#1
|
||||
|
||||
รู้จัก ?วาฬ?
รู้จัก ?วาฬ? วาฬเป็นสัตว์เลือดอุ่น เลี้ยงลูกด้วยนม และต้องโผล่จากน้ำขึ้นมาหายใจเป็นระยะๆ ในมหาสมุทรมีวาฬอยู่หลากหลายชนิด โดยบีบีซีนิวส์ได้รวบรวมวาฬขนาดใหญ่ไว้ ดังนี้ 1.วาฬสีน้ำเงิน (Blue Whale) วาฬสีน้ำเงิน (ภาพประกอบทั้งหมดจากบีบีซีนิวส์) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่สุดและอาจจะเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดที่อาศัยอยู่บนโลก แม้กระทั่งไดโนเสาร์ตัวโตที่สุดยังตัวเล็กกว่าวาฬสีน้ำเงิน ทั้งนี้เคยพบวาฬชนิดนี้ที่มีขนาดยาวถึง 33 เมตร และหนัก 190 ตัน แต่โดยปกติมีขนาดเฉลี่ย 25-26.2 เมตร และหนัก 100-120 ตัน วาฬสีน้ำเงินอยู่สถานภาพใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) โดยในช่วงศตวรรษที่ 20 ถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์ และได้เริ่มปกป้องสัตว์ใหญ่แห่งท้องทะเลในช่วงกลางทศวรรษ 1960 และเร็วๆ นี้ประมาณว่าเหลืออยู่ในซีกโลกใต้ประมาณ 2,300 ตัว และยังมีหลักฐานว่าประชากรของวาฬขนาดใหญ่นี้เพิ่มขึ้นปีละ 7% แต่การประมาณประชากรในส่วนอื่นๆของโลกยังมีตัวเลขไม่ชัดเจน 2.วาฬฟิน (Fin whale) วาฬฟิน เป็นวาฬขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง มีขนาดเฉลี่ย 19-22.3 เมตร หนัก 45-75 ตัน และทราบว่ามีวาฬลูกผสมระหว่างวาฬฟินและวาฬสีน้ำเงินด้วย สถานภาพของวาฬชนิดนี้ใกล้สูญพันธุ์เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ยังไม่มีตัวเลขประชากรที่แน่ชัด แต่มีสัญญาณประชากรเพิ่มขึ้นในซีกโลกใต้นับแต่เริ่มปกป้องในปี 1976 แต่ชนเผ่าพื้นเมืองของกรีนแลนด์จะล่าวาฬฟินปีละ 19 ตัว และ 2-3 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นและไอซ์แลนด์เริ่มล่าวาฬชนิดนี้บ้างแล้ว 3.วาฬไรท์ (Right whale) วาฬไรท์ เป็นวาฬใหญ่เป็นอันดับ 3 โดยมีขนาดเฉลี่ย 13.5-18 เมตร และหนัก 40-80 ตัน และเนื่องจากวาฬไรท์เคลื่อนที่ช้า ว่ายน้ำใกล้ชายฝั่ง และลอยน้ำเมื่อถูกฆ่า จึงเป็นที่มาของชื่อซึ่งหมายถึงเป็นที่ ?หมายปอง? ในการล่าของมนุษย์ สถานภาพในแอตแลนติกเหนือและแปซิฟิกเหนือใกล้สูญพันธุ์ โดยมีประชากรประมาณ 200-400 ตัว แต่ทางซีกโลกใต้ไม่อยู่ในข่ายถูกคุกคาม โดยมีประชากรประมาณ 8,000-10,000 ตัว 4.วาฬเซ (Sei whale) วาฬเซ เป็นวาฬที่ว่ายน้ำเร็วและในช่วงปี 1960 ถูกล่าเป็นอันดับต้นๆเช่นเดียวกับวาฬสีน้ำเงิน วาฬฟินและวาฬหลังค่อม โดยญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้ล่าวาฬชนิดนี้เพื่อการวิจัยได้ 100 ตัว ทั้งนี้ไม่มีตัวเลขจำนวนประชากรที่แน่ชัด แต่ตกอยู่สถานภาพใกล้สูญพันธุ์ มีขนาดเฉลี่ย 13.6-16 เมตร หนัก 20-25 ตัน (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 20-03-2024 เมื่อ 07:09 |
#2
|
||||
|
||||
รู้จัก “วาฬ” (ต่อ) 5.วาฬหัวทุย (Sperm whale) วาฬหัวทุย เป็นวาฬขนาดใหญ่ชนิดเดียวที่มีฟัน มีขนาด 11-15 เมตร หนัก 20-45 ตัน ในอดีตน้ำมันของวาฬชนิดนี้ถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงจุดตะเกียงให้เมืองใหญ่ๆของสหรัฐฯ และยุโรป และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกล่ามากถึงปีละ 30,000 ตัว จนกระทั่งในปี 1982 จึงได้รับการคุ้มครอง ปัจจุบันตกอยู่ในสถานภาพมีแนวโน้มเสี่ยงสูญพันธุ์ (Vulnerable) 6.วาฬหัวบาตร (Bowhead whale) วาฬหัวบาตร เป็นวาฬที่อยู่ในทะเลขั้วโลกเหนือและมีหัวขนาดใหญ่และมีกะโหลกที่แข็งแรงพอที่จะทำให้แผ่นน้ำแข็งในทะเลแตกได้ มีขนาดใหญ่ 14-15 เมตร หนัก 50-60 ตัน ประมาณว่ามีวาฬชนิดนี้อยู่ 17,000 ตัว และไม่อยู่ในสถานภาพใกล้ถูกคุกคาม โดยคณะกรรมการควบคุมการล่าวาฬระหว่างประเทศ (International Whaling Commission) หรือไอดับเบิลยูซี (IWC) อนุญาตให้มีการล่าวาฬชนิดนี้ในอะแลสกา ชูตอตตา (Chukotka) และกรีนแลนด์ในแต่ละรัฐได้ไม่เกินปีละ 69 ตัว 7.วาฬบรูดา (Bryde's whale) วาฬบรูด้า เป็นวาฬที่พบทะเลเขตร้อน มีขนาด 13.7-14.5 เมตร หนัก 16-18.5 ตัน มีรูปร่างคล้ายวาฬเซจนเป็นที่สับสน ทั้งนี้ไม่มีข้อมูลเพียงพอสำหรับประมาณจำนวนวาฬชนิดนี้ แต่เชื่อว่ามีมากถึง 25,000 ตัวในแปซิฟิกเหนือฝั่งตะวันตก โดยญี่ปุ่นจะล่าวาฬชนิดนี้เพื่องานวิจัยปีละไม่เกิน 50 ตัว 8.วาฬหลังค่อม (Humpback whale) วาฬหลังค่อม เป็นวาฬที่ไม่อยู่สถานภาพใกล้ถูกคุกคาม คาดว่าอาศัยอยู่ในซีกโลกใต้ แอตแลนติกเหนือและแปซิฟิกเหนือราว 73,000 ตัว มีขนาด 12-14 เมตร หนัก 25-30 ตัน (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 31-10-2010 เมื่อ 11:45 |
#3
|
||||
|
||||
รู้จัก “วาฬ” (ต่อ) 9.วาฬสีเทา (Gray whale) วาฬสีเทา เป็นวาฬที่แยกเป็น 2 กลุ่มประชากรในมหาสมุทรแปซิฟิก คือกลุ่มประชากรในแปซิฟิกเหนือฝั่งตะวันตก ซึ่งมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ โดยมีจำนวนเพียง 130 ตัว ส่วนกลุ่มประชากรในแปซิฟิกตะวันออกมีจำนวนมากถึง 20,000 ตัว และวาฬชนิดนี้เป็นรู้จักในด้านการอพยพเพื่อหนีหนาวจากทะเลเบอริง (Bering) ในมหาสมุทรแปซิฟิก และทะเลชุกกี (Chukchi) ในมหาสมุทรอาร์กติกไปยังเขตน้ำอุ่นในเม็กซิโก เพื่อผสมพันธุ์และออกลูก คิดเป็นระยะทางไป-กลับไกลถึง 20,000 กิโลเมตร 10.วาฬมิงก์ (Minke whale) วาฬมิงก์ เป็นวาฬที่ถูกล่ามากที่สุดในโลก โดยญี่ปุ่นล่าวาฬชนิดนี้เพื่อวิจัยมากถึงปีละ 950 ตัว ส่วนนอร์เวย์ได้รับโควตาให้ล่าเพื่อการค้าได้ปีละ 1,000 ตัว ส่วนเรือประมงของไอซ์แลนด์จับวาฬมิงก์ปีละ 50 ตัว ส่วนชาวอินูอิตของกรีนแลนด์ล่าวาฬมิงก์เพื่อยังชีพได้มากถึง 212 ตัว วาฬขนาดเล็กที่สุดนี้ยังไม่อยู่ในสถานภาพใกล้ถูกคุกคาม โดยคาดว่ามีจำนวนประชากรในซีกโลกใต้มากถึง 450,000 ตัว และในแอตแลนติกเหนือมีจำนวนมากกว่า 145,000 ตัว ส่วนแปซิฟิกเหนือคาดว่ามีอยู่ 25,000 ตัว จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 2 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 31-10-2010 เมื่อ 11:45 |
#4
|
||||
|
||||
“วาฬสีน้ำเงิน” เจ้าสมุทรที่ใกล้สูญพันธุ์ วาฬสีน้ำเงินขณะล่า "กริลล์" (บีบีซีนิวส์) แม้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งครองผืนน้ำในมหาสมุทรทั่วโลก และมีขนาดใหญ่โตไม่น้อยกว่าตึก 8 ชั้น แต่ “วาฬสีน้ำเงิน” เกือบต้องสูญพันธุ์ไปจากโลกสีน้ำเงิน จากมนุษย์ที่ไล่ล่าอย่างหนักในช่วง 2-3 ศตวรรษที่ผ่านมา “วาฬ สีน้ำเงิน” (Blue Whale) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่สุด และอาจเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งอาศัยอยู่บนโลกนี้ แม้กระทั่งไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งเคยครองแผ่นดินบนโลกยังมี ขนาดเล็กกว่าวาฬชนิดนี้ เคยมีผู้พบเห็นวาฬสีน้ำเงินขนาดยาวถึง 33 เมตร หนัก 190 ตัน แต่โดยทั่วไปจะพบวาฬที่มีขนาดเล็กกว่านี้ โดยมีขนาดเฉลี่ย 25-26.2 เมตร หนัก 100-120 ตัน ข้อมูลจากเนชันนัลจีโอกราฟิกระบุว่า เฉพาะลิ้นของวาฬสีน้ำเงินอย่างเดียวก็หนักเท่าๆกับช้างตัวหนึ่ง ส่วนหัวใจมีขนาดพอๆกับรถยนต์คันหนึ่งเลยทีเดียว ในช่วงศตวรรษที่ 20 วาฬสีน้ำเงินถูกล่าจนเกือบจะสูญพันธุ์ กระทั่งช่วงกลางทศวรรษ 1960 ได้เริ่มมีการปกป้องวาฬชนิดนี้ และเร็วๆนี้ประมาณว่า เหลือวาฬสีน้ำเงินในซีกโลกใต้อยู่ประมาณ 2,300 ตัว อีกทั้งมีหลักฐานว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นปีละ 7% แต่ยังไม่มีการประมาณจำนวนวาฬชนิดนี้ที่ดีพอในบริเวณอื่นของโลก ถึงอย่างนั้น บีบีซีนิวส์ระบุว่า มีหลักฐานประชากรวาฬสีน้ำเงินเพิ่มจำนวนขึ้นในแอตแลนติกเหนือ โดยก่อนเริ่มอุตสาหกรรมล่าวาฬ คาดว่ามีวาฬสีน้ำเงินในท้องทะเลราว 200,000-300,000 ตัว และเชื่อว่าปัจจุบันน่าจะเหลือประมาณ 12,000 ตัว ซึ่งน้อยกว่า 1% ของจำนวนเดิมที่มีอยู่ อุตสาหกรรมล่าวาฬที่มีเทคโนโลยี ก้าวหน้ากว่าอดีตมาก (Australian Costoms Service) ทำไมต้องล่า “วาฬ” ? วาฬถูกล่าเพื่อ “เนื้อ” และ “น้ำมัน” เป็นหลัก โดยการล่าวาฬสามารถย้อนกลับไปได้ไกลถึง 3,000 ปีก่อน ค.ศ.ชาวอินนูอิตในกรีนแลนด์ล่าวาฬเพื่อยังชีพ ส่วนชาวญี่ปุ่นและนอร์เวย์ต่างมีวัฒนธรรมในการล่าวาฬ โดยการล่าวาฬเป็นอุตสาหกรรมนั้นเริ่มต้นในคริสศตวรรษที่ 17 และมีการล่าวาฬหนักขึ้นในช่วงศตววรษที่ 18-19 โดยในอดีตเมืองต่างๆของสหรัฐฯและยุโรปใช้น้ำมันจากวาฬเป็นเชื้อเพลิงในการจุดตะเกียง จนกระทั่งในปี 1986 คณะกรรมการควบคุมการล่าวาฬนานาชาติ (International Whaling Commission) หรือไอดับเบิลยูซี (IWC) ได้ห้ามการล่าวาฬเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันความต้องการน้ำมันวาฬลดลงมากและเหลือเพียงการล่าเพื่อเป็นอาหาร โดยปัจจุบันวาฬมิงก์ซึ่งเป็นวาฬขนาดเล็กที่ถูกล่ามากที่สุด ภาพสะเทือนใจเมื่ออุตสาหกรรมล่าวาฬของญี่ปุ่นจับวาฬแม่-ลูก ทั้งที่ผิดข้อห้ามของไอดับเบิลยูซี “ไอดับเบิลยูซี” คณะกรรมการจัดสรรโควตาล่าวาฬ คณะกรรมการควบคุมการล่าวาฬนานาชาติจัดตั้งขึ้นเมื่อ 2 ธ.ค.1946 ณ กรุงวอชิงตัน ดี ซี สหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อการล่าวาฬที่เหมาะสมต่อจำนวนวาฬที่มีอยู่ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมล่าวาฬ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 88 ประเทศ ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่นและนอร์เวย์ที่ล่าวาฬเป็นวัฒนธรรมด้วย ภารกิจหลักของไอดับเบิลยูซี คือกำหนดจำนวนและตารางที่เหมาะสมในการล่าวาฬ ซึ่งการกำหนดนี้เพื่อคุ้มครองวาฬบางสปีชีส์ กำหนดพื้นที่เฉพาะให้วาฬได้หลบภัยจากการล่า จำกัดจำนวนและขนาดของวาฬที่จะถูกล่า วางเงื่อนไขสำหรับการเปิด-ปิดฤดูกาลล่า และห้ามล่าลูกวาฬและวาฬตัวเมียที่มีลูกอ่อน และผู้ล่าวาฬยังต้องรวบรวมรายงานการจับ รวมถึงสถิติและข้อมูลเชิงชีววิทยาให้แก่คณะกรรมการด้วย (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
“วาฬสีน้ำเงิน” เจ้าสมุทรที่ใกล้สูญพันธุ์ (ต่อ) วาฬสีน้ำเงินแม่-ลูก ซึ่งลูกวาฬแรกเกิดมีขนาดใหญ่ถึง 6-8 เมตร (บีบีซีนิวส์) สัตว์ใหญ่ที่กินเฉพาะสัตว์เล็ก วาฬสีน้ำเงินเป็นวาฬกรองกิน (baleen whale) มีแผ่นกรองซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับเล็บที่เรียกว่า “บาลีน” (baleen) เชื่อมกับขากรรไกร และจัดเป็นสัตว์กินเนื้อ แต่เหยื่อของวาฬกลับเป็นแพลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็กๆ เวลากินอาหารสัตว์น้ำขนาดยักษ์นี้จะกลืนน้ำปริมาณมหาศาลเพื่อกรองเอา “กริลล์” (krill) สัตว์น้ำขนาดเล็กคล้ายกุ้งและกลืนกิน วาฬต้องดำน้ำลงไปล่ากริลล์ที่ความลึกประมาณ 100 เมตร และปกติจะดำน้ำนาน 20 นาที แต่มีบันทึกสูงสุดว่าดำได้นานถึง 36 นาที ทั้งนี้ วาฬสีน้ำเงินที่โตเต็มวัยกินกริลล์วันหนึ่งได้มากถึง 4 ตัน วาฬสีน้ำเงินพ่นน้ำ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของสัตว์เลี้ยงลูกนมชนิดนี้ (บีบีซีนิวส์) วาฬไม่ใช่ “ปลา” เราคุ้นเคยกับการเรียกวาฬว่า “ปลาวาฬ” เช่นเดียวกับการเรียกโลมาว่า “ปลาโลมา” แต่สัตว์น้ำทั้งสองชนิดนั้นเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่เลี้ยงลูกด้วยนม ต่างจาก “ฉลาม” ที่จัดเป็นปลาชนิดหนึ่ง ทั้งวาฬและโลมาเป็นสัตว์ในลำดับเซตาเซีย (Cetacea) เช่นเดียวกัน โดยวาฬจะหายใจได้เช่นเดียวกับคน และหายใจแต่ละครั้งสามารถดำน้ำได้นานถึง 20 นาที และวาฬยังพ่นน้ำออกจากช่องหายใจได้สูงถึง 9 เมตร วาฬแรกเกิดหนักได้ถึง 3 ตัน และมีขนาดถึง 8 เมตร โดยในช่วงปีแรกวาฬตัวน้อยจะกินนมแม่อย่างเดียวมากถึงวันละ 91 กก. ซึ่งวาฬมีอายุเฉลี่ยประมาณ 80-90 ปี โดยศัตรูของวาฬนอกจากมนุษย์แล้วยังมีปลาฉลามที่เป็นผู้ล่าอีกชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ทุกๆปียังพบว่าวาฬบาดเจ็บจากการปะทะกับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ด้วย อีกหนึ่งลีลาของวาฬสีน้ำเงิน (Julia Communication) นักท่องสมุทรส่งเสียงได้ไกล 1,600 กม. วาฬสีน้ำเงินอาศัยอยู่ทั่วไปในมหาสมุทรทั่วโลก โดยมักจะว่ายน้ำเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ปกติจะพบเพียงลำพังหรือไปเป็นคู่ ในช่วงหน้าร้อนวาฬสีน้ำเงินจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในน่านน้ำแถบขั้วโลก และจะอพยพสู่แถบศูนย์สูตรในช่วงที่ฤดูหนาวมาเยือน โดยวาฬสีน้ำเงินจะว่ายน้ำได้ไกล 8 กม.ในเวลา 1 ชั่วโมง แต่หากตื่นเต้นหรือตกใจวาฬสีน้ำเงินจะเร่งความเร็วได้ถึง 32 กม.ต่อชั่วโมง นอกจากเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว วาฬสีน้ำเงินยังเป็นสัตว์ที่เสียงดังกังวานที่สุดในโลกอีกด้วย ซึ่งภายในสภาวะที่เหมาะสม วาฬสีน้ำเงินสามารถส่งเสียงถึงวาฬอีกตัวที่อยู่ไกล 1,600 กิโลเมตรได้ โดยจะส่งชุดเสียงเป็นคลื่นสั้น เสียงครวญครางหรือโหยหวนออกไป กริลล์ตัวเล็กๆ คืออาหารหลักของวาฬตัวใหญ่ (บีบีซีนิวส์) ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าวาฬสีน้ำเงินไม่ได้ส่งเสียงเพื่อการสื่อสารเพียงอย่างเดียว แต่ใช้เพื่อนำทางใต้มหาสมุทรที่ลึกและอับแสงด้วย สถานภาพใกล้สูญพันธุ์ของวาฬสีน้ำเงินนั้น สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีสัตว์โลกใดรอดพ้นจากการคุกคามของมนุษย์ไปได้ แม้กระทั่งสัตว์ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ แต่ยังไม่สายเกินไปที่เราจะเพิ่มโอกาสให้เพื่อนร่วมโลกนี้ได้อยู่คู่กับมหาสมุทรต่อไป จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 2 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณครับสำหรับความรู้ และทำให้ผมต้องเข้าไปหาความรู้เพิ่มเติมก่อนที่จะถามพี่จ๋อมว่า ทำไมฉลามวาฬถึงไม่ติดอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะจริงๆแล้วฉลามวาฬไม่ใช่สัตว์เลือดอุ่น แต่การตั้งชื่อโดยมีคำว่า "วาฬ" ทำให้เราเข้าใจสับสนได้
ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องเรียนรู้..... ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับข้อมูล |
#7
|
||||
|
||||
ช่วยขยายความค่ะ.... พูดง่ายๆ....ฉลามวาฬ เป็น ปลา ซึ่งเป็น สัตว์เลือดเย็น แต่ความที่อยู่ในน้ำและเป็นปลาตัวโต(ที่สุดในโลก) ที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหารเหมือนวาฬ คนก็เลยเข้าใจผิดว่าปลาชนิดนี้คือวาฬ (ซึ่งเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่เลี้ยงลูกด้วยนม) แต่ด้วยความที่รูปร่างเกิดไปเหมือนฉลาม ตามสายพันธุ์ที่แท้จริง คนก็เลยตกลงปลงใจเรียกปลาชนิดนี้ว่า "ฉลามวาฬ" ด้วยประการฉะนี้...แล
__________________
Saaychol |
#8
|
||||
|
||||
ขอบพระคุณสำหรับเนื้อหา และสาระน่ารู้ค่ะ พี่น้อย
__________________
Superb_Sri_Nuan.Ray ณ SOS |
#9
|
||||
|
||||
ด้วยความยินดีจ้ะ...น้องติ่ง ต้องขอบคุณคุณสายน้ำด้วยจ้ะ....
__________________
Saaychol |
#10
|
||||
|
||||
กราบงามๆๆ ด้วยคร้าบบบพี่จ๋อมมมม...
__________________
Superb_Sri_Nuan.Ray ณ SOS |
|
|