เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 29-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2?3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1?2 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าว เดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบน ควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย

อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "ชานชาน" SHANSHAN ที่ปกคลุมทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 29 ? 31 ส.ค. 67 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออกยังคงมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะเริ่มมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก

ส่วนในช่วงวันที่ 1 ? 3 ก.ย. 67 ร่องมรสุมกำลังปานกลางจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศไทย เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ ภาคตะวันออก และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน

ในช่วงวันที่ 28 ? 29 ส.ค. 67 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2 ? 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 30 ส.ค. ? 3 ก.ย. 67 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลงเป็นกำลังปานกลาง โดยบริเวณทะเลอันดามันตั้งแต่จ.ระนองขึ้นมา มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตั้งแต่จ.พังงาลงไป และอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร อ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 29 ส.ค. 67 และ 1 ? 3 ก.ย. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 29 ส.ค. 67












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 29-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


เร่งช่วยชีวิต! โลมาเกยตื้นชายหาดในทอน สภาพอ่อนแรงถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง



นักท่องเที่ยวนิวซีแลนด์เจอโลมาขนาดใหญ่ถูกคลื่นซัดเกยตื้นบนชายหาดในทอน ภูเก็ต เจ้าหน้าที่นำส่งศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากอ่าวมะขามให้การช่วยเหลือ

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. เพจ Phuket Lifeguard Service ได้มีแชร์คลิปภาพนักท่องเที่ยวชาวนิวซีแลนด์เจอโลมาขนาดใหญ่ที่ถูกคลื่นซัดมาเกยตื้นบนชายหาดในทอน ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ต่อมาเจ้าหน้าที่ไลฟ์การ์ดและชาวบ้านเห็นเหตุการณ์ต่างรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวนิวซีแลนด์ที่เจอคนแรกนั่งกันคลื่นและดูอาการเพื่อจะพาโลมาออกข้างนอกฝั่งได้ลองแล้วแต่โลมาเหนื่อยมากโดนคลื่นตีกลับเข้าฝั่งอีกครั้ง

ต่อมานายธนพล เกื้อกูล ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 ต.สาคู ได้ประสานเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบนเพื่อรับตัวโลมาไปรักษาต่อไป ซึ่งระหว่างรอเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน เจ้าหน้าไลฟ์การ์ด นักท่องเที่ยว และชาวบ้านต่างช่วยกันนำโลมามาไว้บนเรือริมหาดในทอนพร้อมทั้งนำผ้าคลุมแล้วใช้น้ำทะเลลูบและราดตัวโลมา ตามที่เจ้าหน้าที่บอกให้ทำตัวให้โลมาชื้น

จากนั้นทีมแพทย์ได้ดูอาการพบว่าโลมาตัวดังกล่าวอยู่ในอาการอ่อนแรงแต่สามารถใช้หางตีน้ำได้เป็นระยะๆ เจ้าหน้าที่จึงได้นำอุปกรณ์ช่วยเหลือนำโลมาดังกล่าวขึ้นฝั่งเพื่อนำไปศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากอ่าวมะขาม ตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เพื่อทำการช่วยเหลือต่อไป


https://www.dailynews.co.th/news/3800779/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 29-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


รถหรูไม่ช่วยอะไร สาวใหญ่สุดมักง่ายจอดรถบนสะพานชลมารควิถีทิ้งถุงขยะลงทะเลทำชาวเน็ตถล่มยับ



ศูนย์ข่าวศรีราชา - ชาวเน็ตถล่มยับสาวใหญ่นั่งรถหรูราคาหลายล้าน แต่พฤติกรรมสุดมักง่าย จอดรถบนสะพานชลมารควิถี แลนด์มาร์กท่องเที่ยวสำคัญชลบุรี ทิ้งถุงขยะลงทะเลทั้งที่ถังขยะตั้งอยู่ไม่ไกล นายก อบจ. จี้เทศบาลตำบลบางทราย เอาผิด พ.ร.บ.รักษาความสะอาด

จากกรณีที่เฟซบุ๊ก "ข่าวเด็ดชลบุรี" ได้โพสต์คลิปภาพจากกล้องหน้ารถที่บันทึกเหตุการณ์ขณะรถเบนซ์สีดำที่เข้าจอดเทียบเส้นขาวแดง บนสะพานชลมารควิถี สะพานเลียบทะเลที่มีความสวยงามของ จ.ชลบุรี ก่อนที่หญิงแต่งตัวดีอายุประมาณ 40-50 ปี จะเปิดประตูลงจากรถเพื่อนำถุงขยะขนาดเท่าลูกบอลโยนทิ้งลงทะเล พร้อมระบุข้อความ" มักง่ายเกินไปไหม อีก 20 เมตร ถังขยะอยู่ข้างหน้า ขับรถเป็นล้าน แต่ทำแบบนี้ รักรถแต่ไม่รักสภาพแวดล้อมของทะเล"

และเมื่อคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ได้มีชาวเน็ตจำนวนมากแห่เข้ามาแสดงความเห็นในลักษณะตำหนิถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมของหญิงคนดังกล่าว รวมทั้งคนขับรถที่แม้จะใช้รถราคาแพงแต่พฤติกรรมที่แสดงต่อส่วนรวมกลับสวนทาง พร้อมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับคนขับรถคันดังกล่าวเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อสังคม เนื่องจากในคลิปได้เผยให้เห็นทะเบียนรถอย่างชัดเจนนั้น

วันนี้ (28 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่จุดที่เกิดเหตุโดยพบว่าจุดที่รถหรูจอดทิ้งขยะลงทะเล เป็นช่วงก่อนถึงร้านอาหารติ่มซำบนสะพานชลมารควิถี และที่สำคัญห่างจากจุดทิ้งขยะไม่เกิน 100 เมตร มีถังขยะวางตั้งให้เห็นอย่างชัดเจน

และเมื่อสอบถามนายเอก (นามสมมติ) พ่อค้าขายน้ำบนสะพานเลียบทะเล ทราบว่าเรื่องของคนมักง่ายที่ขับรถมาจอดเพื่อทิ้งขยะลงทะเลนั้นเป็นภาพที่ตนเฝเห็นเป็นประจำ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้านในพื้นที่ และที่เห็นบ่อยคือกลุ่มผู้ที่นิยมพากันเข้ามานั่งดื่มกินทึ่สะพาน ที่เมื่อพากันรวมตัวสังสรรค์เสร็จจะนำขยะโยนทิ้งลงทะเล

"อยากจะฝากถึงนักท่องเที่ยวหรือชาวบ้านที่มักจะพากันขับรถและขี่รถจักรยานยนต์เพื่อนำถุงขยะมาโยนทิ้งลงทะเลให้นำขยะของท่านไปทิ้งลงถังขยะ เพราะการกระทำในลักษณะดังกล่าวบ่งบอกได้ถึงนิสัยและความมักง่ายโดยไม่สนใจต่อความเสียหายที่เกิดกับระบบนิเวศทางทะเล ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้น้ำทะเลเกิดการเน่าเหม็นเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อสัตว์ทะเลอีกด้วย" พ่อค้าขายน้ำ กล่าว

ด้าน นายวิทยา คุณปลื้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เผยว่า สะพานชลมารควิถี ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของ จ.ชลบุรี และยังเป็นสะพานที่ใช้ช่วยระบายรถยนต์บนถนนสายหลัก จึงขอความร่วมมือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชาวชลบุรีหรือนักท่องเที่ยว ให้ช่วยกันรักษากฎกติกาทางสังคม

"อยากให้ผู้ใช้รถ หรือผู้ที่มาทำกิจกรรมบนสะพานควรนำขยะทิ้งลงถัง ไม่ใช่ทิ้งลงทะเล ซึ่งหลังจากนี้ อบจ.จะได้ประสานไปยังเทศบาลเมืองชลบุรี ให้เพิ่มจุดทิ้งขยะให้มากขึ้น ส่วนกรณีที่เกิดขึ้น อบจ.ชลบุรี จะส่งเรื่องให้เทศบาลตำบลบางทราย ซึ่งเป็นผู้ดูแลพื้นที่ดำเนินการเอาผิดในเรื่อง พ.ร.บ.ความสะอาด" นายก อบจ.ชลบุรี กล่าว


https://mgronline.com/local/detail/9670000079664

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 29-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ขับเรือระมัดระวังด้วย! "วาฬบรูด้า" 3 ตัวยังหากินในทะเลบางแสน



ศูนย์ข่าว?ศรี?ราชา ?- สถาบันวิทยาศาสตร์?ทางทะเลบางแสน ขอความร่วมมือชาวเรือขับเรือด้วยความระมัดระวัง ไม่ไล่ต้อนน้องวาฬ รวมทั้งให้ดึงเครื่องเรือขึ้นและให้เข้าใกล้จากด้านข้างอย่างน้อย 100 ม. หลังการลงพื้นที่สำรวจเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พบบรูด้า 3 ตัวกำลังไล่กินปลากระตักอย่างมีความสุข

วันนี้ (28? ส.ค.)? เพจสถาบันวิทยาศาสตร์?ทางทะเล? ได้เผยแพร่รายงานการสำรวจวาฬบรูด้าที่เข้ามาในทะเลบางแสน โดย น.ส.รติมา ครุวรรณเจริญ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการ และ ดร.อดิสรณ์ มนต์วิเศษ ผู้เชี่ยวชาญศูนย์เรียนรู้โลกใต้ทะเลบางแสน พร้อมภาพวาฬบรูด้าที่ยังคงพากันเล่นน้ำและหาอาหารกินอาหารในทะเลบางแสนอย่างมีความสุข

โดยให้ข้อมูลว่า ทีมงานสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ได้ออกสำรวจวาฬบรูด้า ชายหาดบางแสน พบบรูด้าจำนวน 3 ตัว กำลังกินอาหาร ซึ่งช่วงนี้วาฬเข้ามากินอาหารที่เป็นฝูงปลากะตัก จึงขอความร่วมมือขับเรืออย่างระมัดระวัง

และไม่ไล่ต้อนน้องวาฬ รวมทั้งให้ดึงเครื่องเรือขึ้นและเข้าใกล้จากด้านข้างห่างอย่างน้อยประมาณ 100 เมตร และดับเครื่องเรือ

ทั้งนี้ วาฬบรูด้า หรือวาฬแกลบ (อังกฤษ: Bryde's whale, Eden's whale; ชื่อวิทยาศาสตร์: Balaenoptera edeni) เป็นวาฬขนาดใหญ่ รวมถึงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จัดอยู่ในวงศ์ Balaenopteridae โดยชื่อ วาฬบรูด้า เป็นการตั้งเพื่อให้เป็นเกียรติแก่กงสุลชาวนอร์เวย์ ในประเทศแอฟริกาใต้


https://mgronline.com/local/detail/9670000079768

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 29-08-2024 เมื่อ 04:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 29-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


ญี่ปุ่นเตือนปชช. ระวังโลมากัด อาจโดนโจมตีถึงชีวิต



ญี่ปุ่นออกเตือนประชาชนที่ไปเที่ยวทะเลให้ระวังการถูกโจมตีจากโลมา หลังจากสถานการณ์เช่นนี้เกิดบ่อยครั้งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า โลมาอาจจะเล่นสนุกจนเกินไป โดยหน่วยยามฝั่งในซึรุงะให้ข้อมูลว่า ในปีนี้มีนักว่ายน้ำ 18 รายที่ถูกกัดที่หลายชายหาดในจังหวัดฟุคุอิ แม้รอยกัดส่วนมากจะเป็นรอยเล็ก แต่บ่อยครั้งก็รุนแรงมากกว่ารอยข่วน เขาได้ยกตัวอย่างอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่นานนี้ ซึ่งมีเด็กนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาโดนโลมากัด และทำให้ต้องเย็บแผลถึง 20-30 เข็ม

หน่วยงานท่องเที่ยวท้องถิ่นที่ชายหาดซุยโชฮามะ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ หาดไดมอนด์ ประกาศแจ้งเตือนให้นักท่องเที่ยวระมัดระวังในเรื่องนี้ และแนะนำให้หลีกเลี่ยงในการเข้าใกล้หรือสัมผัสโลมา ผ่านเว็บไซต์และใบปลิว

"โลมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปลอดภัย แต่อาจจะทำให้คุณเสียเลือดได้จากการกัด โดยฟันที่แหลมคม ลากคุณลงน้ำ และร้ายแรงที่สุดคือเป็นภัยต่อชีวิต" หน่วยงานท่องเที่ยวระบุ

เจ้าหน้าที่หน่วยยามฝั่งกล่าวว่า ต้นตอของเรื่องนี้ไม่แน่ชัดว่ามีสาเหตุมาจากโลมาตัวเดียวหรือหลายตัว ทั้งนี้ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมิเอะคาดการณ์ว่า อาจจะเป็นโลมาตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งดูได้จากลักษณะครีบและรอยแผล
"โลมาอาจจะพยายามสร้างปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ในลักษณะเดียวกับที่มันสร้างปฏิสัมพันธ์กับโลมาด้วยกัน ไม่ใช่พยายามทำร้ายมนุษย์" อาจารย์มหาวิทยาลัยมิเอะกล่าว


https://www.matichon.co.th/foreign/news_4760663

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 29-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


คนบุกรุกพื้นที่ป่า แย่งที่อยู่สัตว์มากขึ้น โรคระบาดแพร่เชื้อได้ไวกว่าเดิม
........... โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล


KEY POINTS

- ภายในปี 2070 จะเกิดพื้นที่ทับซ้อนที่มนุษย์และสัตว์ต้องอยู่อาศัยร่วมกันเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีประชากรมนุษย์หนาแน่นสูงอยู่แล้ว เช่น อินเดียและจีน

- ส่วนพื้นที่ป่าในแอฟริกาและอเมริกาใต้จะกลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพหายไป

- การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อที่สามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น




ปัจจุบันมนุษย์ได้เข้าครอบครองและเปลี่ยนแปลงผืนดินทั่วโลกไปแล้วประมาณ 70-75% ของผืนดินทั่วโลก และภายในปี 2070 ประชากรมนุษย์จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเข้ายึดครองพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ เกิดเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่มนุษย์และสัตว์ต้องอยู่อาศัยร่วมกันเพิ่มมากขึ้น ในพื้นที่ 57% ของโลก

"เมื่อก่อนโลกของเรามีสถานที่ที่ไม่เคยมีคนอยู่มาก่อน เช่น ป่า อยู่มากมาย แต่ในตอนนี้เราเริ่มเห็นมนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยและทำกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่มากขึ้น ขณะเดียวกันกับก็เห็นสัตว์ป่าตอบโต้มนุษย์มากขึ้นเช่นกัน" นีล คาร์เตอร์ หัวหน้าผู้วิจัยการศึกษาและรองศาสตราจารย์ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนกล่าว

"เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่มนุษย์สร้างแรงกดดันและผลกระทบเชิงลบต่อสายพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่เราเผชิญอยู่"

เนื่องจากมนุษย์และสัตว์กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เดียวกัน จนเกิดความแออัดมากขึ้น ความหนาแน่นในพื้นที่นี้อาจส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้อยากรวดเร็ว ตลอดจนสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ สัตว์ป่ารุกล้ำพื้นที่ทำกินของเกษตรกร กินพืชผลและปศุสัตว์และสุดท้ายพวกมันก็ถูกมนุษย์ฆ่า

การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อ ประมาณ 75% ของโรคอุบัติใหม่ในมนุษย์เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ซึ่งหมายความว่าโรคเหล่านี้สามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้ และโรคต่าง ๆ ที่เกิดการแพร่ระบาดระดับโลก เช่น โควิด-19 ไข้หวัดนก และไข้หวัดหมู มีแนวโน้มว่าจะมีต้นกำเนิดจากสัตว์ป่า

ทั้งนี้ความเสี่ยงเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากสัตว์ป่า แต่เป็นเพราะพฤติกรรมของมนุษย์และการสัมผัสสัตว์ป่าต่างหากที่ทำให้เกิดความเสี่ยงโรคแพร่ระบาด

เพื่อคาดการณ์พื้นทับซ้อนระหว่างมนุษย์และสัตว์ป่าในอนาคต นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้เปรียบเทียบการประมาณพื้นที่ที่ผู้คนน่าจะอาศัยอยู่กับพื้นที่กระจายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ทั้งสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์เลื้อยคลานบนบกจำนวน 22,374 ชนิด

ผลการศึกษาพบว่า พื้นที่ทับซ้อนระหว่างมนุษย์สัตว์จะขยายใหญ่ขึ้นในภูมิภาคที่มีประชากรมนุษย์หนาแน่นสูงอยู่แล้ว เช่น อินเดียและจีน

ส่วนพื้นที่ป่าในแอฟริกาและอเมริกาใต้จะกลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมมากยิ่งขึ้น นับเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมาก เพราะพื้นที่เหล่านี้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก และต้องเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นในอนาคตจากการบุกรุกของมนุษย์ การศึกษายังคาดการณ์ว่าความหลากหลายของสายพันธุ์จะลดลงในป่าหลายแห่งทั่วแอฟริกาและอเมริกาใต้

ในอเมริกาใต้ ความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคาดว่าจะลดลง 33% ส่วนสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกลดลง 45% สัตว์เลื้อยคลานลดลง 40% และนกลดลง 37% ส่วนในแอฟริกา ความสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคาดว่าจะลดลง 21% และนกลดลง 26% ขณะที่ในยุโรปพื้นที่ทับซ้อนของระหว่างมนุษย์และสัตว์ป่าคาดว่าจะลดลงมากกว่า 20%

แม้ว่าการทับซ้อนจะมาพร้อมกับความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์ แต่การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่เหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย

"ในทศวรรษหน้า ผู้คนจะมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ป่าทั้งที่ดีและไม่ดีมากขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก และบ่อยครั้งที่ชุมชนสัตว์ป่าของพื้นที่เหล่านั้นจะประกอบด้วยสัตว์ประเภทต่าง ๆ มากกว่าที่อาศัยอยู่ที่นั่นในปัจจุบัน" คาร์เตอร์กล่าว

