เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 06-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 6 มกราคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีน จะแผ่เสริมลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ลมตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด กับมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 7-11 องศาเซลเซียส ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11-14 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ยังคงหนาวเย็นในตอนเช้าในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตอนล่าง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามัน มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันปานกลางถึงค่อนข้างมาก เนื่องจากลมที่พัด ปกคลุมมีกำลังอ่อนลง และมีการระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วน
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 6 ? 7 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีน จะแผ่เสริมลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ลมตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอุณหภูมิลดลง 1 - 2 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6 - 10 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10 - 15 องศาเซลเซียส

ในช่วงวันที่ 8 - 11 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 ? 3 องศาเซลเซียส กับมีหมอกบางในตอน สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 7 - 11 องศาเซลเซียส ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11 - 15 องศาเซลเซียส

ส่วนในช่วงวันที่ 6 ? 11 ม.ค. 67 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตอนล่าง ระหว่างวันที่ 6 ? 8 ม.ค. 67 ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพที่ยังคงหนาวเย็นในตอนเช้าตลอดช่วง และในช่วงวันที่ 8 ? 11 ม.ค. 67 ขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 6 ? 8 ม.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 06-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ประกาศเข้าสู่ "ฤดูฝุ่น" สั่งคุมเข้มทุกหน่วยงาน แนะวิธีการป้องกันให้ปลอดภัย



"ฝุ่นควัน PM 2.5" เรียกได้ว่าเป็นปัญหาเรื้อรังที่คนไทยจะต้องเผชิญอยู่ทุกปี ตั้งแต่ช่วงเดือนปลายหนาวจนถึงต้นเดือนฤดูแล้ง ซึ่งหลายจังหวัดยังคงได้รับความเดือดร้อน จากค่าฝุ่นที่พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนืออย่าง จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย ที่ต้องเจอวิกฤติหนัก ไม่เว้นแม้แต่ในพื้นที่ กทม. ที่ยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แน่นอนว่าฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้สร้างปัญหาแค่ด้านมลพิษ แต่ยังสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลให้กับประเทศ เพราะส่งผลกระทบในเรื่องของคุณภาพดิน น้ำ และการเติบโตของสิ่งมีชีวิตในป่า รวมถึงความหลากหลายด้านชีวภาพ โดยเฉพาะเรื่อง "สุขภาพของประชาชน" ซึ่งเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด

ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2567 ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ได้ประกาศเข้าสู่ "ฤดูฝุ่นอย่างเป็นทางการ" โดย ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า รัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมอบหมายท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืน ได้เร่งรัด กำชับ เน้นย้ำให้หน่วยงานดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ปี 2567 อย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดพื้นที่มุ่งเป้า 11 ป่าอนุรักษ์ 10 ป่าสงวน พื้นที่เกษตรเผาไหม้ซ้ำซาก และการควบคุมฝุ่นละอองในเขตเมือง ซึ่งเป็นการควบคุมที่ต้นตอของฝุ่น

สำหรับในต้นปี 2567 รัฐบาลได้ปรับกลยุทธ์การสื่อสารด้วยการให้ข้อมูลที่ชัดเจน ตรงประเด็น กลไกการบริหารจัดการ โดยจัดตั้งศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจะสื่อสาร แจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่น และแนะนำการปฏิบัติตนให้แก่พี่น้องประชาชน ชี้เป้าต้นตอหรือแหล่งกำเนิดฝุ่นของพื้นที่ เช่น การเผาในพื้นที่ป่า นาข้าว อ้อย ข้าวโพด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งให้กับศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด หน่วยงานที่กำกับดูแลแหล่งกำเนิด เพื่อการระงับ ยับยั้งต้นตอ แหล่งที่ก่อให้เกิดฝุ่น

ทางด้าน น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า สถานการณ์คุณภาพอากาศของประเทศไทย ขณะนี้กำลังเข้าสู่ฤดูฝุ่น ซึ่งมีผลมาจากความกดอากาศสูง อัตราการระบายฝุ่นต่ำ ลมสงบทำให้เกิดการสะสมของฝุ่น สถานการณ์วันที่ 5 ม.ค. 2567 พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ไปจนถึงเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

ขณะที่ ภาคเหนือ ภาคอีสาน โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนแนวโน้มสถานการณ์ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคเหนือตอนล่าง ว่าต้องเฝ้าระวังช่วงระหว่างวันที่ 5-12 มกราคม 2567 เนื่องจากอัตราการระบายอากาศในพื้นที่ที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งแหล่งกำเนิดหลักที่มีผลต่อสถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้แก่ การจราจรในพื้นที่และแหล่งกำเนิดจากนอกพื้นที่ ได้แก่ ฝุ่นจากการเผาในที่โล่งในจังหวัดปริมณฑลและโดยรอบ

สำหรับการควบคุมแหล่งกำเนิด ต้องกวดขันดูแลการตรวจวัดควันดำจากรถยนต์ดีเซล ฝุ่นจากเขตก่อสร้าง และการระบายอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้ง อิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้การเผาในที่โล่งจากพื้นที่ต้นลม ส่งผลให้สถานการณ์ในพื้นที่ท้ายลมทวีความรุนแรงได้ยิ่งขึ้น โดยระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึง 3 มกราคม 2567 พบจุดความร้อนสะสมในประเทศไทยทั้งสิ้น 1,207 จุด คิดเป็นสัดส่วนในพื้นที่นาข้าว 38% พื้นที่ไร่อ้อย 13% พื้นที่ไร่ข้าวโพด 6% พื้นที่ป่า 11% พื้นที่เกษตรอื่นๆ 17% และพื้นที่อื่น 17% ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องควบคุมจัดการ

สำหรับการป้องกันคือทำให้ร่างกาย แข็งแรง ลดการสัมผัสฝุ่น PM 2.5 หายใจอากาศบริสุทธิ์ พยายามอยู่ในที่ซึ่งมี PM 2.5 น้อย หรือใช้เครื่องฟอกอากาศ พยายามหลีกเลี่ยงอย่าอยู่กลางแจ้งนาน ให้ทำงานสักระยะแล้วหลบเข้าในอาคาร การใส่หน้ากากจะทำให้อึดอัด โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนยิ่งทำให้ไม่สามารถใส่หน้ากากได้นาน ขณะนี้ หน้ากาก N95 เป็นหน้ากากที่ใช้ป้องกันได้ดีที่สุด


คำแนะนำการดูแลและป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจาก PM 2.5

1. ให้อยู่ภายในอาคารบ้านเรือน หากไม่จำเป็นอย่าออกนอกบ้าน โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง

2. ปิดประตูหน้าต่างป้องกันฝุ่นเข้า หากปิดไม่ได้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำทำเป็นม่านปิดแทน

3. หากต้องออกนอกบ้าน ให้ใช้ผ้าชุบน้ำบิดพอหมาดๆ ปิดจมูกและปาก หรือใส่หน้ากากกรองฝุ่น

4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและทำงานหนัก เมื่ออยู่นอกบ้าน

5. ดื่มน้ำมากๆ และไม่สูบบุหรี่ ในช่วงที่มีปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก

6. ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็ก ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศที่มีฝุ่นละออง

7. ไม่เผาขยะ โดยเฉพาะขยะที่เป็นสารพิษ เช่น พลาสติก, ยางรถยนต์ รวมทั้งขยะทั่วไป

8. ลดการใช้รถยนต์ หรือใช้เท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้มลพิษจากท่อไอเสีย ทำให้คุณภาพอากาศแย่ลง.


https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2753029

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 06-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


เจออีกตัว! 'ปลาออร์ฟิช' โผล่เกาะหลีเป๊ะ สภาพสมบูรณ์ติดอวนลากจูงชาวประมง

เจออีกตัวแล้ว! เผย "ปลาออร์ฟิช" ติดอวนลากจูงชาวประมง อึ้งพบสภาพสมบูรณ์มาก ก่อนปล่อยกลับคืนสู่ทะเล..



ทำเอาโลกออนไลน์ถึงกับฮือฮา พร้อมสุดกังวลกันเป็นอย่างมากอยู่ในขณะนี้ ภายหลังจากที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก @Wannarrong Sa-ard ได้โพสต์ภาพของปลาออร์ฟิช ที่มีขนาดยาวตัวหนึ่ง ซึ่งติดเรือขึ้นมา โดยพบที่จ.สตูล จนเป็นกระแสหวาดวิตกไปทั่วทั้งสังคมออนไลน์ ว่าจะมีการเกิดแผ่นดินไหวหรือคลื่นสึนามิหรือไม่ เนื่องจากปลาออร์ฟิช เป็นปลาน้ำลึก ไม่น่าจะขึ้นมาผิวน้ำได้

โดยภายหลัง ทางด้าน รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้แสดงความเห็น คาดว่าครั้งนี้ที่มันมาใกล้ทางฝั่งไทย เพราะน้ำทะเลมหาสมุทรอินเดียมีการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำเกิดขึ้นครับ เรียกว่า ปรากฏการณ์ Indian Ocean Dipole (IOD) ทำให้มหาสมุทรอินเดียบริเวณเขตศูนย์สูตร มีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลเย็นผิดปกติ ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น


ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ม.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก@Chayajit Deekrachang ซึ่งเป็นนักวิชาการกรมประมง ได้ระบุว่า "รายงานเพิ่มเติมจากเครือข่ายชาวประมงครับ #PIPO #PSCC #สตูล" พร้อมกันนี้ยังได้เผยถึง

โดยในรายงานจากศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้าออกสตูล ร่วมกับ ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดสตูล ระบุว่า "ได้รับรายงานเพิ่มเติมการพบออร์ฟิช ( Qarfish, Regalecus russeli ) จากเรืออวนลากคู่ บริเวณทางทิศใต้ของเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2566 ช่วงเวลา 13.00 ? 19.00 น. แต่ตัวอย่างถูกทิ้งลงทะเลด้วยเกรงว่าจะเป็นปลามีพิษและลูกเรืออาจนำไปรับประทานได้ PIPO สตูล และ ศคท.จังหวัดสตูล ได้สร้างความเข้าใจแก่ชาวเรือในพื้นที่เพื่อร่วมกันรายงาน การพบเห็นพันธุ์สัตว์น้ำหายากต่อไป"

นอกจากปลาออร์ฟิชตัวดังกล่าวแล้ว ยังมีการพบปลาออร์ฟิชอีกตัวซึ่งได้รับรายงานจากลูกเรือไทยที่ไปทำงานบนเรืออวนลากที่มาเลเซีย พบเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ไม่แน่ใจพิกัดอีกด้วย..

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @Chayajit Deekrachang


https://www.dailynews.co.th/news/3058065/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 06-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


ตลาดปลาญี่ปุ่นประมูลทูน่าต้อนรับปีใหม่กว่า 27 ล้านบาท



โตเกียว 5 ม.ค. ? ตลาดปลาโทโยสุ ในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นเปิดประมูลปลาทูนาครีบน้ำเงินต้อนรับปีใหม่ในวันนี้ปรากฎว่า มีผู้ประมูลปลาไปด้วยราคา 114.24 ล้านเยน หรือ 789,000 ดอลลาร์ หรือเท่ากับ 27.3 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการประมูลปลาตามประเพณีนัดแรกของปีใหม่แพงที่สุดเป็นอันดับ 4 นับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บสถิติตัวเลขการประมูลเมื่อปี 1999

สำนักข่าวเกียวโด รายงานวันนี้ว่า ปลาทูนาครีบน้ำเงินน้ำหนัก 238 กิโลกรัมตัวนี้ จับได้ที่นอกชายฝั่งเมืองโอมะในจังหวัดดอาโอโมริ ทางตะวันรออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น โดยผู้ที่ชนะการประมูลเป็นผู้ซื้อร่วมกันได้แก่บริษัทค้าส่ง ยามายูกิ ที่มีสำนักงานในกรุงโตเกียวและบริษัทที่เป็นผู้บริหารกิจการภัตตาคารซูชิ กินซา โอโนเดระ สำหรับเมื่อปีที่แล้วการประมูลปิดที่ราคา 36.04 ล้านเยน หรือ 8.6 ล้านบาท ส่วนสถิติสูงสุดของการประมูลปลาทูนาเกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อปลาทูนาน้ำหนัก 278 กิโลกรัม ถูกประมูลไปด้วยราคา 333.6 ล้านเลย หรือ ประมาณ 79.7 ล้านบาท โดยเป็นกาประมูลปลาตามประเพณีขึ้นปีใหม่ครั้งแรกที่ตลาดปลาโทโยสุ หลังจากมีการย้ายตลาดปลาหลักในกรุงโตเกียวมาจากตลาดซึกิจิ ที่อยู่ใกล้ๆกัน.


https://tna.mcot.net/world-1298780

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 06-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ


"ไทยซีเพลน-สยามซีเพลน" ทุ่มเปิดตลาด "เครื่องบินทะเล"



ในปี 2567 นี้ธุรกิจการบินกลับมาคึกคักและมีสีสันอีกครั้งแน่นอน โดยมีเครื่องบินทะเล หรือ "ซีเพลน" (Seaplane) ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดเล็กจำนวน 2 ราย ได้แก่ ไทยซีเพลน ที่มี "กสิณพจน์ รอดโค" เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และสยาม ซีเพลน ซึ่งมี "วรกัญญา สิริพิเดช" เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

โดย "ไทยซีเพลน" เดิมชื่อว่า อวานติ แอร์ ชาร์เตอร์ เคยให้บริการเที่ยวบินเพื่อชมภูมิทัศน์ เช่น กระบี่ เกาะพีพี อ่าวพังงา และได้เปลี่ยนชื่อเป็นไทย ซีเพลน เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 มีทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท วางงบประมาณลงทุนในช่วง 1-3 ปีแรกไว้กว่า 100 ล้านบาท (รวมการจัดหาอากาศยาน บุคลากร)

ปัจจุบันเปิดให้บริการบินชมทิวทัศน์แล้ว และคาดว่าในไตรมาส 3/2567 หรือเร็วกว่านั้นจะสามารถทำการบินขึ้น-ลงจากพื้นน้ำได้

ทั้งนี้ จะทำการบินในเส้นทางบินไม่เกิน 1.30 ชั่วโมง ในโซนพื้นที่อันดามันก่อน อาทิ เส้นทางบินภูเก็ต-กระบี่ (ไม่ผ่านสนามบิน), ภูเก็ต-เกาะพีพี, กระบี่-เกาะพีพี, ภูเก็ต-เกาะสิมิลัน และภูเก็ต-เกาะหลี

ด้าน "สยาม ซีเพลน" จดทะเบียนตั้งเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2562 ด้วยทุนจดทะเบียน 32 ล้านบาท มีกรรมการ 4 ราย คือ นายเดนนิส อิมมานูเอล เคลเลอร์ นายไมเคิล เบลนีย์ เดวิดสัน นางสาววรกัญญา สิริพิเดช และนายโทมาส บอมบ์การ์ดเนอร์

เบื้องต้นมีแผนลงทุนประมาณ 350-400 ล้านบาท มีเครื่องบิน 3 ลำ และมีแผนเพิ่มเป็น 15 ลำภายใน 5 ปี โดยคาดว่าจะได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (AOC) ไตรมาส 1/2567 และเริ่มทำการบินไปยังพื้นที่ปฏิบัติการบิน คือ 1.จากกรุงเทพฯ (ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ) สู่ฝั่งอ่าวไทย เช่น ระยอง ตราด พัทยา และจากภูเก็ตหรือกระบี่ไปยังเกาะต่าง ๆ เช่น เกาะหลีเป๊ะ เกาะยาวน้อย เกาะพีพี เขาหลัก จังหวัดพังงา

ขณะที่ "ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ "วิทยุการบินแห่งประเทศไทย" หรือ บวท. ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ บวท.ได้รับมอบนโยบายให้ไปศึกษาความเป็นไปได้ในการให้บริการควบคุมอากาศยานทางทะเล (Seaplane) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยว และช่วยลดความแออัดภายในสนามบินหลักของประเทศ

โดยแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาความเป็นไปได้ เพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อแนะนำขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) รวมทั้งวิเคราะห์กฎหมาย ระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้อง วางแผนเส้นทาง และประเมินโครงสร้างพื้นฐาน ความปลอดภัย และความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น

พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับข้อมูลและคำแนะนำประกอบการศึกษา โดยจะนำผลการศึกษานำเสนอให้กระทรวงคมนาคมทราบต่อไป ซึ่ง บวท.มีความพร้อมในการให้บริการควบคุมจราจรทางอากาศ สำหรับ Seaplane ตามที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนประสงค์ที่จะเปิดให้บริการในทุกพื้นที่ทางทะเล

ส่วนการอนุญาตให้ทำการบินอากาศยานทางทะเลนั้น สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ กพท. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลกำลังเร่งดำเนินการออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานสนามบินน้ำ หรือที่ขึ้น-ลงชั่วคราวทางน้ำ

โดยต้องหารือร่วมกับหน่วยงานอนุญาตภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อการใช้พื้นที่ขึ้น/ลงทางน้ำ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตามข้อกำหนดของกฎหมาย


https://www.prachachat.net/tourism/news-1471326

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:37


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger