#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศเวียดนามตอนบนแล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ในวันนี้ (15 ธ.ค. 63) ลักษณะเช่นนี้จะทำให้มีฝนเล็กน้อย บางแห่งในระยะแรกบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก หลังจากนั้นอุณหภูมิลดลง 1-3 องศาเซลเซียสกับมีลมแรงและมีอากาศเย็นถึงหนาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีหมอกในตอนเช้ากับมีหมอกหนาในบางพื้นที่ และบริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 15 - 20 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส อากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง ส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 15 - 20 ธ.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย และประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ออสเตรเลียอ่วม เจอสภาพอากาศเลวร้าย พายุถล่ม ทะเลคลั่ง คลื่นสูง 8 ม. ชาวออสเตรเลียทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศ เผชิญสภาพอากาศเลวร้าย พายุฝนฟ้าคะนองหนัก ทะเลมีคลื่นสูง บ้านเรือนกว่า 2 พันหลังไฟฟ้าดับ โทร.ขอความช่วยเหลือวุ่น เมื่อ 14 ธ.ค.63 สำนักข่าวบีบีซีรายงานชาวออสเตรเลียบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกของประเทศที่ยาวเหยียดนับ 1,000 กิโลเมตร ต้องเผชิญกับสภาพอากาศเลวร้าย มีพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก และในทะเลเกิดคลื่นสูงผิดปกติ รวมทั้งที่เมืองบริสเบน และเมืองโกลด์โคสต์ เมืองท่องเที่ยวตากอากาศชื่อดังของออสเตรเลีย ขณะที่บ้านเรือนกว่า 2,000 หลังในหลายเมืองไฟฟ้าดับ เนื่องจากพายุลมแรงได้ทำให้เสาไฟฟ้าหักโค่นจำนวนมาก ตามรายงาน ในบางพื้นที่ได้เกิดคลื่นสูงถึง 8 เมตร ซัดชายฝั่ง จนถือเป็นคลื่นสูงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น ขณะที่หน่วยงานฉุกเฉินได้รับโทรศัพท์ที่ประชาชน โทร.เข้ามาขอความช่วยเหลือกว่า 700 สาย ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 13 ธ.ค.63 และมีประชาชนเกือบ 10 คนขอความช่วยเหลือขณะต้องติดอยู่ในพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมไหลหลาก สำนักอุตุนิวมวิทยาออสเตรเลีย แจ้งเตือนว่า ฤดูร้อนปีนี้ของออสเตรเลียจะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ลานีญา ที่จะก่อให้เกิดฝนตกมากขึ้นและมีพายุหมุนเขตร้อนมากขึ้นด้วย สำหรับสภาพอากาศเลวร้าย พายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนักได้เกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของออสเตรเลีย อย่างเช่น ซันไชน์ โคสต์ และโกลด์ โคสต์ ในรัฐควีนส์แลนด์ รวมทั้งไบรอัน เบย์ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ โดยมีบางพื้นที่เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง จนวัดปริมาณน้ำฝนสะสมในช่วง 24 ชั่วโมงกว่า 400 มิลลิเมตรเลยทีเดียว https://www.thairath.co.th/news/foreign/1994485
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ทช.เผยคดี 2 ต่างชาติจับสัตว์ทะเลเซลฟี่พะงัน ส่งกลับประเทศแล้ว 1 อีกรายขอยื่นอุทธรณ์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เผยความคืบหน้าคดีนักดำน้ำต่างชาติ จับสัตว์ทะเลถ่ายเซลฟี่ทะเลเกาะพะงัน จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย ปรับคนละหมื่นบาท พร้อมกับเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรฯ และถูกส่งกลับประเทศเรียบร้อยแล้ว 1 ราย อีกรายขอยื่นอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. เพจเฟซบุ๊ก "กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" ได้เผยถึงเรื่อง "ความคืบหน้าคดีนักดำน้ำต่างชาติ จับสัตว์ทะเลถ่ายเซลฟี่ทะเลเกาะพะงัน" เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2563 กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติซีการ์เดียน เผยภาพผ่านสื่อออนไลน์ พบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2 คนดำน้ำในทะเลบริเวณเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งการไล่จับสัตว์ทะเลในแนวปะการัง และใช้ไม้เซลฟีเขี่ยให้สัตว์ตื่นและวิ่งหนี จากกรณีดังกล่าว กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)ได้รับแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านช่องทางต่างๆ และมีการประสานข้อมูลจากอธิบดีโสภณ ทองดี ว่านายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ซึ่งไม่พอใจการกระทำของนักท่องเที่ยวทั้ง 2 คนอย่างมาก เช่นเดียวกับพี่น้องประชาชนผู้รักทะเล โดยมีสั่งการเร่งด่วนให้ตามหาตัว เพื่อมาดำเนินการตามกฎหมาย เพราะถือเป็นการมาเที่ยวที่ไม่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และไม่มีจิตสำนึก ทั้งนี้ ต่อมา วันที่ 1 กันยายน 2563 ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ตม.) ได้จับกุม พร้อมกับเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรฯ ของชาวต่างชาติทั้ง 2 ราย คือ 1.Mr. Francesco Simonetti (นายฟรานเชสโก ซีโมเนสติ) สัญชาติอิตาเลี่ยน 2.Mr. Attila Ott (นายแอตตีลา ออต) สัญชาติฮังการี โดยการดำเนินคดีในชั้นคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เปรียบเทียบปรับผู้ต้องหาทั้งสองคนละ 10,000 บาท จากนั้น พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาที่ ตม.จว.สุราษฎร์ธานี และ วันที่ 16 กันยายน 2563 ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้ส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปที่กองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (กทม.) เพื่อรอการผลักดันส่งกลับประเทศ โดยนาย Mr. Attila Ott (นายแอตติลา ออด) สัญชาติฮังการี ผู้ต้องหาที่ 2 ได้ถูกส่งกลับประเทศเรียบร้อยแล้ว ส่วนราย Mr. Francesco Simonetti (นายฟรานเชสโก ซิโมเนสติ) สัญชาติอิตาเลี่ยน ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ยื่นอุทธรณ์การเพิกถอนให้อยู่ในราชอาณาจักรกับ ตม.จว.สุราษฎร์ธานี (เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2563) และต่อมา ทราบจากเจ้าหน้าที่กองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งควบคุมตัว Mr. Francesco Simonetti ว่า Mr. Francesco Simonetti ได้ใช้เงินสด 50,000 บาท เพื่อเป็นการประกันตัว และเพื่อรอการพิจารณาการอุทธรณ์การเพิกถอนดังกล่าว ซึ่งอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง จะได้นำเรื่องการอุทธรณ์ฯ เข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาต่อไป https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000127721
