อยอดจากโครงการมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) โดยจะมีเกณฑ์การมอบประกาศนียบัตร "ดาวแห่งความยั่งยืน" แก่สถานประกอบการที่ผ่านเกณฑ์ตามเป้าหมายของ STGs (Sustainable Tourism Goals) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดย ททท. ได้ดำเนินโครงการ STAR เพื่อส่งเสริม ผลักดัน และยกระดับมาตรฐานสถานประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้นำ 17 เป้าหมายของ STGs ซึ่งครอบคลุมทั้ง 4 มิติ ในระบบนิเวศด้านการท่องเที่ยว ประกอบด้วย มิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้ประเทศไทยให้เป็น Sustainable Destination เลตรัง ไดฟ์วิ่ง ยังมีการทำ MOU บันทึกความร่วมมือการขับเคลื่อนปากเมง-หาดยาว?เกาะกระดาน สู่การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน พร้อมทั้งเข้าร่วมโครงการปลูกป่าโกงกาง หญ้าทะเลปลูกปะการัง การเก็บขยะใต้น้ำ เพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนของแหล่งท่องเที่ยวทะเลตรัง ขณะที่ "กะช่อง ฮิลส์ เต็นท์ รีสอร์ท" รีสอร์ทท่ามกลางธรรมชาติสไตล์แคมปิ้งพรีเมียม ต้นกำเนิดกาแฟโรบัสต้าที่ดีที่สุดในประเทศไทย สายพันธุ์เขาช่อง อีกผู้ประกอบการของตรังที่ได้รับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยแก่นักท่องเที่ยว (SHA) และดาวแห่งความยั่งยืน STAR 5 ดาว จาก ททท. โดยมีนโยบายกระจายรายได้สู่ชุมชนด้วยการสนับสนุนการจ้างงานเป็นพนักงานในพื้นที่ 90% ที่อาศัยอยู่ในชุมชนตำบลช่อง อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง รวมถึงการนำวัตถุดิบท้องถิ่นมาต่อยอดในการยกระดับอาหารตรัง อาทิ "ข้าวเบายอดม่วง" กับเมนูซุป เส้นพาสต้า ปอเปี๊ยะ แผ่นพิซซ่า คราฟเบียร์ ทั้งยังนำ "พริกไทยตำบลละมอ" เป็นพริกไทยสายพันธุ์ตรังที่ได้สัญลักษณ์ GI นำมาใช้ปรุงเมนูอาหารพร้อมจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป และแปรรูปอย่างลูกอมพริกไทย มาเที่ยวทะเลตรัง มาดำน้ำท่องโลกใต้ทะเลตรังแล้ว มาร่วมกิจกรรม "กู้ชีพปะการัง" ด้วย จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยการนำปะการังที่แตกหักเสียหายมาฟื้นฟูให้กลับมามีชีวิตและความสมบูรณ์อีกครั้ง แล้วไป "ปล่อยปลาการ์ตูนหรือปลานีโม" อีกกิจกรรมที่ ททท. สำนักงานตรังร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งตรัง อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และผู้ประกอบการท่องเที่ยว (กิจกรรมดำน้ำลึก) ปล่อยปลานีโมเพิ่มสีสันความสวยงามให้ทะเลตรังสวยงามมากขึ้น ใครที่แอบกังวลว่าจะไปเพิ่มปริมาณปลาผิดแหล่งผิดที่หรือไม่ ไม่ต้องห่วงเพราะปลาการ์ตูนที่นำกลับคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาตินั้น เป็นชนิดและสายพันธุ์ดั้งเดิมในแหล่งนั้น ๆ รวมทั้งเลือกดอกไม้ทะเลให้ตรงตามธรรมชาติปลาการ์ตูนแต่ละชนิด โดยจะมีการสำรวจชนิดและจำนวนดอกไม้ทะเลเพื่อประเมินชนิดและจำนวนปลาก่อนดำเนินการปล่อย สำหรับปลาที่ปล่อยจะเป็นเพศผู้ หรือมีขนาดไม่เกิน 4 เซนติเมตร หากปล่อยไปยังดอกไม้ทะเลที่ยังไม่มีปลาการ์ตูนอาศัยอยู่เลย อาจปล่อยตัวเมียได้ 1 ตัว และการปล่อยจะต้องกระทำโดยนักดำน้ำที่ผ่านการฝึกการดำน้ำแบบดำน้ำลึกเท่านั้น เพราะกระบวนการปล่อยปลาการ์ตูนต้องอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน ใครที่มีแพลนว่ากำลังจะจัดงานแต่งงาน ลองบรรจุ "พิธีวิวาห์ใต้สมุทร" ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก งานประเพณีหนึ่งเดียวในโลกที่คู่บ่าวสาวจะต้องดำน้ำไปจดทะเบียนสมรสใต้ทะเล และเคยได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊คว่าเป็นงานแต่งงานใต้ทะเลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นเป็นประจำในวันที่ 14 ก.พ. ของทุกปี และปีนี้จะมีการจดทะเบียนสมรสบนเกาะกระดาน ชายหาดที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2566 ด้วย ในช่วงเวลาเดียวกันมีงาน "Trang Food FestiWOW Season of Love" ฉลองเทศกาลแห่งความรักในบรรยากาศแสนโรแมนติก พร้อมเปิดประสบการณ์ความว้าว WOW 3 รูปแบบ ได้แก่ WOW อาหารกับเมนูสื่อรัก WOW การตกแต่ง และ WOW การแสดงที่อบอวลไปด้วยความรัก วันที่ 10-14 กุมภาพันธ์ 2567 เที่ยวทะเลตรังครั้งต่อไป เก็บเกี่ยวความสุขแล้วอย่าลืมแบ่งปันให้กับท้องทะเล เพื่อร่วมเก็บรักษาความสวยงามของทะเลไทยให้คงอยู่ต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ททท.สำนักงานตรัง โทร. 0-7521-5867, 0-7521-1058 Facebook Fanpage : ททท.สำนักงานตรัง : TAT Trang หรือ Line : @amazingtrang https://www.dailynews.co.th/news/3018279/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
เปิดภาพแม่เต่ามะเฟืองเดินกลับสู่ทะเลหลังวางไข่ที่หาดท้ายเหมืองเป็นรังที่ 3 ของฤดูกาล วันที่ 23 ธันวาคม 2566 นายปรารพ แปลงงาน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ 00.50 น.คืนวันที่ 22 ธ.ค.66 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ตออกสำรวจการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเลในพื้นที่ชายหาดเขตอุทยานแห่งชาติฯ เจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนได้พบแม่เต่ามะเฟืองกำลังเดินกลับลงทะเล จึงทำการบันทึกภาพ และวีดีโอไว้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบร่องรอย โดยวัดขนาดพบความกว้างช่วงอก 110 ซม.ความกว้างพายทั้งหมด 210 ซม.จึงได้ทำการสักหาไข่เต่าตามภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อตรวจสอบตำแหน่งหลุมรังไข่เต่า จนพบไข่ที่ความลึกปากหลุม 65 ซม. ความลึกก้นหลุม 76 ซม. ความกว้างหลุมไข่ 37 ซม. พบไข่ทั้งหมด 103 ฟอง เป็นไข่สมบูรณ์ 73 ฟอง ไข่ลม 30 ฟอง ไข่เต่ามีขนาด 5.44 ซม. จุดวางไข่อยู่บริเวณพิกัด UTM 47P 415967 932206 เจ้าหน้าที่ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเสี่ยงต่อการสูญหายจึงได้ย้ายไข่เต่ามะเฟืองไปเพาะฟักในจุดที่สะดวกต่อการดูแลบริเวณหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อยู่พ้นแนวน้ำขึ้นสูงสุดเพื่อให้ไข่เต่าได้มีโอกาสฟักตัวตามธรรมชาติ นับเป็นครั้งที่ 2 ที่มีเต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่ในเขตอุทยานแห่งชาติ (ครั้งที่ 3 ของฤดูกาล) จากขนาดของร่องรอยคาดว่าเป็นแม่เต่ามะเฟืองคนละตัวกับที่เคยวางไข่ไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ จะมีเจ้าหน้าที่ฯคอยตรวจสอบ ดูแลป้องกัน การรบกวนจากสัตว์หรือมนุษย์อย่างต่อเนื่อง และไข่เต่าจะใช้เวลาฟักประมาณ 55-60 วัน อยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 16-20 กุมภาพันธ์ 2567 https://www.naewna.com/likesara/776851
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
"โคลอมเบีย" กู้มหาสมบัติ ในเรือซานโฮเซ พันล้านดอลล์ จมแคริบเบียน 300 ปีก่อน "รัฐบาลโคลอมเบีย" เริ่มภารกิจกู้มหาสมบัติในเรือซานโฮเซอีกครั้ง ซึ่งเต็มไปด้วยเหรียญเงิน ทองคำ เครื่องเคลือบโบราณ และปืนใหญ่ จมหายเมื่อปี 1708 แต่นักวิจารณ์บอกไม่ง่าย รัฐบาลโคลอมเบียประกาศว่า กำลังพยายามกู้คืนซากเรือซานโฮเซ (San Jos?) ที่อับปางลงใต้ท้องทะเลลึกในปี 1708 ซึ่งเชื่อกันว่า ได้บรรทุกทรัพย์สมบัติ และสิ่งของมีค่ามหาศาล หลายพันล้านดอลลาร์ เรือซานโฮเซ มีอายุกว่า 300 ปี แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงซากเรือที่อับปางใต้ท้องทะเลแคริบเบียน แต่ทรัพย์สมบัติในเรือ ที่บางคนเรียกว่า "จอกศักดิ์สิทธิ์" เพราะมีค่ามหาศาลเปรียบได้กับเป็นเครื่องภาชนะที่พระเยซูทรงใช้ใส่อาหารเป็นมื้อสุดท้าย เหตุนี้ ได้กลายเป็นข้อถกเถียงว่า ทรัพย์สมบัติล้ำค่าในเรือซานโฮเซ จะนำไปอนุรักษ์เป็นโบราณวัตถุ หรือใช้ประโยชน์เพื่อเศรษฐกิจประเทศดี ภารกิจกู้สมบัติ เรือซานโฮเซ "จูแอน เดวิด คอร์เรีย" รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมโคลอมเบีย เผยว่า การสำรวจทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเก็บกู้เรือซานโฮเซ มีขึ้นครั้งแรก ระหว่างเดือน เม.ย. - พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในทะเลแคริบเบียน "ซากเรืออับปางซานโฮเซ เป็นสมบัติล้ำค่าในการค้นพบทางโบราณคดี" คอร์เรียกล่าว หลังการพูดคุยเรื่องการเตรียมกู้ซากเรือซานโฮเซกับประธานาธิบดีโคลอมเบีย โดยเขาชี้ว่า นี่จะเป็นโอกาสให้โคลอมเบียเป็นประเทศแนวหน้าด้านการสำรวจโบราณคดีใต้น้ำ สำรวจมหาสมบัติใต้น้ำ เชื่อกันว่า เรือซานโฮเซบรรทุกเงินและทองคำกว่า 11 ล้านเหรียญ ตลอดจนมรกต อัญมณี สิ่งของมีค่า เดินทางออกจากดินแดนที่สเปนปกครองอยู่ในสมัยนั้น ถ้าหากเก็บกู้เรือดังกล่าวขึ้นมาได้ จะเป็นการค้นพบทรัพย์สินมีค่าครั้งใหญ่ มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ "การกู้เรือซานโฮเซอาจใช้หุ่นยนต์หรือเรือดำน้ำของกองทัพเรือ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการสำรวจครั้งที่สอง ก่อนวางแผนดำเนินงานต่อไป" คอร์เรียเผย จุดเริ่มต้น ตำนานสมบัติซานโตเซ เรือซานโฮเซจมลง ระหว่างการสู้รบกับอังกฤษ เมื่อ 315 ปี โดยขณะนั้นสเปน เป็นเจ้าอาณานิคมและปกครองดินแดนอยู่ในอดีต ย้อนกลับไปจากปัจจุบัน การค้นพบเรือดังกล่าวมีขึ้นหลายสิบปีก่อน โดยเมื่อปี 2018 รัฐบาลโคลอมเบียเกือบจะล้มเลิกแผนการกู้ซากเรือซานโฮเซ ท่ามกลางข้อพิพาทกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่อ้างสิทธิการค้นพบนี้ด้วยเช่นกัน พิกัดเรือ ความลับสุดยอดประเทศ ด้วยความร่วมมือของทีมผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ ทำให้ตอนนี้สามารถระบุพิกัด ซึ่งเป็นจุดที่ซากเรือซานโฮเซอับปางลงใต้ท้องทะเล แต่ก็ยังเป็น "ความลับสูงสุด" ของประเทศอยู่ และไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ เพียงบอกพิกัดกว้างๆว่า เรือจมอยู่ที่ใดสักแห่งในคาบสมุทรบารู เมืองการ์ตาเฮนา โคลอมเบีย ทางตอนใต้ของทะเลแคริบเบียน ในปีเดียวกัน องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้เรียกร้องให้โคลอมเบีย ดำเนินการกับเรือซานโฮเซ โดยไม่แสวงหาประโยชน์เชิงพาณิชย์ หนังสือของยูเนสโกระบุไว้ชัดเจนว่า หากโคลอมเบียอนุญาตให้ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์จากมรดกทางวัฒนธรรม จะเป็นการขัดต่อมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างร้ายแรง และหลักจริยธรรมระหว่างประเทศ ตามที่กำหนดไว้ ในอนุสัญญามรดกวัฒนธรรมใต้น้ำของยูเนสโก สหรัฐ - โคลอมเบีย - สเปน อ้างสิทธิ์เรือซานโฮเซ "หากแต่ตอนนี้ เรือซานโฮเซยังเป็นประเด็นการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างสหรัฐ โคลอมเบีย และสเปน ว่าใครจะเป็นเจ้าของ และมีสิทธิ์ในสมบัติที่จมใต้ทะเล อยู่กับซากเรือลำนี้" ตามข้อมูลเรือซานโฮเซ มีความสูง 3 ชั้น ยาว 45 เมตร พร้อมขนาดคานยาว 14 เมตร และยังติดปืนใหญ่จำนวน 64 กระบอก อย่างไรก็ตาม ในรายงานการสำรวจครั้งแรกของโคลอมเบีย ได้พบปืนใหญ่ทำด้วยทองแดงที่ยังอยู่ในสภาพดี และปืนพกโบราณที่ทำให้รู้ทันที่ว่า นี่แหละคือเรือซานโฮเซ นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคลือบเซรามิกโบราณอีกเป็นจำนวนมาก ที่มา : TheGuardian https://www.bangkokbiznews.com/world/1105130
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|