#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง เมื่อเวลา 01.00 ของวันนี้ (28 ก.ค. 67) พายุดีเปรสชั่น "แคมี" ที่ปกคลุมบริเวณมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงแล้ว โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนหรือฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 28 - 30 ก.ค. ส.ค. 67 ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 31 ก.ค. ? 2 ส.ค. 67 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านประเทศเมียนมาและลาวตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนเลดลงแต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง พายุโซนร้อน "แคมี" ที่ปกคลุมบริเวณมณฑลเจียงซี ประเทศจีน คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับในระยะต่อไป โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในระยะนี้ไว้ด้วย ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 29 ก.ค. ? 1 ส.ค. 67 ประชาชนบริเวณภาคเหนือ และตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม และเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ฟิลิปปินส์เตือน เชื้อเพลิงเริ่มรั่วจากเรือบรรทุกน้ำมัน ล่มในอ่าวมะนิลาแล้ว หน่วยยามฝั่งของฟิลิปปินส์ตรวจพบว่า เชื้อเพลิงอุตสาหกรรม 1.4 ล้านลิตรบนเรือบรรทุกน้ำมัน ที่ล่มในอ่าวมะนิลา เริ่มรั่วไหลออกมาบ้างแล้ว สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หน่วยยามฝั่งของประเทศฟิลิปปินส์เปิดเผยในวันเสาร์ที่ 27 ก.ค. 2567 ว่า น้ำมันเชื้อเพลิงอุตสาหกรรม 1.4 ล้านลิตรที่เรือบรรทุกน้ำมัน เอ็มที เทอร์รา โนวา (MT Terra Nova) ขนมา ก่อนจะอับปางในอ่าวมะนิลาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานั้น เริ่มรั่วไหลออกมาบ้างแล้ว เอ็มที เทอร์รา โนวา อับปางกลางทะเลท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้ายเพราะของพายุมรสุมซึ่งรุนแรงจากอิทธิพลของไต้ฝุ่น แคมี ที่เคลื่อนตัวผ่านฟิลิปปินส์ไปก่อนหน้านั้น ทำให้ลูกเรือเสียชีวิต 1 ศพ ส่วนอีก 16 คนได้รับความช่วยเหลืออย่างปลอดภัย แต่แดนตากาล็อกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเกิดหายนะน้ำมันรั่วครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ หลังจากเรือล่มและจมทะเลเมื่อวันพฤหัสบดี หน่วยยามฝั่งของฟิลิปปินส์ตรวจพบคราบน้ำมันกระจายตัวกินพื้นที่ประมาณ 3.7 กม. ซึ่งในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลของเรือที่รั่วออกมา ไม่ใช่เชื้อเพลิงอุตสาหกรรมที่เป็นสินค้า อย่างไรก็ตาม ในวันเสาร์ คราบน้ำมันดังกล่าวขยายตัวมากกว่า 3 เท่าจนครอบคุลมพื้นที่ 12-14 กม. ในอ่าวมะนิลา ซึ่งชาวประมงและธุรกิจท่องเที่ยวจำนวนมากของฟิลิปปินส์ต้องพึ่งพาเพื่อหาเลี้ยงชีพ พลเรือตรี อาร์มันโด บาลิโล โฆษกหน่วยยามฝั่งเปิดเผยว่า นักประดาน้ำที่ถูกส่งลงไปตรวจสอบตัวเรือ พบเห็นการรั่วไหล "เล็กน้อย" จากวาล์ว แต่ยังไม่อยู่ในระดับที่น่ากังวล และพวกเขาหวังว่า จะสามารถเริ่มการถ่ายเทน้ำมันออกจากเรือลำนี้ได้ในวันอาทิตย์นี้ โดยคาดว่าจะใช้เวลาทั้งหมด 7 วันจึงจะเสร็จสิ้น อนึ่ง เรือ เอ็มที เทอร์รา โนวา อับปางห่างจากเมืองท่าลิเมย์ ทางตะวันตกของกรุงมะนิลา เพียง 7 กม. และจมอยู่ใต้ทะเลที่ความลึก 34 ม.เท่านั้น ซึ่งหน่วยยามฝั่งเคยเตือนก่อนหน้านี้ว่า หากน้ำมันอุตสาหกรรม 1.4 ล้านลิตรบนเรือลำนี้รั่วไหลออกมาทั้งหมด มันจะทำให้เกิดหายนะต่อสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง ฟิลิปปินส์เคยเผชิญเหตุน้ำมันรั่วกลางทะเลมาแล้ว โดยเมื่อปีก่อน เรือบรรทุกน้ำมันขนเชื้อเพลิงอุตสาหกรรม 800,000 ลิตร ล่มนอกชายฝั่งเกาะมินดาเนา ทำให้น้ำมันรั่วไหลเป็นจำนวนมาก ทำให้น้ำทะเลกับชายหาดปนเปื้อน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการประมงและการท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานกหลายเดือนกว่าจะกำจัดคราบน้ำมันได้ทั้งหมด ที่มา : cna https://www.thairath.co.th/news/foreign/2803751
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
สำรวจพบพะยูน-เต่าทะเล-โลมา สมบูรณ์ "ปิ่นสักก์" ใช้อากาศยานปีกตรึงบินทั่วอันดามัน ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเพิ่มขึ้นและลดลงของจำนวนสัตว์ทะเลหายากที่นับวันใกล้สูญพันธุ์ไปจากท้องทะเลไทย จึงมอบหมายให้ ทช.ติดตามสถานการณ์สัตว์ทะเลหายากในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันพร้อมนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสำรวจให้ได้มากที่สุด รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานในสังกัด ตนจึงได้สั่งการให้ทีมนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญของ ทช.ลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัลและอากาศยาน สำนักงานปลัด ทส. กรมอุทยานฯ และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ออกสำรวจการแพร่กระจายสัตว์ทะเลหายากบริเวณพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามัน อาทิ จ.สตูล กระบี่ พังงา ภูเก็ต และระนอง ด้วยวิธีการบินสำรวจ โดยใช้อากาศยานปีกตรึง 9 ที่นั่ง สำรวจแบบ Line transect ระหว่างเดือน มิ.ย.- ก.ค.ที่ผ่านมา พื้นที่ จ.กระบี่ อ่าวนาง อ่าวท่าเลน อ่าวน้ำเมา เกาะลันตา เกาะศรีบอยา เกาะจำเกาะปู และบริเวณแนวหญ้าทะเลใกล้เคียงครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของ จ.กระบี่ สำรวจพบพะยูน 26 ตัว เป็นพะยูนคู่แม่ลูกอย่างน้อย 1 คู่ เต่าทะเล 31 ตัว และโลมาไม่ทราบชนิด 1 ตัว พื้นที่ จ.พังงา อ่าวพังงา เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ ปากคลองมะรุ่ย เกาะหมากน้อย หมู่เกาะระ-เกาะพระทอง พื้นที่ จ.ภูเก็ต อ่าวป่าคลอก อ่าวมะขาม แหลมพันวา พื้นที่ จ.ระนอง หมู่เกาะช้าง เกาะพยาม เกาะกำน้อย และเกาะกำใหญ่ สำรวจพบพะยูน 10 ตัว เต่าทะเล 21 ตัว โลมาหัวบาตรหลังเรียบ 6 ตัว โลมาไม่ทราบชนิด 1 ตัว และพื้นที่ จ.สตูล เกาะลิดี เกาะตันหยงอุมา เกาะสาหร่าย และหมู่เกาะใกล้เคียงพื้นที่จังหวัดสตูล สำรวจพบพะยูน 3 ตัว เต่าทะเล 3 ตัว โลมาหลังโหนก 6 ตัว และโลมาไม่ทราบชนิด 7 ตัว ดร.ปิ่นสักก์กล่าวต่อว่า ทช. ได้มีการศึกษาเทคนิค เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆตามข้อสั่งการของ รมว.ทส. เพื่อช่วยในการพัฒนางานด้านการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายาก รวมถึงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผสานองค์ความรู้ทางวิชาการและความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในการมีส่วนร่วมของทุกกระบวนการ ดังนั้น หากพบการกระทำผิดกฎหมาย บุกรุก ทำลายทรัพยากรทางทะเล หรือพบเจอสัตว์ทะเลหายากเกยตื้นทั้งมีชีวิตและตาย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ ทช. ในพื้นที่ เพื่อจะได้ดำเนินการเข้าตรวจสอบและช่วยเหลือได้ทันท่วงที หรือแจ้งมาที่สายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร.1362 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง. https://www.thairath.co.th/news/local/2803629
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|