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
คึกคัก! 'เกาะลันตา' จัดเทศกาลหอยวิ่ง กระตุ้นท่องเที่ยวเมืองกระบี่ 13 ธ.ค.63 ที่ชายหาดบ้านหลังสอด หมู่ที่1 ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ นายสมบูรณ์ เต็มชื่น นายอำเภอเกาะลันตา เป็นประธานเปิดงาน เทศกาลหอยวิ่ง ครั้งที่ 4 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของ ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา กระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากโควิค-19 สนับสนุนการท่องเที่ยวให้คนไทยเที่ยวไทย โดยเฉพาะอำเภอเกาะลันตาที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวมากมายของจังหวัดกระบี่ โดยมีนายณัฐ เชาว์กิจค้า นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะลันตา จ.กระบี่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน คณะกรรมการการจัดงานเทศกาลวิ่งหอย ให้การต้อนรับ สำหรับเทศกาลหอยวิ่ง เพื่อต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยว ของตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา ต้องการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนในตำบลเกาะลันตาน้อย ให้คงอยู่คู่ชุมชน ในด้านการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในด้านการทำประมงพื้นบ้าน โดยเฉพาะการหาหอยวิ่ง ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในพื้นที่ชายหาดบ้านหลังสอด ซึ่งมีความยาวของชายหาดมากกว่า 6 กิโลเมตร ในช่วงเดือนธันวาคม มกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี เพื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร และค้าขาย ซึ่งนักท่องเที่ยวสามรถสัมผัสถึงวิถีชีวิตของชุมชนได้จริงๆอย่างใกล้ชิด ซึ่งภายในงานมีการออกร้าน จำหน่ายสินค้าในชุมชน และกีฬาพื้นบ้าน การแข่งจับหอยวิ่ง การแข่งขันปรุงอาหารจากหอยวิ่ง ที่มีจำนวนมากเป็นเมนูต่างๆจากเซฟฝีมือดีจากโรงแรมชั้นนำในพื้นที่อำเภอเกาะลันตา และการแข่งขันปรุงเมนูหอยวิ่งจากชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งให้ความสนใจเข้าร่วมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก นายณัฐ เชาว์กิจค้า นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะลันตา จ.กระบี่ กล่าวว่า หอยวิ่งจะพบมากในพื้นที่หาดหลังสอด ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ในช่วงเดือนธันวาคม มกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งในปีนี้ทางสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวอำเภอเกาะลันตา ต้องการผลักดันวัตถุดิบ หอยวิ่งให้มีการพัฒนาในเรื่องของการแปรรูปอาหาร ให้สามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพของวัตถุดิบให้สูงขึ้น ยกระดับการทำครัวให้สูงขึ้น รวมถึงการรับซื้อหอยวิ่งที่มีราคาถูก ให้มีราคาที่สูงขึ้น เพื่อที่จะให้ชาวบ้านในพื้นที่มีรายได้ รวมไปถึงการทำอาหาร เมนูแปลกๆจากหอยวิ่ง เมนูหอยวิ่งจะเป็นเมนูพิเศษที่ขึ้นเหลาในอนาคต และมีราคาแพง ซึ่งนักท่องเที่ยวในปัจจุบันต้องการบริโภคอาหานที่สดสะอาด แปลกใหม่ และเป็นวิถีชีวิตชองชุมชน จึงผนวกวิถีชีวิตของชุมชน และวัตถุดิบที่มีให้มันรวมด้วยกันได้ เพื่อให้มีเมนูหอยวิ่งประจำท้องถิ่น รองรับภาคการท่องเที่ยวของอำเภอเกาะลันตา จ.กระบี่ https://www.naewna.com/likesara/538269
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวอิศรา
ขยะทะเล : หายนะของจริง ................... โดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ "...องค์ประกอบขยะทะเลที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งไทยทำสถิติสำรวจไว้บอกว่า เป็นหมวด พลาสติกอันได้แก่ ขวด หลอด จานชามพลาสติกราว30% เป็นโฟม ราว 20% เป็นถุงพลาสติก ซองถุงขนมอบกรอบ 37% ที่เหลือคือวัสดุอื่นที่ยังไม่ถึงขนาดอันตรายเท่าสิ่งที่แจกแจงไป เช่นแก้ว เช่นกระป๋อง ซึ่งจมลงและยังไม่สร้างปัญหาขึ้นมาเพราะการย่อยสลายของมันเกิดคนละแบบกับพลาสติกที่จะแตกตัวออกมา..." ............................... ปัจจัยสาเหตุในการเผาทำลายป่าทั่วโลกที่ใหญ่ที่สุดมาจากการรุกป่าเพื่อปลูกพืชไร่ ไม่ใช่เพื่อจะกินเองหรอกแต่เพื่อเลี้ยงปศุสัตว์ ปลูกพืชไร่เสร็จก็เผาตอซังทิ้ง เกิดควันที่ทั้งสร้างภาวะโลกร้อนและทำร้ายปอดสิ่งมีชีวิตทั่วไปเสียอีกต่อ ไม่นับเนื่องสร้างภาวะโลกร้อน ซึ่งไม่ใช่ร้อนจากเปลวไฟนะครับ แต่ร้อนเพราะควัน ฝุ่น และคาร์บอนไดออกไซด์จะกาอให้เกิดภาวะเรือนกระจกเพิ่มในชั้นบรรยากาศ ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่สามารถสะท้อนกลับออกไปในอวกาศ น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็ว อากาศทั่วโลกปั่นป่วน บลาๆๆเล่าได้อีกยาว สังคมของมนุษย์ยุคใหม่สนใจสุขภาพ เริ่มใช้แรงงานน้อยลง จึงพยายามลดคาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนมาเพิ่มที่การกินโปรตีนแทน โปรตีนมาจากปศุสัตว์กับโปรตีนจากทะเลจึงเป็นที่มาหลักๆของโปรตีนโลกที่สังคมมนุษย์ใช้บริโภค และแม้บางคนไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังใช้เกลือทะเลมาปรุงอาหาร มันก็คือน้ำทะเลที่ระเหยจนเหลือแต่สิ่งเล็กๆที่เป็นผลึกของความเค็มคือเหลือเกลือและ บัดนี้รวมถึงไมโครของพลาสติกที่ก็ไม่อาจระเหยไปพร้อมไอน้ำนั่นเอง วงจรบนจานอาหารของเราจึงพาเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างเสมอ และเท่าที่สังเกต พาไปในทางทำลายล้างเสียเป็นส่วนมาก ไม่ทำลายสุขภาพตัวเองก็ทำลายสรรพสิ่งในโลก ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว สลับไปสลับมาตามรสนิยม ขยะทะเลจึงไม่ใช่ปัญหาจากแต่แพขยะขนาดใหญ่ยักษ์ที่ลอยเท้งเต้งไปมาตามกระแสน้ำอุ่นน้ำเย็นในมหาสมุทรแล้วซัดเข้ามาที่ฝั่งหรือหาดทรายของแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่รวมถึงขยะทะเลที่พัดเข้ามาติดชายฝั่งแล้วฝังตัวลงไปในป่าชายเลน และใต้ผืนทราย ใต้ตมเลนของพื้นทะเลซึ่งเป็นบ้านหลังแรกของสัตว์ทะเลเสมอด้วย องค์ประกอบขยะทะเลที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งไทยทำสถิติสำรวจไว้บอกว่า เป็นหมวด พลาสติกอันได้แก่ ขวด หลอด จานชามพลาสติกราว30% เป็นโฟม ราว 20% เป็นถุงพลาสติก ซองถุงขนมอบกรอบ 37% ที่เหลือคือวัสดุอื่นที่ยังไม่ถึงขนาดอันตรายเท่าสิ่งที่แจกแจงไป เช่นแก้ว เช่นกระป๋อง ซึ่งจมลงและยังไม่สร้างปัญหาขึ้นมาเพราะการย่อยสลายของมันเกิดคนละแบบกับพลาสติกที่จะแตกตัวออกมา แปลว่า87%ของขยะทะเล จะค่อยๆแตกตัวเป็นไมโครพลาสติกตามเวลาทางสูตรเคมีของมัน พลาสติกและโฟมที่ผลิตเป็นครั้งแรกเชิงอุตสาหกรรมของโลกในช่วง60ปีที่ผ่านมานั้น ด้วยอายุของมันจึงยังอยู่ครบแทบทุกชิ้นถ้าไม่ถูกเผาไปเสียก่อน และส่วนใหญ่เดินทางไปตามการไหลของน้ำไปถึงมหาสมุทรกันแล้ว นวัตกรรมที่ฝรั่งเริ่มคิดทำในสองปีมานี้เช่น ใช้ตาข่ายไนล่อนคลุมปลายท่อระบายน้ำทิ้งของเมือง เพื่อสกัดขยะไม่ให้ไปต่อจนถึงทะเล วางทุ่นลอยในแม่น้ำใหญ่เพื่อดักขยะที่ลอยมา หรือแม้แต่เรือเก็บขยะ ทั้งแบบทันสมัยไฮเทคหรือแบบพายกันไปเก็บอย่างดั้งเดิม จึงเป็นวิธีที่ทำได้เฉพาะกับขยะลอยน้ำให้เราเห็นด้วยตาและมีขนาดที่ใหญ่ราวฝ่ามือขึ้นไปทั้งสิ้น แต่ถ้าเล็กระดับหลอดดูด ก้นบุหรี่ หรือแท่งสำลีปั่นหู ไม้จิ้มฟันพลาสติก ฝาขวด จะเล็ดลอดตาข่ายและการตักด้วยเครื่องมือต่างๆได้ต่อไป ส่วนขยะใต้น้ำและไมโครพลาสติกที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นนั้น เท่าที่รู้ มนุษย์เรายังไม่มีปัญญาจะทำอะไรกับมันได้ มากไปกว่าดำน้ำลงไปจัดการทีละนิดๆ ที่เราเคยสะเทือนใจกับมาเรียม พะยูนน้อย วาฬ โลมา เต่าและนกทะเลที่ตายไปเพราะกลืนขยะทะเลเข้าไปแล้วกะเพาะย่อยพลาสติกไม่ได้หรือแห อวน สายเบ็ดและเปลือกบรรจุภัณฑ์พันตัวมันจนมันว่ายน้ำไม่ไหวทำให้มันตายนั้น ไม่เพียงแต่จะยังมีต่อไปเรื่อยๆ แถมจะมีมากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นภาพที่หดหู่ใจ แต่เมื่อไหร่ที่ไมโครพลาสติกกลับเข้ามาสะสมในร่างกายผู้กินเกลือทะเล และหรือเนื้อสัตว์ที่มีไมโครพลาสติกสะสมไปนานเข้า ทีนี้เราเองอาจจะได้เผชิญกับภาวะฉุกเฉินอีกรูปแบบด้านอาหาร ที่ประวัติศาสตร์ยังไม่เคยพยากรณ์เอาไว้ ดังนั้น ความตื่นตัวในการเปลี่ยนวิถีการกินอยู่ การบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์ การขจัดสิ่งเหลือใช้ที่ไม่ย่อยสลาย จึงต้องใช้มากกว่าสายตาเป็นเครื่องตัดสิน ทะเลเป็นเครื่องมือธรรมชาติที่ใช้รองรับการทำละลายขั้นสุดท้ายของทุกวงจรของโลกใบนี้ มีเพียงไอน้ำที่ระเหยจากทะเลเท่านั้นที่กลับไปเริ่มกระบวนการบริสุทธิ์ได้ใหม่ ที่เหลือจึงได้แต่สะสมปนกันต่อไป เอาขยะที่จะเป็นอันตรายต่อสรรพสิ่งออกจากทะเลกันดีกว่า วันหนึ่งในอนาคต รัฐประเทศต่างๆอาจจะต้องร่วมลงขันสร้างเรือโรงไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากขยะทะเลที่แล่นกวาดเก็บขยะขึ้นมาเผาอย่างถูกต้องทางวิชาการโดยไม่ต้องกลับเข้าฝั่งในแต่ละทะเลและคาบสมุทร ฟังดูอาจเกินจินตนาการไปก็ได้ แต่ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นหนึ่งในวิธีจัดการขยะทะเลที่กำลังมีปริมาณไล่หลังจำนวนปลาในทะเลเสียแล้ว ถ้ารอจนทะเลสำรอกหรือเป็นไข้ แม้ยังไม่มีคลื่นสึนามิถล่มชายฝั่ง แต่ก็จะสามารถสร้างความวินาศให้วัฏจักรการอยู่รอดของทุกชีวิตบนบก เช่นกัน เปลี่ยนแปลง เปิดใจ และร่วมกันเรียนรู้ใหม่ เรื่องขยะกับตัวเราครับ https://www.isranews.org/article/isr...94171-sea.html
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|