ตัวอย่างเช่น สัตว์กินซาก อาทิ แร้งหรือไฮยีนา ที่มักจะถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามของมนุษย์ แต่ที่จริงแล้วพวกมันอาจช่วยเหลือประชากรมนุษย์ได้ โดยจะมีบทบาทสำคัญในการทำความสะอาดขยะในภูมิทัศน์เมือง สัตว์เหล่านี้สามารถลดการแพร่ระบาดของโรคบางชนิดในมนุษย์ เช่น โรคพิษสุนัขบ้า โรคแอนแทรกซ์ หรือวัณโรคในวัวได้ ส่วนนกสามารถช่วยกินแมลงศัตรูพืชในพื้นที่เกษตรกรรมซึ่งอาจทำลายพืชผลได้

ในอนาคตรูปแบบการอนุรักษ์จะต้องถูกพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ยังไม่มีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาก่อน วิธีการอนุรักษ์แบบดั้งเดิม เช่น การจัดตั้งพื้นที่คุ้มครองและการจำกัดการเข้าถึงของมนุษย์ อาจทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันอาจจะไม่เป็นธรรมหากในวันหนึ่งจะไล่ชาวบ้านออกจากที่อยู่อาศัยทั้งที่พวกเขาอยู่มาแล้วหลายชั่วอายุคน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาทางให้มนุษย์และสัตว์ป่าอยู่ร่วมกันมากขึ้น

"เนื่องจากคาดว่าในพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก มนุษย์และสัตว์จะต้องอยู่ร่วมกันมากขึ้น ดังนั้นการวางแผนการอนุรักษ์จะต้องสร้างสรรค์และครอบคลุมให้มากที่สุด" คาร์เตอร์กล่าว

นักวิจัยสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกระบวนการอนุรักษ์ เพื่อสร้างความสนใจ ตระหนักรู้ และปรับปรุงผลลัพธ์ ซึ่งอาจรวมถึงการสร้างทางเดินสำหรับสัตว์ป่าเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่คุ้มครองที่มีอยู่กับพื้นที่คุ้มครองใหม่ การสร้างพื้นที่คุ้มครองชั่วคราวในช่วงที่สัตว์ป่ามีอันตราย เช่น ฤดูผสมพันธุ์ และการสำรวจกลยุทธ์การอนุรักษ์ที่สร้างสรรค์อื่น ๆ

"เราใส่ใจมากว่าพื้นที่ใดสามารถรองรับประชากรของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เช่น เสือ และชุมชนมีวิธีอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อย่างไร ในบางสถานที่ การทำทุกอย่างพร้อมกันอาจเป็นเรื่องยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพื้นที่สำหรับปลูกพืชในเมือง การปกป้องสัตว์ป่าและแหล่งที่อยู่อาศัย แต่ถ้าเราสามารถเริ่มวางแผนได้ตั้งแต่ตอนนี้ เราก็จะมีวิธีมากมายที่จะช่วยส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน" คาร์เตอร์กล่าว

ที่มา: Earth, Euro News, Newsweek, The Guardian


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1142219

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 29-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


"ลูกพะยูน" หลงแม่เกาะปอดะตายแล้ว พบลิ่มเลือดอุดตันหลอดลม

ลูกพะยูนเกาะปอดะ จ.กระบี่? ตายแล้ว หลังรักษาและอนุบาล 18 วัน ด้านกรมทะเล เผยป่วยตายตามธรรมชาติ พบภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว



วันนี้ (28 ส.ค.2567) ความคืบหน้าพบลูกพะยูน???บริเวณเกาะปอดะ ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่? เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้เข้าช่วยเหลือเบื้องต้น ขนย้ายมารักษาและอนุบาลที่สถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ล่าสุดลูกพะยูนได้ตายแล้ว เมื่อเวลา 06.18 น. หลังรักษาและอนุบาล 18 วัน

โดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) กล่าวถึงกรณีลูกพะยูนเกยตื้นที่บริเวณเกาะปอดะ ต.อ่าวนาง จ.กระบี่ ที่ตายหลังจากนำมาอนุบาลว่าตนได้ติดตามข่าวสารและอัพเดทอาการของลูกพะยูนที่เกยตื้นมาโดยตลอด แต่พอได้ทราบรายงานจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าลูกพะยูนได้จากไปแล้ว ตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้ทีมงานสัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครทุกคน ที่ได้เสียสละเวลาอันมีค่ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาลูกพะยูนตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับ "พะยูน" เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 การจากไปของลูกพะยูนในวันนี้ เป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายในประเทศที่ต้องตระหนักและร่วมมือร่วมใจกันปกป้อง คุ้มครอง ดูแลพะยูนและแหล่งอาหารรวมถึงที่อยู่อาศัยของพะยูน อยากให้ทุกคนเห็นตรงกันว่า

"การอนุรักษ์พะยูนไม่เพียงแค่เป็นการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องรักษาบ้านของพะยูนซึ่งหมายถึงแหล่งหญ้าทะเลด้วย และเมื่อใดมีแหล่งหญ้าทะเลที่สมบูรณ์ ย่อมหมายถึงการมีแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน มีทะเลที่สมบูรณ์"


ดังนั้นมิติของการอนุรักษ์พะยูนจึงเป็นการรักษาความสมบูรณ์ของท้องทะเลไทยอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้ทำงานเพื่อแก้ไขและฟื้นฟูเพิ่มจำนวนพะยูนในท้องทะเลไทยมาโดยตลอด รวมถึงสานต่อแผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติระยะที่ 2 ด้วยการเพิ่มโครงการศึกษาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเล อีกทั้งใช้กลไกคณะกรรมการระดับจังหวัด เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผน การติดตามสถานภาพเฝ้าระวัง ศึกษาพฤติกรรมและถิ่นอาศัยของสัตว์ทะเลหายากอีกด้วย

ถึงแม้วันนี้ พะยูนน้อยจะจากพวกเราไปแล้ว แต่เราไม่ได้สูญเสียพวกเขาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาได้ทิ้งองค์ความรู้ในการดูแลสัตว์ทะเลหายาก พร้อมปลุกจิตสำนึกให้ทุกคนหันมาใส่ใจในการดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อีกทั้งยังมีพะยูนอีกหลายร้อยชีวิตในท้องทะเลไทยที่ต้องการให้พวกเราช่วยกันปกป้องและคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยต่อไป


ด้าน ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า ลูกพะยูนตัวดังกล่าวมีปัญหาการทรงตัวและพลัดหลงจากแม่ จึงจำเป็นต้องเข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทางเจ้าหน้าที่ ศวอล. จึงได้ประสานงานกับทางอุทยานฯ ในการเข้าพื้นที่ช่วยเหลือเบื้องต้นและขนย้ายมายังที่ทำการอุทยานฯ

การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นเป็นพะยูนเพศผู้ วัยเด็ก คาดว่าอายุประมาณ 2-4 เดือน มีความยาว 102 ซม. น้ำหนัก 113 กก. จากการตรวจร่างกายพบว่าพะยูนอ่อนแรงแต่ยังสามารถขึ้นหายใจได้ พบรอยขีดข่วนบริเวณส่วนจมูกและหัวเล็กน้อย ความสมบูรณ์ของร่างกายค่อนข้างผอม บริเวณตาซ้ายขุ่นและตาจมลึกซึ่งแสดงว่าพะยูนมี ภาวะขาดน้ำ เสียงปอดชื้นเล็กน้อย ลำไส้มีการบีบตัว และพะยูนยังมีความอยากอาหารอยู่

เจ้าหน้าที่ ศวอล. จึงขนย้ายพะยูนตัวดังกล่าวมาอนุบาลสระน้ำขนาดความจุน้ำ 50 ตัน ที่สถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง พร้อมเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปวิเคราะห์ทางโลหิตวิทยา จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีค่ากลูโคสในกระแสเลือดต่ำต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ในเบื้องต้นสัตวแพทย์ได้มีการป้อนนมทดแทนและน้ำเพื่อชดเชยภาวะขาดน้ำและทางสัตวแพทย์ได้ตรวจสุขภาพอย่างละเอียด และปรับสัดส่วนของอาหารทดแทนนม เพื่อให้เหมาะสมต่อความต้องการโภชนาการของลูกพะยูน โดยให้นมทดแทนสำหรับลูกสัตว์และอิเล็กโทรไลด์ทางการสอดท่อทุก 3-4 ชั่วโมง


ต่อมาวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา ลูกพะยูนแสดงอาการซึม ลอยตัวนิ่ง เวลา 21.30 น. ลูกพะยูนแสดงอาการหายใจถี่ขึ้น มีอาการหายใจลำบาก และจมตัวลงพื้นบ่อไม่สามารถทรงตัวได้ ทีมสัตวแพทย์จึงรีบพยุงตัวสัตว์ขึ้นเหนือน้ำ และติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิด อัตราการหายใจเฉลี่ย 15-20 ครั้งต่อ 5 นาที การหายใจถี่และสั้น จึงให้ออกซิเจนและยากระตุ้นการหายใจ วัดหัวใจเต้นเบาลง ตรวจการเคลื่อนไหวของลำไส้พบว่ามีการเคลื่อนไหวช้าลง ตรวจวัดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดพบว่า 21 mg/dl บ่งบอกว่าลูกพะยูนพบน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำกว่าปกติอย่างรุนแรง จึงได้ให้สารน้ำเข้าทางหลอดเลือดและทางการป้อนยาลดปวดเพื่อพยุงอาการ

จนกระทั่งเวลา 06.18 น. ของวันนี้ (28 ส.ค.) สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตนได้รับแจ้งจากทีมสัตวแพทย์ว่าลูกพะยูนได้จากพวกเราไปแล้ว โดยทีมสัตวแพทย์ได้รายงานผลชันสูตรการตายของลูกพะยูนว่า น้องมีอาการชักเกร็ง สีเยื่อเมือกซีด หายใจช้าลงผิดปกติ การเต้นของหัวใจเบาลงและการตอบสนองช้าลง จนหยุดนิ่งและเสียชีวิตในที่สุด

จากการชันสูตรซากลูกพะยูนพบว่าเนื้อเยื่อปอดมีเลือดคั่ง และพบลิ่มเลือดอุดตันภายในหลอดลมและแขนงหลอดลมปริมาณมาก บริเวณผนังช่องท้องพบลิ่มเลือดกระจายเป็นหย่อมๆ ส่วนของทางเดินอาหารพบปื้นเลือดออกบริเวณกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นเล็กน้อย สรุปสาเหตุการตายคาดว่าป่วยตายตามธรรมชาติเนื่องจากภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว


https://www.thaipbs.or.th/news/content/343612

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 29-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


พายุจะเข้าไทย 2 ลูกเดือนกันยายน-ตุลาคม โลกร้อน-ต้นไม้ลด ทำให้โลกแปรปรวน


SHORT CUT

- กรมอุตุฯเผย ไทยจะมีพายุเข้า 2 ลูกช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม

- อิทธิพลร่องมรสุมกำลังแรงบ้างเบาบ้าง ทำให้ฝนตกชุกหนาแน่นบางพื้นที่

- โลกร้อนมีส่วนทำให้สภาพอากาศแปรปรวนหนัก ฝนตกที่เดิมซ้ำ ๆ ต้นไม้ลดลง ตึกมากขึ้นก็มีส่วน

- โลกร้อนทำให้การพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยายากขึ้น




กรมอุตุนิยมวิทยาเผย พายุจะเข้าไทยจริง 2 ลูก เดอืนกันยายน-ตุลาคม ส่งผลให้ฝนตกหนักมากขึ้น โลกร้อน-ต้นไม้ลดลง มีส่วนทำให้อากาศโลกแปรปรวนขึ้น ส่งผลให้ภัยพิบัติรุนแรงขึ้น

28 ส.ค. 2567 ว่าที่ร้อนตรี ธนะสิทธิ์ เอี่ยมอนันชัย รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวสปริงนิวส์ในคอลัมน์ Keep The World ถึงกรณีพายุที่จะเข้าไทยในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 ว่า


พายุจะเข้าไทยเดือนกันยายน-ตุลาคมจริงไหม?

จากการคาดการณ์ของกรมอุตุฯ จะมีพายุเข้ามาประเทศไทยโดยตรงประมาณ 1-2 ลูก นอกจากนี้ยังมีพายุที่อ้อมเข้ามาด้วย อาจจะสลายตัวที่เวียดนามตอนบน หรือลาวตอนบน หรืออาจเลี้ยวโค้งไปทางอ่าวตังเกี๋ย ซึ่งอาจมีผลกระทบกับประเทศไทยด้วย เพราะพายุจะทำให้ร่องมรสุมแรงขึ้น

แต่ ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีพายุเข้า เป็นผลมาจากอิทธิพลของร่องมรสุมที่มีกำลังแรงบ้างเบาบ้างตามช่วงระยะเวลาต่าง ๆ มันเลยทำให้ฝนตกซ้ำ ๆ กัน อย่างเช่นตอนนี้ ร่องมรสุมพาดผ่านอยู่ที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ฝนในบริเวณนั้นจะตกซ้ำ ๆ ในบริเวณเก่า ๆ ฝนตกสะสมหลายวัน เลยทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากอย่างที่เราเห็นที่เกิดขึ้นในภาคเหนือขณะนี้

ส่วนฝนที่ตกเฉพาะจุดและมีดินโคลนถล่ม มีน้ำท่วม อย่างที่เราเห็นที่ภูเก็ต วันนี้ก็ยังมีฝนตกชุกขึ้น โดยเป็นผลมาจากอิทธิพลร่องมรสุมลมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้นบางช่วง และอ่อนลงไป และก็แรงขึ้นอีก ตามลักษณะของอากาศที่ทำให้ฝนตกชุกหนาแน่นทั่วประเทศไทย แต่ว่า แต่ละพื้นที่จะมีปริมาณฝนที่ตกไม่เท่ากัน แต่การกระจายดี


ปริมาณฝน ณ ขณะนี้ จะหนักแค่ไหน เทียบกับปี 2554 น้อยหรือมากกว่ากัน?

บางจุด บางช่วง บางจังหวะ ฝนอาจจะมีปริมาณมากกว่าปกติ แต่โดยรวมยังไม่ถึงขนาดนั้น บางพื้นที่อาจจะมีมากกว่า 35 มิลลิเมตร บางพื้นที่อาจมีมากกว่า ร้อยมิลลิเมตร เช่นภูเก็นเมื่อคืนมีปริมาณฝนค่อนข้างเยอะ ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออกก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบริเวณรับลมมรสุม

ความจริงภาคเหนือไม่ได้ห่างจากทะเลมากนัก เพราะว่าประเทศเมียนมามีอ่าวเบงกอลซึ่งห่างกับไทยไม่กี่กิโลเมตร ลมมรสุมก็สามารถพัดผ่านทะเลนำเอาความชื้นไปสะสมเข้าระลอกมรสุม ทำให้อากาศมีความปั่นป่วน มีฝนเยอะ


ฝนตกที่เดิมซ้ำ ๆ นาน ๆ เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือไม่?

การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศมันเป็นไปทั้งโลกทั้งใบ ไม่ใช่เกิดเฉพาะแค่ประเทศไทยที่เดียว เพราะฉะนั้นความสมดุลความร้อนของโลกใบนี้มันเปลี่ยนไป เกิดจากการใช้ประโยชน์ในที่ดิน เช่น มีตึกรามบ้านช่องมากขึ้น ถนนหนทางเยอะขึ้น ป่าไม้ที่เคยมีกลับลดลง เพราะฉะนั้นสมดุลความร้อนเปลี่ยนแปลง ลักษณะอากาศแปรปรวนก็ต่างกันไป

ตรงไหนที่มีความร้อนมาก ๆ และมีความชื้นเข้ามาผสมอย่างรุนแรง ก็จะทำให้เกิดลักษณะอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรง คือ มีฝนตกชุกหนาแน่น ตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งแต่ละพื้นที่มีโอกาสที่จะแบบนี้ได้ เพราะปัญหาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate change มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงลักษณะอากาศของโลกใบนี้ในทุกพื้นที่


โลกร้อนทำให้การพยากรณ์อากาศยากขึ้นไหม?

การคาดหมายลักษณะอากาศของประเทศไทยโดยกรมอุตุนิยมวิทยากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเราพัฒนามานาน เมื่อก่อนถ้าย้อนกลับไปประมาณ 20-5- ปี เราจะพยากรณ์อยู่สักประมาณ 50-60% ที่ตีความถูกต้องภายใน 24 ชั่วโมง

ปัจจุบันเรามีเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วยให้การพยากรณ์อากาศแม่นยำมากขึ้น เราติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดลักษณะอากาศทั่วประเทศไทยมากขึ้น มีเรดาร์ตรวจอากาศเข้ามาใช้ มีภาพดาวเทียมเข้ามาใช้ มีแบบจำลองลักษณะภูมิอากาศกว่า 50 แบบในการพัฒนาเพื่อให้ใช้ได้ดีสำหรับประเทศไทย ซึ่งเราก็พัฒนามาจนถึงประมาณ 80-90% ใน 24 ชั่วโมงแล้ว

ถามว่ายากไหม ก็มีความยากในลักษณะที่ว่า เราอยู่ในประเทศเขตร้อน ลักษณะอากาศแปรปรวนไม่เหมือนกัน สภาพอากาศเหมาะสมตรงไหนมักจะเกิดฝนตรงนั้นเลย ไม่เหมือนประเทศเขตอบอุ่นหรือเขตหนาวที่ลักษณะอากาศของเค้าไหลเป็นระบบแล้วก็หมุนไปรอบโลก

เค้าถึงบอกได้ว่า อีก 5 นาทีจะมีฝนตกที่เขา แล้วก็จะตกอยู่ประมาณสองนาทีแล้วจะเลยผ่านไปนี่บอกได้เพราะมีอัตราเร็วที่มันเคลื่อนตัวอยู่ แต่ของเราไม่ใช่อย่างนั้น ฝนตกที่สมุทรสงครามอย่าคิดว่าจะไปตกที่ภาคอีสาน มันสลายไปแล้ว อย่าคิดว่ามันจะมาถึงกรุงเทพฯทุกลูกเสมอไป มันสลายไปแล้ว ส่วนที่มาปกคลุมกรุงเทพฯและปริมณฑลเนี่ยอาจจะเป็นลูกใหม่หรือลูกเดิมที่จางไปแล้ว นี่คือคือความยาก


https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852387

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #9  
เก่า 29-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


'แม่น้ำโขง' สายน้ำหล่อเลี้ยง 6 ชาติ แต่ใครทำให้วิกฤต?


SHORT CUT

- "แม่น้ำโขง" สายน้ำหล่อเลี้ยง 6 ประเทศ แบ่งกันใช้-ปกครอง แต่เหมือนบางประเทศได้สิทธิ์มากกว่า เพราะอยู่ต้นน้ำ ?

- จีน ที่เป็นพี่ใหญ่ในความร่วมมือนี้ เหมือนจะจะโดนข้อครหาเรื่องทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะสร้างเขื่อนจำนวนมากไว้เป็นพลังงานไฟฟ้า

- ไม่รู้ว่าคุยกัน 10 ปี จะแก้ปัญหาแม่น้ำโขงได้หรือเปล่า เพราะแต่ละประเทศต่างก็ยึดประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก




'แม่น้ำโขง' ธรรมชาติสร้างมาให้ 6 ประเทศใช้ร่วมกัน แต่บางประเทศได้ใช้ประโยชน์มากกว่า ใครเป็นต้นเหตุทำให้เกิดวิกฤตน้ำโขงท่วมในไทย ?

"แม่น้ำโขง" มีต้นกำเนิดมาจากการละลายของน้ำแข็งและหิมะบริเวณที่ราบสูงทิเบต จนเป็นมหานทีที่ไหลผ่าน 6 ประเทศ ได้แก่ จีน เมียนมาร์ ลาว ไทย กัมพูชา และ เวียดนาม ตามลำดับ ทำให้มีความยาวเกือบ 5,000 กิโลเมตร


ข้อมูลแม่น้ำโขง

แม่น้ำโขงเป็นแหล่งของพันธุ์ปลามากกว่า 1,000 ชีวิต จึงทำให้การประมงในพื้นที่แห่งนี้มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตพลเมืองแต่ละประเทศอย่างยิ่ง ราวกับว่า แม่น้ำโขงคือสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ 6 ประเทศได้ใช้ร่วมกัน

โดย 'แม่น้ำโขง' แบ่งเป็น 6 ช่วงดังนี้

ช่วงที่ 1 เริ่มตั้งแต่แม่น้ำแม่น้ำหลานชางเจียง หรือลุ่มน้ำโขงตอนบนในประเทศจีน แล้วไหลผ่านมณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำจำนวนมากที่ส่งผลไปยังแม่น้ำโขงตอนล่าง

ช่วงที่ 2 จากเชียงแสนถึงเวียงจันทน์และหนองคาย

ช่วงที่ 3 จากเวียงจันทน์และหนองคายไปยังปากเซ

ช่วงที่ 4 จากปากเซไปถึงกระแจะ (Kratie) ประเทศกัมพูชา

ช่วงที่ 5 จากกระแจะไปยังพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

ช่วงที่ 6 จากกรุงพนมเปญไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ ในช่วงนี้จะมีความซับซ้อนของการไหลของน้ำในแม่น้ำโขง ปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง มีอิทธิพลต่อการรุกล้ำของน้ำเค็มจากทะเลจีนใต้

เพราะแม่น้ำโขงต้องผ่าน 6 ประเทศ จึงต้องแบ่งการปกครองการใช้แม่น้ำสายนี้ ซึ่งแต่ละประเทศก็สร้างเขื่อนไว้ใช้ประโยชน์ กล่าวคือต่างคนต่างดูแลในพื้นที่ของตัวเอง ทำให้การบริหารจัดการน้ำส่งผลถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศตอนล่างของแม่น้ำโขงที่มักได้รับผลกระทบจากเขื่อนของประเทศที่อยู่ต้นน้ำเสมอ ซึ่งผู้ที่อยู่ด้านบนสุดของแม่น้ำโขงก็คือประเทศจีน


จีนสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขง ทำลายสิ่งแวดล้อม

เพื่อให้ทุกชาติได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง อย่างเท่าเทียม จึงมีการตัดตั้งกรอบความร่วมมือแม่โขง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีน เพื่อสร้างเขตเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง โดยเน้นให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ แต่ดูเหมือนว่าจีน ที่เป็นพี่ใหญ่ในความร่วมมือนี้ จะโดนข้อครหาเรื่องทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด

เพราะจีนอยู่ทางต้นน้ำ และมีการสร้างเขื่อนกับอ่างเก็บน้ำมากมาย จีนเปิดเขื่อนแห่งแรกบนแม่น้ำโขง เมื่อปี 2536 และปัจจุบันจีนมีเขื่อนหลักที่เปิดทำการ 11 แห่ง และเขื่อนย่อยอีก 95 แห่งภายในอาณาเขตของตนเอง เพราะจีนมีความต้องการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำสูง แต่สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ก่อให้เกิดผลกระทบตามมา เพราะเขื่อนได้ทำลายสมดุลทางระบบนิเวศ โครงสร้างทางวิศวกรรมทำให้มีการตกตะกอนลงไปในอ่างเก็บน้ำและขัดขวางไม่ให้สารอาหารที่มีค่าไหลลงสู่ปลายน้ำ เช่นในปี 2562 แม่น้ำโขงซึ่งปกติจะมีสีเหมือนกาแฟขาวกลายเป็นสีฟ้า ซึ่งหลายฝ่ายโดยเฉพาะสื่อตะวันตก มองว่าจีนมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง

ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2563 ศูนย์วิจัยสหรัฐ Stimson Center ออกรายงานการศึกษาชิ้นใหม่ที่อ้างว่า สภาวะภัยแล้งรุนแรงในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่เกิดขึ้นในปี 2562 เป็นผลจากการกักเก็บน้ำของเขื่อนทางการจีน จนทำให้เกิดวิกฤตระดับน้ำแม่น้ำโขงลดต่ำผิดปกติครั้งประวัติศาสตร์ ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายประเทศ

แม้ทางการจีนจะอ้างว่า เพราะฝนแล้ง แต่สหรัฐฯ ตรวจพบว่า ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนในเขตประเทศจีนเวลานั้นกลับได้รับปริมาณน้ำฝนสูงกว่าปกติ และผลการศึกษาข้อมูลดาวเทียมยังบ่งชี้ว่า เขตลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนในประเทศจีนยังมีความชื้นในดินสูงกว่าที่ผ่านมา จึงสรุปได้ว่าที่ราบทิเบตที่เป็นแหล่งกำเนิดน้ำในแม่น้ำโขง ไม่ได้แห้งแล้งอย่างที่จีนอ้าง

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีแค่แม่น้ำโขงเท่านั้นที่เป็นประเด็น เพราะน้ำท่วมครั้งใหญ่ในบังกลาเทศเดือน ส.ค. 67 ที่กระทบชีวิตประชาชนกว่า 6 ล้านคน ก็ถูกและกล่าวหาว่าถูกปล่อยมาจากอินเดีย

โดยชาวบังกลาเทศโทษว่า "อินเดีย" จงใจปล่อยน้ำออกจากเขื่อน ให้ไหลลงมาท่วมเมืองของพวกเขาที่อยู่ห่างจากอินเดียเพียงไม่กี่กิโลเมตร เพราะจงใจแก้แค้นเหตุบาดหมางทางการเมืองในอดีต ซึ่งนับเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม แต่กระทรวงต่างประเทศของอินเดียออกมาปฏิเสธ อ้างว่าเกิดจากการที่ฝนตกลงมาอย่างหนักจนระดับน้ำสูงเกินไป ทำให้เขื่อนต้องปล่อยน้ำโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีปัญหาไฟฟ้าและการสื่อสารขัดข้อง พวกเขาจึงไม่สามารถส่งคำเตือนต่อชาวบ้านในบังกลาเทศได้ทัน

อย่างไรก็ตาม ถึงประเทศเล่านี้จะปฏิเสธเสียงแข็ง และอ้างว่าเป็นเพราะภัยธรรมชาติทุกครั้ง แต่การเป็นประเทศต้นน้ำและเป็นเจ้าของเขื่อน ก็ทำให้ถูกเพ่งเล็งอย่างหนักเสมอ


จีนระบายน้ำ แม่น้ำโขงท่วมไทย ?

ในปี 2567 ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัดทั่วประเทศ สถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขงก็เข้าขั้นวิกฤต เพราะผลจากการระบายน้ำจากเขื่อนทางตอนใต้ของประเทศจีนบวกกับปริมาณฝนที่ยังตกอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้น้ำล้นตลิ่งและเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรในจังหวัดเชียงราย โดยจากการวัดระดับน้ำวันที่ 25 ส.ค. 67 อยู่ที่ 10.56 เมตร ส่วนที่จังหวัดหนองคายวัดระดับน้ำวันที่ 28.ส.ค. 67 อยู่ที่ 12.25 เมตร ทำให้เสี่ยงต่อน้ำท่วมเช่นกัน

ปัญหาดังกล่าว ทำให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ส่งหนังสือด่วนถึงจีน ขอให้เขื่อนทางใต้ชะลอการปล่อยน้ำเพื่อลดผลกระทบต่อไทยแล้ว พร้อมกับให้ สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ประสานไปยัง สปป.ลาว เพื่อให้จัดการน้ำของเขื่อนในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง เพื่อบรรเทาผลกระทบและให้ระดับน้ำลดลงจากการล้นตลิ่ง

แต่วันที่ 27 ส.ค. 67 โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้ออกมาปฏิเสธไม่มีการระบายน้ำเร็วๆ นี้

"ทางจีนมีความกังวลอย่างมากในเรื่องนี้ โดยการสอบถามเบื้องต้นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีน สภาพน้ำของตอนแม่น้ำในประเทศจีนได้อยู่ภาวะปกติในเมื่อเร็วๆ นี้ และอ่างเก็บน้ำที่เกี่ยวข้องของแม่น้ำล้านช้างได้อยู่ในสถานะกักเก็บน้ำ ตั้งแต่วันที่ 18 ถึง 25 สิงหาคม ปริมาณการไหลออกเฉลี่ยต่อวันของสถานีไฟฟ้าพลังน้ำจิ่งหงได้ลดลง 60% เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมในปีก่อนหน้า และไม่ได้มีการดำเนินการระบายน้ำ หกประเทศในลุ่มแม่น้ำล้านช้างเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันที่เชื่อมต่อกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ ฝ่ายจีนเคารพและเอาใจใส่ผลประโยชน์และข้อกังวลของประเทศในลุ่มแม่น้ำอย่างเต็มที่ จีนยินดีที่จะส่งเสริมการแบ่งปันและความร่วมมือในด้านข้อมูลทรัพยากรน้ำ เสริมสร้างศักยภาพในการจัดการแบบบูรณาการในลุ่มแม่น้ำ และร่วมกันรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภัยพิบัติน้ำท่วม และความท้าทายอื่นๆ เป็นต้น" ทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าว

เมื่อจีนปฏิเสธมาแบบนี้ ทางการไทยคงทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากภาวนาให้ฝนไม่ตกหนักติดต่อกัน เพราะถ้าฝนยังตกอยู่แบบนี้ แม่น้ำโขงช่วงที่ไหลผ่านประเทศไทย ต้องล้นตลิ่งแน่นอน.

อย่างไรก็ตามการจะแก้ปัญหาแม่น้ำโขงคงไม่ใช่แค่คุยกับจีน แต่นานาชาติที่ใช่แม่น้ำสายนี้ต้องหาทางออกร่วมกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคุยกัน 10 ปี จะแก้ปัญหาได้หรือเปล่า เพราะแต่ละประเทศต่างก็ยึดประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก

ที่มา : The China-Global South Project, GREEN NEWS, สํานักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ


https://www.springnews.co.th/keep-th...ainable/852390

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:20


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger