#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมาและประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลงแต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนหรือฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 30 ก.ค. ? 4 ส.ค. 67 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านประเทศเมียนมาและลาวตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลงแต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
นักดำน้ำพบซากเรืออายุ 170 ปีในบอลติก เจอขวดแชมเปญยังไม่ได้เปิดอื้อ ทีมนักดำน้ำโปแลนด์พบซากเรืออายุกว่า 170 ปี ภายในมีขวดแชมเปญกับน้ำแร่ล้ำค่าที่ยังไม่ได้เปิดนับร้อยขวด โดยตรวจพบว่าผู้ผลิตคือบริษัทดังในเยอรมนี สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 26 ก.ค. 2567 ว่า ทีมนักดำน้ำชาวโปแลนด์ค้นพบซากเรือยุคศตวรรษที่ 19 ซึ่งถูกลืมเลือนไปนานแล้วว่าเคยมีอยู่ ใต้ทะเลบอลติก นอกชายฝั่งของประเทศสวีเดน โดยที่ภายในเรือมีลังบรรจุขวดแชมเปญกับน้ำแร่ล้ำค่าที่ยังไม่ได้เปิด และเครื่องเคลือบจำนวนมาก นายโทมัสซ์ สตาชูรา หัวหน้าทีมนักดำน้ำของสมาชิก 'บอลติกเทค' (Baltictech) เป็นหนึ่งในนักดำน้ำหาซากเรือที่เคลื่อนไหวมากที่สุดในทะเลบอลติก และเคยถ่ายรูปซากเรือใต้น้ำมาแล้วหลายพันรูป อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่า การค้นพบครั้งนี้แตกต่างออกไป เนื่องจากพบขวดที่ยังไม่ได้เปิดกว่า 100 ขวด "ผมดำน้ำมา 40 ปีแล้ว และบ่อยครั้งที่เจอขวดที่ยังไม่ได้เปิด 1-2 ขวด...แต่การค้นพบซากเรือที่มีสินค้ามากขนาดนี้นั้น ถือเป็นครั้งแรกของผมเลย" นายสตาชูราระบุในแถลงการณ์ที่ส่งให้กับสำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น และบอกด้วยว่า การค้นพบครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะความบังเอิญ "เราแค่ตรวจสอบจุดใหม่ๆ ซึ่งผมรวบรวมข้อมูลมาหลายปีแล้ว เพราะความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ และในตอนนั้นเองที่เรามาพบกับซากเรือนี้" สตาชูรากล่าว "เราไม่ได้คาดว่ามันจะมีนัยสำคัญใดๆ และลังเลด้วยซ้ำว่าจะดำน้ำไปหามันหรือไม่" ในท้ายที่สุด 2 คนในทีมก็ตัดสินใจว่ายไปดู แต่การดำน้ำระยะสั้นของพวกเขา กลับกินเวลายาวนานเกือบ 2 ชั่วโมง "ซากเรืออยู่ในสภาพดีมาก และสินค้าก็มากมาย มันมีเยอะเสียจนเป็นเรื่องยากที่เราจะประเมินจำนวนได้" ทั้งนี้ ขวดแชมเปญกับน้ำแร่ที่พบอาจเป็นกุญแจไขปริศนาประวัติศาสตร์ของเราลำนี้ได้ แถลงการณ์ของ บอลติกเทค ระบุว่า ขวดดังกล่าวเป็นขวดดินเผา และมีตราประทับว่า Selters ซึ่งเป็นยี่ห้อแชมเปญที่มีมูลค่าสูงมากของเยอรมนีในยุคศตวรรษที่ 19 และมักสงวนเป็นเครื่องดื่มของราชวงศ์ และเกือบจะถือได้ว่าเป็นยา น้ำในขวดมาจากบ่อน้ำแร่ชื่อเดียวกันในเมืองเซลเตอร์ส ในรัฐเฮสเซน ตอนกลางของเยอรมนี โดยที่บริษัท Selters ก็ยังคงดำเนินกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ ทีมนักดำน้ำใช้เบาะแสจากยี่ห้อและความช่วยเหลือจากนักประวัติศาสตร์ ทำให้พวกเขาเชื่อว่า เรือที่พวกเขาพบถูกสร้างขึ้นระหว่างปี 2393-2410 และที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ โรงงานผลิตขวดดินเผาที่ใช้บรรจุเครื่องดื่มที่พบนี้ก็ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาจึงติดต่อไปเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม ทีมนักดำน้ำได้แจ้งเรื่องการค้นพบให้ทางการท้องถิ่นของสวีเดนทราบแล้ว โดยซากเรืออยู่ห่างจากเกาะโอแลนด์ของสวีเดนไปทางใต้ ราว 20 ไมล์ทะเล แต่การเก็บกู้อาจเริ่มทำได้ในปีหน้า เนื่องจากติดข้อกำหนดของภาครัฐ "มันอยู่ที่นั่นมา 170 ปีแล้ว ดังนั้นให้มันอยู่ที่นั่นอีก 1 ปี เราจะได้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับการเก็บกู้ให้ดีขึ้น" นายสตาชูรากล่าว ที่มา : cnn https://www.thairath.co.th/news/foreign/2803585
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
ชาวประมงฟิลิปปินส์กังวลน้ำมันรั่วจากเรือจม บูลาคัน 29 ก.ค.- ชาวประมงในฟิลิปปินส์กำลังกังวลว่า ชีวิตความเป็นอยู่จะได้รับผลกระทบ หลังจากน้ำมันรั่วจากเรืออับปางลำหนึ่งถูกซัดมาถึงชายฝั่ง ชาวประมงในจังหวัดบูลาคัน ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาขึ้นไปทางเหนือเผยในวันนี้ว่า คราบน้ำมันกำลังแผ่กระจาย หวังว่ารัฐบาลจะหาทางแก้ไขโดยทันที เพราะเป็นเรื่องใหญ่เกินกำลังชาวประมงอย่างพวกเขา เรือเอ็มที เทอร์รา โนวา (MT Terra Nova) บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงด้านอุตสาหกรรมปริมาตร 1.5 ล้านลิตร อับปางนอกชายฝั่งจังหวัดบาตาอันเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ท่ามกลางคลื่นลมแปรปรวนในทะเล มีลูกเรือเสียชีวิต 1 คน เจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนว่า สาเหตุเกิดจากอิทธิพลของไต้ฝุ่นแคมี (Gaemi) หรือไม่ หลังจากกรุงมะนิลาและพื้นที่โดยรอบเกิดน้ำท่วมฉับพลัน เพราะอิทธิพลของไต้ฝุ่นลูกนี้ที่ไม่ได้พัดผ่านฟิลิปปินส์โดยตรง ปีที่แล้วเรือเอ็มที พรินเซส เอ็มเพรส (MT Princess Empress) บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงอุตสาหกรรมปริมาตร 800,000 ลิตร อับปางและจมลงในทะเล ทำให้น้ำมันรั่วครั้งใหญ่ ฟิลิปปินส์ต้องใช้เวลาถึง 3 เดือนในการทำความสะอาดคราบน้ำมัน. https://tna.mcot.net/world-1398717
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
หาดูยาก "นกเงือกกรามช้างปากเรียบ" นับพันรวมตัวป่าเขาน้ำค้าง "นกเงือกกรามช้างปากเรียบ" นับพันตัว หากิน-อาศัยในอุทยานฯ เขาน้ำค้าง คาดบางส่วนอพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้าน บ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ผืนป่าชายแดนใต้ วันนี้ (28 ก.ค.2567) นายพงศ์?ศิริ? ธรรม?ฤกษ์?ฤทธิ์ ?หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง รายงานว่า ได้พบนกเงือกกรามช้างปากเรียบฝูงใหญ่หลายร้อยตัว หาแหล่งอาหารและที่พักพิง บริเวณแหล่งท่องเที่ยวในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง ในช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค.ของทุกปี ที่อุทยานฯ จะพบนกเงือกกรามช้างปากเรียบบินอพยพ มาหาแหล่งอาหารและอาศัยอยู่ไม่เกิน 1,000 ตัว โดยพักในเขตพื้นที่อุทยานฯ แต่ปีนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่าทุกปี คาดว่าเป็นนกที่อพยพจากแหล่งต่าง ๆ เช่น มาเลเซีย มาสมทบเพื่อมาอาศัยและหากิน "นกเงือกกรามช้างปากเรียบรวมตัวจำนวนมาก เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่บ่งบอกว่าผืนป่าแดนใต้ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง ยังมีความสมบูรณ์อยู่มาก และเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยเพียงพอ" ปัจจุบันคาดว่ามีนกเงือกกรามช้างปากเรียบหากินอยู่ในอุทยานฯ และพื้นที่โดยรอบมากกว่า 1,500 ตัว โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการนับจำนวนนกเงือกที่บริเวณบ้านช่อนทอง ต.ทับช้าง อ.นาทวี จ.สงขลา 400-500 ตัว และที่บ้านนาปรัง ต.คลองกวาง อ.นาทวี 600-700 ตัว นอกจากนี้ ยังมีกระจายในพื้นที่ อ.นาทวี และ อ.สะเดา จ.สงขลา อีกหลายจุด ที่แยกออกไปหากินที่ในเขตอุทยานฯ เขาน้ำค้า งและพื้นที่ป่าใกล้เคียงภายนอกอุทยาน ซึ่งช่วงเย็นนกดังกล่าวจะมารวมกลุ่มกัน นอนที่ต้นสะเดาเทียมในสวนยางพารารอบพื้นที่อุทยานฯ โดยมีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ผู้นำท้องถิ่น ร่วมกับชาวบ้านคอยดูแลความปลอดภัย ป้องกันการรบกวนนกเงือกเหล่านี้ สำหรับอุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้างมีพื้นที่ 132,000ไร่ อยู่ใน อ.นาทวี และ อ.สะเดา จ.สงขลา มีสภาพป่าและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ รวมทั้งมีน้ำตกที่สวยงาม ซึ่งที่มาของชื่อ "เขาน้ำค้าง" เนื่องจากสภาพเป็นยอดเขาสูง มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี เมื่อมองจากบนยอดเขาจะเห็นหยดน้ำค้างเป็นเกล็ดอยู่ตามยอดหญ้าลักษณะเป็นใยแมงมุม แม้แต่ตอนเที่ยงวันก็มีน้ำค้างประปรายอยู่บนยอดหญ้า https://www.thaipbs.or.th/news/content/342451
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
ฮาวาย เกาะสวรรค์? ไม่ทนแล้ว เตรียมเก็บภาษีสภาพอากาศนักท่องเที่ยว 900 บาท SHORT CUT - "ฮาวาย" คือดินแดนที่อุดมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ในปี 2021 มีรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่ฮาวาย 6 ล้านคน - ภาคการท่องเที่ยวของฮาวายสามารถทำเงินได้มากกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ต้องแลกมาด้วยสภาพแวดล้อมที่ค่อย ๆ พังครืน ถนนเริ่มเสื่อมโทรม แถมนักท่องเที่ยวยังไปรบกวนสัตว์ป่าในท้องถิ่นอีกด้วย - จอช กรีน ผู้ว่าการรัฐฮาวาย เปิดเผยว่าเตรียมเสนอร่างกฎหมายเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมด้านสภาพอากาศ หรือ Climate Fee เป็นจำนวนเงิน 25 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 900 บาท ฮาวาย เกาะสวรรค์ของนักท่องเที่ยว แต่เป็นนรกสำหรับชาวบ้านพื้นเมือง แห่กันมาเที่ยวจนเกาะแตก ขยะล้น ถนนพัง จอช กรีน ผู้ว่าการรัฐฮาวาย เตรียมเสนอร่างกฎหมายเรียกเก็บภาษีสภาพอากาศ หรือ Climate Fee มาเที่ยวต้องจ่าย 900 บาท ฮาวาย สวรรค์นักท่องเที่ยว นรกสำหรับใคร? ว่ากันว่า "ฮาวาย" คือดินแดนที่อุดมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ ไปราว 3,300 กม. ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรแปซิฟิก ทัศนียภาพที่สวยงามราวภาพวาดคือหนึ่งในปัจจัยที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมา ณ สถานที่แห่งนี้ โดยในปี 2021 มีรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่ฮาวาย 6 ล้านคน แต่...เมื่อมากคนก็มากความ มีรายงานว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไปส่งผลให้รัฐฮาวายพบเจอปัญหาเต็มไปหมด อาทิ คนท้องถิ่นถูกแย่งทรัพยากร จราจรติดขัด ด้วยเหตุนี้ ปี 2022 รัฐฮาวายจึงออกแถลงการณ์ขอให้นักท่องเที่ยวหยุดยงโขยงกันมาเที่ยว คำถามคือมันห้ามได้งั้นหรือ? พูดได้เลยว่าแทบไม่เป็นผล อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวแห่กันมาที่ฮาวายคือ "ตามรอยซีรีส์" ฮาวายถือเป็นหนึ่งในโลเคชันฮิตสำหรับถ่ายทำทั้งซีรีส์ หรือภาพยนตร์ ทั้งนี้ มีการหยิบยกซีรีส์ The White Lotus ซึ่งมีฉากหลังเป็นฮาวายมากล่าวอ้าง โดยระบุว่าตั้งแต่ซีรีส์ออนแอร์ มีคนจำนวนมากหลั่งไหลมาที่ฮาวาย ห้ามไม่ฟัง ไม่ห้ามแล้ว มาเที่ยวได้ แต่ขอเก็บเงินนะ จอช กรีน ผู้ว่าการรัฐฮาวาย เปิดเผยว่าเตรียมเสนอร่างกฎหมายเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมด้านสภาพอากาศ หรือ Climate Fee เป็นจำนวนเงิน 25 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 900 บาท ซึ่งหากร่างกฎหมายนี้ผ่านการพิจารณา และมีการบังคับใช้ นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องจ่ายเงินจำนวนนี้เป็นค่า add-on โดยจะจ่ายตอนเช็กอินที่พัก โรงแรม หรือ air-bnb ก็โดนเรียกเก็บหมด โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถเก็บค่าธรรมเนียมได้ 68ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 2.4 พันล้านบาท คำถามคือ "เอาเงินไปทำอะไร?" เว็บไซต์ยูโรนิวส์ระบุว่า เงินค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จะถูกใช้ไปกับการรักษาความสะอาดของชายหาด ค่าจัดการขยะ และปกป้องไฟป่า จอช กรีน เปิดเผยว่า "เพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เงินแค่นี้นับว่าน้อยมาก" นักท่องเที่ยวป่วนฮาวาย บอกก่อนว่ารัฐฮาวายมีประชากรราว 1.4 คน ทว่า ตัวเลขล่าสุดจากปีที่แล้ว พบว่า มีนักท่องเที่ยวแห่กันมาที่นี่ราว 9.5 ล้านคน หากมองเรื่องเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยวของฮาวายสามารถทำเงินได้มากกว่า1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ต้องแลกมาด้วยสภาพแวดล้อมที่ค่อย ๆ พังครืน โครงสร้างพื้นฐานอย่างถนนเริ่มเสื่อมโทรม แถมนักท่องเที่ยวยังไปรบกวนสัตว์ป่าในท้องถิ่นอีกด้วย เคยมีกรณีนักท่องเที่ยวไปจับ-เล่นกับแมวน้ำชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือแม้แต่สร้างขยะใน Diamond Head เส้นทางภูเขาไฟยอดนิยม ที่มา: Euro News https://www.springnews.co.th/keep-th...ainable/851789
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
แล้วเต่าทะเลล่ะ? วลีฮิตจากช่อง FAROSE เอาไว้พูดเตือนสติปัญหาสิ่งแวดล้อม SHORT CUT - "แล้วเต่าทะเลล่ะ?" คือวลีฮิตจากช่อง FAROSE ถูกพูดครั้งแรกในรายการไกลบ้าน Ep.33 เพื่อรณรงค์ปัญหาสิ่งแวดล้อม - เว็บไซต์ Condor Ferries ได้คาดการณ์ว่ามีหลอดพลาสติกประมาณ 8.3 พันล้านหลอดกระจายอยู่ตามชายฝั่งทั่วโลก - การศึกษาจากกองทุนสัตว์ป่าโลก ระบุว่า เต่าทะเล 1 ใน 2ตัว ถูกพบว่ากินพลาสติกเข้าไป และหลายตัวต้องอดอาหารเพราะในกะเพราะเต็มไปด้วยพลาสติก SPRiNG ชวนอ่านที่มา "แล้วเต่าทะเลล่ะ?" วลีฮิตจากช่อง FAROSE สะท้อนปัญหาเรื่องขยะพลาสติกในทะเลอย่างไร แล้วเต่าทะเลเกี่ยวอะไรกับหลอดพลาสติก ติดตามได้ที่บทความนี้ "สวัสดีค่ะ...คุณอยู่กับฟาโรส และนี่คือไกลบ้าน" เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ 2567 สปริงนิวส์ในคอลัมน์ Keep The World ขอนำเสนอคำว่า "แล้วเต่าทะเลล่ะ?" วลีฮิตจากช่อง FAROSE จากรายการไกลบ้าน Ep.33 โดยในเทปนี้ได้ "พี่ต่อ" แห่งไฮเดลแบกมาเป็นแขกรับเชิญ โดยในวินาทีที่ 18.28 มีการพูดว่าต้องการรณรงค์ให้เลิกใช้หลอดพลาสติก จากนั้น คุณฟาโรสได้ยกตัวอย่างสถานการณ์ว่า "สมมติว่าใครหยิบหลอดพลาสติกขึ้นมา และกำลังจะกินน้ำ กะเทยก็ตะโกนขึ้นมาว่า แล้วเต่าทะเลล่ะ?" แม้จะฟังดูเป็นประโยคขำขัน แต่หากลองไปค้นพบ "เต่าทะเล หลอดพลาสติก" ในกูเกิล คุณจะพบกับภาพเต่าทะเลที่มีหลอดพลาสติกเสียบแทงรูจมูกอยู่ ซึ่งมันก็สะท้อนว่าหลอดที่เราเพิ่งดูดไปหยก ๆ หารู้ไม่ว่า...วันดีคืนดีมันอาจกลายเป็นอาวุธที่ไปทำร้ายสัตว์ในทะเลได้ "หลอดพลาสติก" อันตรายต่อสัตว์น้ำอย่างไร? เว็บไซต์ Condor Ferries ได้คาดการณ์ว่ามีหลอดพลาสติกประมาณ 8.3 พันล้านหลอดกระจายอยู่ตามชายฝั่งทั่วโลก ซึ่งปริมาณเท่านี้ก็ถือว่าเยอะแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า...นี่เป็นแค่ 1% ของจำนวนพลาสติกในทะเลทั้งหมดทั่วโลก รายงานปี 2023 จากองค์กรไม่แสวงผลกำไร Ocean Conservancy ซึ่งมักจัดกิจกรรมเก็บขยะริมชายหาดอยู่ทุกปี ได้เปิดเผยว่าหลอดพลาสติกคือหนึ่งในพลาสติกที่เก็บได้มากที่สุด การศึกษาจากกองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund) ระบุว่าเต่าทะเล 1 ใน 2 ตัว ถูกพบว่ากินพลาสติกเข้าไป และหลายตัวต้องอดอาหารเพราะในกะเพราะเต็มไปด้วยพลาสติก ซึ่งเรื่องนี้จะไปโทษเต่าก็ไม่ได้ เพราะเต่ามันก็แค่หาอาหาร อ้าปากงับลูกปลา และพวกมันก็ไม่รู้ด้วยว่าที่กินเข้าไปนั้นคือ "พลาสติก" ภายหลัง หลายประเทศทั่วโลกจึงเกิดแคมเปญเก็บขยะริมชายหาด หรือแม้แต่รณรงค์ให้เลิกใช้หลอดพลาสติก ลากลามไปจนถึงเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศแบนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพราะหวังแต่จะพึ่งพาจิตสำนึกจากมนุษย์คงเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ทั้งนี้ วลีอย่าง "แล้วเต่าทะเลล่ะ?" ได้กลายเป็นประโยคเตือนสติ และรณรงค์เรื่องปัญหาพลาสติกในประเทศไทย แม้ช่วงแรก ๆ อาจถูกพูดถึงแค่ในกลุ่มคอมมูนิตี้ หรือที่เรียกกันว่า "ชาวช่อง" แต่คุณฟาโรสเปิดเผยว่า มีหลายองค์กรที่ได้หยิบยืมวลีนี้ไปใช้เพื่อสื่อสารเรื่องปัญหาพลาสติก ที่มา: Condor Ferries https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/851786
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|