เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 10-04-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีอากาศร้อนจัดบางแห่งในบริเวณภาคเหนือ และภาคกลาง ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มมีกำลังอ่อนลง ส่งผลทำให้ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย

ส่วนลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ฝุ่นละอองในระยะนี้ : ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันปานกลางถึงมากเนื่องจากการระบายอากาศไม่ดี ส่วนภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกและภาคใต้ยังคงมีการสะสมน้อย เนื่องจากการระบายอากาศในบริเวณดังกล่าวยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 27-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-39 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 10 - 13 เม.ย. 66 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ ในขณะที่ลมใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ สำหรับลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมทะเลอันดามัน และภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อย โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 15 เม.ย. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยจะเริ่มมีผลกระทบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะถัดไป สำหรับลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมทะเลอันดามัน และภาคใต้ ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 14 ? 15 เม.ย. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงไว้ด้วย






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 10-04-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


เมื่อมหาสมุทรอุ่น สัตว์ใกล้จะสูญพันธุ์มากขึ้น



คลื่นความร้อนในทะเลได้นำไปสู่การลดลงของประชากรในแนวปะการังน้ำตื้นของออสเตรเลียอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับแนวปะการังเขตอบอุ่น

ข้อมูลจาก World economic forum ชี้ว่าการวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นในการศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature นักวิทยาศาสตร์ใช้ข้อมูลการสำรวจแนวปะการังอย่างครอบคลุมเพื่อประเมินแนวโน้มประชากรของสัตว์ในแนวปะการังน้ำตื้น 1,057 ชนิด รวมทั้งปลา ปะการัง สาหร่ายทะเล และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง พบว่าประชากร 57% ของสปีชีส์เหล่านี้ลดลงระหว่างปี 2551-2564 นอกจากนี้ 28% ของสปีชีส์ที่สำรวจเหล่านี้มีจำนวนลดลงมากกว่า 30% ซึ่งจะถือว่าพวกมันอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์หากประเมินตามเกณฑ์บัญชีแดงของ IUCN ตัวอย่างเช่น การศึกษาพบว่ามังกรทะเลวัชพืช (Phyllopteryx taeniolatus) ซึ่งเป็นปลาเฉพาะถิ่นทางตอนใต้ของออสเตรเลีย ลดลง 59% จากปี 2554 ถึง 2564

จากการศึกษา การลดลงเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่ร้อนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้นมากกว่าประมาณ 0.5? เซลเซียส เหนือระดับในปี 2008 ในทางกลับกัน ภาวะโลกร้อนที่ไม่เกิน 0.5?C ทำให้สัตว์บางชนิดเพิ่มจำนวนขึ้น

อแมนด้า เบทส์ ผู้เขียนร่วมการศึกษาและนักนิเวศวิทยาทางทะเลแห่งมหาวิทยาลัยวิกตอเรียกล่าวว่า "ในบทความนี้ ตรวจพบขีดจำกัด 0.5 องศา ซึ่งเราเห็นการเปลี่ยนแปลงของความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีนัยสำคัญ" ?ฉันวิเคราะห์ชุดข้อมูลบางส่วนจากแทสเมเนีย และฉันรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสถานที่เหล่านั้น แต่ฉันคิดว่าสิ่งพิเศษเกี่ยวกับการวิเคราะห์นี้คือช่วยให้เราสามารถทดสอบการเปลี่ยนแปลงสัมพัทธ์ทั่วทั้งออสเตรเลีย รวมถึงแทสเมเนีย นั่นทำให้เราสามารถเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงสัมพัทธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการไล่ระดับอุณหภูมิขนาดใหญ่ในออสเตรเลียได้?

การศึกษานี้ใช้ข้อมูลหลายทศวรรษที่รวบรวมในสถานที่หลายพันแห่งทั่วออสเตรเลียโดยวิทยาศาสตร์พลเมืองและโปรแกรมติดตามแนวปะการัง ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์บันทึกการลดลงของชนิดพันธุ์ทั่วออสเตรเลีย การเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เด่นชัดที่สุดเกิดขึ้นในแนวปะการังเขตอบอุ่นทางตอนใต้ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ได้รับความสนใจในการอนุรักษ์น้อยกว่าระบบนิเวศแนวปะการังเขตร้อนที่รู้จักกันดีของแนวปะการัง Great Barrier Reef

เกรแฮม เอ็ดการ์ ผู้เขียนนำและนักนิเวศวิทยาทางทะเลแห่งมหาวิทยาลัยแทสเมเนียกล่าวว่า "สำหรับสัตว์หลายชนิด มีการลดลงค่อนข้างรุนแรง และส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ของออสเตรเลียในเขตอบอุ่น แทนที่จะเป็นเขตร้อน" ?เมื่อมองย้อนกลับไป นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเมื่อพิจารณาว่าอุณหภูมิของน้ำ

เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1 องศาครึ่งเป็น 1.5? องศา นับตั้งแต่ทศวรรษ 1940 ทั่วภูมิภาคนี้ ดังนั้นทั่วโลกจึงเป็นจุดร้อนสำหรับภาวะโลกร้อน?

แนวปะการังเขตอบอุ่นอาจอยู่ใน "อันตรายต่อการสูญพันธุ์มากกว่าพันธุ์ไม้ในเขตร้อน" เนื่องจากพันธุ์ไม้เขตอบอุ่นหลายชนิดมีความไวต่อภาวะโลกร้อน และเนื่องจากมีแหล่งอาศัยเพียงเล็กน้อยให้พวกมันถอยหนีเมื่อน้ำอุ่น "โดยพื้นฐานแล้วพวกมันจะถูกผลักไปที่ขอบหน้าผาโดยมีมหาสมุทรทางตอนใต้ [เป็นปราการ] และไม่มีที่ให้ล่าถอยลงไปทางใต้อีกต่อไปเมื่อสภาพอากาศอบอุ่น" "โดยรวมแล้ว จำนวนประชากรของสายพันธุ์เหล่านี้กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว"

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แนวปะการังเขตอบอุ่นมีความเสี่ยงเป็นพิเศษเนื่องจากพวกมันมีถิ่นที่อยู่สูง กล่าวอีกนัยหนึ่ง สายพันธุ์เหล่านี้จะดิ้นรนเพื่ออาศัยอยู่ในส่วนอื่น ๆ ของมหาสมุทร นักวิจัยพบว่า 70% เป็นสัตว์เฉพาะถิ่น

อย่างเช่น 14 สายพันธุ์ในตระกูล Handfish ซึ่งเป็นปลาที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่ "เดิน" ข้ามพื้นทะเลด้วยครีบของมัน - ถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่รอบๆ แทสเมเนีย หลาย?ตัว?กำลัง?ใกล้?จะ?สูญ?พันธุ์. ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามีปลาแฮนด์ฟิช (Thymichthys politus) ที่ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤตประมาณ 100 ตัว และปลาแฮนด์ฟิชลายจุด (Brachionichthys hirsutus) ประมาณ 5,000 ตัว อีกสปีชีส์หนึ่งคือ Smooth Handfish (Sympterichthys unipennis) ถูกประกาศให้สูญพันธุ์ในปี 2020

"สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของสายพันธุ์เขตอบอุ่นที่เย็นกว่าซึ่งถูกคุกคามอย่างมาก แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่อยู่ในสายตา" "และจริงๆ แล้ว สัตว์ในเขตหนาวทั้งหมด ทั้งในออสเตรเลียและทั่วโลก ต้องการความเอาใจใส่มากกว่าที่ผู้คนจ่ายให้กับมันในทุกวันนี้"

การศึกษายังเน้นย้ำถึงการลดลงอย่างมากของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอไคโนเดิร์ม เช่น ดาวทะเลและเม่นทะเล ในเขตอบอุ่นและเย็น ตัวอย่างเช่น เอคโนเดิร์มในอุณหภูมิเย็นลดลง 20% ในช่วงที่ทำการศึกษา และเอไคโนเดิร์มในอุณหภูมิอบอุ่นลดลง 40% "ขนาดของการลดลงของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง"

"ใช่ มันสูง" "และเมื่อมองไปรอบๆ อย่างกว้างๆ ก็เห็นการลดลงของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในที่อื่นๆ ด้วย ดังนั้นฉันคิดว่าเราพลาดไป" การบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมีผลกระทบเชิงบวกมากที่สุดต่อสิ่งมีชีวิตในแนวปะการังน้ำตื้นของออสเตรเลีย แต่พวกเขายังกล่าวด้วยว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขยายความพยายามในการอนุรักษ์ในท้องถิ่นเพื่อช่วยให้แนวปะการังเขตอบอุ่นและระบบนิเวศอื่น ๆ มีความยืดหยุ่นมากขึ้นต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1062058

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 10-04-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


5 เดือน "เกาะพีพี" รายได้พุ่ง 30% ใช้อีทิกเก็ตเก็บเงินทะลุ 130 ล้าน

กรมอุทยานฯ ดันใช้ระบบอีทิกเก็ตจัดเก็บรายได้ พบอุทยานฯ หมู่เกาะพีพี ยอดซื้อตั๋วอีทิกเก็ตเพิ่ม 30% นักท่องเที่ยว 4,000 คนต่อวัน จัดเก็บรายได้วันละ 1 ล้านบาท นำส่งรายได้แล้ว 137 ล้านบาท ผู้ประกอบการเรียกร้องเร่งแก้ไขปัญหาการขอคืนเงิน กรอกข้อมูลที่มากเกิน



วันนี้ (9 เม.ย.2566) นางรักชนก แพน้อย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวว่า สถิตินักท่องเที่ยวในช่วงเดือนเม.ย.ปีนี้ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2565 พบมีรายได้เพิ่มกว่า 2-3 เท่า ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรป และรัสเซีย ขณะที่ในช่วงวันหยุดสัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยจะเพิ่มมากขึ้น

โดยคาดว่าช่วงสงกรานต์ จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะวันที่ 14 เม.ย.นี้ จึงเตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ในการดูแลแล้ว

"การขายตั๋วผ่านระบบอีทิกเก็ตเพิ่มขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 4% เพิ่มเป็น 20-30 % เฉลี่ยรายได้วันละ 1 ล้านบาท และภาพรวมตั้งแต่วันที่ 1 ค.ค.65-ปัจจุบัน เก็บรายได้ส่งให้กรมอุทยานฯ แล้ว 137 ล้านบาท"

ทั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาการซื้อตั๋วผ่านระบบอีทิกเก็ต กรณีที่นักท่องเที่ยวซื้อตั๋วมาแล้ว แต่เมื่อมาแสดงที่จุดตรวจไม่สามารถดูได้ เพราะมีปัญหาด้านสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น รวมถึงยังมีส่วนของการจัดเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษที่ระบบอีทิกเก็ต ยังไม่รองรับการเดินทางต่อไปยัง เกาะไผ่ และเกาะพีพีดอน ซึ่งยังต้องใช้ระบบการซื้อตั๋วแบบเดิมต่อไป

"กรณีที่ยังใช้ระบบการจำหน่ายตั๋วแบบเดิม จะแบ่งหน้าที่ในการจำหน่ายตั๋ว ตรวจสอบนับยอดตั๋ว ออกจากกันจากนั้นจะมาตรวจเช็กทุกวันเพื่อความถูกต้อง และป้องกันปัญหาการทุจริตด้วย"


ผู้ประกอบการชี้ปัญหาใช้ระบบอีทิกเก็ต

ขณะทึ่นายอานนท์ ปินไชย ผู้ประกอบการบริษัท เลิฟอันดามัน จำกัด กล่าวว่า จากการใช้ระบบอีทิกเก็ต พบว่ามีปัญหากรณีการขอคืนเงิน เมื่อลูกค้ายกเลิกการมาท่องเที่ยว ซึ่งการขอคืนเงินจะต้องรอการพิจารณาจากกรมอุทยานฯ ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน ทางบริษัท จึงต้องจ่ายเงินในส่งนึ้คืนให้กับลูกค้าก่อน

"รวมถึงการแก้ไขรายชื่อหากต้องการแก้ไขจะต้องแก้ไขกรอกข้อมูลใหม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้เสียเวลาในการซื้อตั๋ว"

ขณะที่ผู้ประกอบการเรือนำเที่ยวซีสตาร์ ระบุว่า การซื้อตั๋วผ่านระบบอีทิกเก็ตนั้นจะอาจติดขัดในกรณีที่ซื้อตั๋วระบบไอโอเอส รวมถึงมีข้อกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวที่อาจจะกรอกมากเกินไปเช่นเลขพาสปอร์ต

ขณะที่ตัวแทนผู้ประกอบการเรือหางยาว ระบุว่า ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการเรือหางยาว จะให้บริการลูกค้าจะไม่ได้จองล่วงหน้า และมักจะมาติดต่อเพื่อใช้บริการทันที จึงทำให้มีปัญหาในการซื้อตั้วผ่านระบบพอสมควรโดยเฉพาะกรณีลูกชาวต่างชาติ


ตั้งเป้า 2 ปีใช้อีทิกเก็ตทุกแห่งแก้ทุจริต

นายอรรถพล เจริญชันษา รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า หลังจากเดินหน้าการจัดเก็บรายได้ ผ่านระบบอีทิกเก็ตในพื้นที่แห่งชาตินำร่อง 6 แห่ง แม้ว่าอาจยังมีอัตราส่วนการใช้อีทิกเก็ตไม่มากนัก แต่จะพยายามให้เพิ่มให้มากขึ้น ตามสัญญาที่ให้ไว้กับ ป.ป.ช.ที่จะใช้ระบบอีทิกเก็ตให้ได้ 100 % ภายใน 2 ปี และปัญหาให้ที่พบหรือได้รับการแจ้งเข้ามาจะรับนำมาปรับปรุง ให้เกิดความโปร่งใส และเข้มงวด

สำหรับอุทยาแห่งชาติหาดนพรัตน์-หมู่เกาะพีพี หลังจากมีการปิดปรับปรุงให้ธรรมชาติฟื้นตัวเกือบ 2 ปี พบมีฉลามหูดำเข้ามาอาศัย บริเวณอ่าวมาหยาจำนวนมาก ประกอบกับหลังการฟื้นตัวของโควิด-19 ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวกลับมามากขึ้น

ทั้งนี้นายอรรถพล โพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊ก อรรถพล เจริญชันษา เป็นภาพของฉลามหูดำจำนวนมา แหวกว่ายหน้าอ่าวมาหยา โดยระบุว่า อ่าวมาหยาคือแหล่งคลอดและอนุบาลลูกฉลามครีบดำ และมีมาตรการห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำเพื่อลดการรบกวนลูกฉลามหูดำ


https://www.thaipbs.or.th/news/content/326462

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:42


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger