![]() |
#1
|
||||
|
||||
![]()
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้เริ่มมีกำลังอ่อนลง ส่วนมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้นบางพื้นที่ สำหรับลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 9 - 12 มี.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดบางพื้นที่ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบางแห่ง สำหรับลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อย ส่วนในช่วงวันที่ 13 ? 14 มี.ค. 64 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อน สำหรับลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้น ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 9 - 11 มี.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ![]() ![]() ![]() ![]()
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
![]()
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
รู้คำตอบแล้ว! ภาพสุดอึ้ง "เรือลอยได้" นอกชายฝั่งสหราชอาณาจักร ![]() สื่อต่างประเทศคลายข้อสงสัยภาพปริศนาที่สร้างความฮือฮาบนสื่อสังคมออนไลน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรือขนาดใหญ่เหมือนลอยอยู่กลางอากาศนอกชายฝั่งสหราชอาณาจักร ระบุเป็นผลจากภาพหลอกตา (Optical illusion) ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ระหว่างเดินเล่นอยู่บนชายฝั่ง นายเดวิด มอร์ริส พบเห็นเหตุการณ์อันแปลกประหลาด จึงถ่ายภาพเรือขนาดใหญ่เหมือนลอยอยู่กางอากาศนอกชายฝั่ง ใกล้ๆ กับเมืองฟัลเมาท์ มณฑลคอร์นวอลล์ สหราชอาณาจักร มอร์ริสบอกว่า เขาถึงกับตกตะลึงหลังเห็นภาพดังกล่าวระหว่างออกไปเดินเล่นริมทะเล เลยตัดสินใจถ่ายรูปเอาไว้ และนำมาโพสต์ลงในโลกออนไลน์จนเกิดเป็นกระแสไวรัล ผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ต่างตั้งข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับภาพถ่ายดังกล่าว บ้างก็เชื่อว่าอาจจะเป็นภาพตัดต่อ บางส่วนสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากปรากฏการณ์ภาพลวงตาอะไรสักอย่าง หรือถึงขั้นบอกว่าเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวก็มี อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เดวิด เบรน นักพยากรณ์อากาศประจำสำนักข่าวบีซีซี ระบุว่า ภาพสุดประหลาดนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากภาพลวงตาที่ชื่อว่า Superior Mirage "ปรากฏการณ์ภาพลวงตา Superior Mirage เกิดจากสภาวะพิเศษของชั้นบรรยากาศที่หักเหแสง" เขากล่าว พร้อมระบุว่าภาพลวงตาเกิดขึ้นเป็นปกติในแถบอาร์กติก แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างฤดูหนาวของสหราชอาณาจักร แม้ว่าจะหาดูได้ยากมากๆ เบรน ระบุต่อว่า "ปรากฏการณ์ Superior Mirage เกิดขึ้นสืบเนื่องจากสภาพอากาศที่เรียกว่าอุณหภูมิผกผัน (temperature inversion) ซึ่งคือการที่มีชั้นอากาศร้อนทับซ้อนอยู่บนชั้นอากาศเย็น เนื่องด้วยอากาศเย็นหนาแน่นกว่าอากาศอุ่น แสงจึงหักเหสู่สายตาคนที่ยืนอยู่บนพื้นหรือบริเวณชายฝั่ง เปลี่ยนแนวทางการปรากฏตัวของวัตถุที่อยู่ในระยะไกล Superior Mirage สามารถก่อรูปแบบภาพต่างๆ นานา และในกรณีนี้ก็คือเรือในระยะไกลลำหนึ่งดูเหมือนลอยอยู่สูงกว่าตำแหน่งที่แท้จริง" เขากล่าว https://mgronline.com/around/detail/9640000022301
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
![]()
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
เพนกวินหนีตายฝูงวาฬเพชฌฆาต โดดขึ้นเรือนักท่องเที่ยว ช็อตทึ่งในแอนตาร์กติกา เพนกวินหนีตายฝูงวาฬเพชฌฆาต ? วันที่ 8 มี.ค. เดลีเมล รายงานเบื้องหลังของ เพนกวิน ผู้กล้าหาญ ที่เอาตัวรอดจากฝูง วาฬเพชฌฆาต โดยว่ายน้ำกระโดดขึ้นจากผิวน้ำซ้ำๆ เพื่อหนีการไล่ล่าที่วนเวียนรอบเรือบดลำเล็กที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ก่อนพุ่งตัวกระโดดขึ้นเรือลำดังกล่าวโดยเอาหัวนำไปด้านข้างของเรือ วิดีโอดังกล่าวถ่ายทำโดย แมตต์ คาร์สเต็น หนุ่มบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว วัย 40 ปี พร้อม แอนนา ภรรยา วัย 32 ปี ที่พานักท่องเที่ยวไปล่องเรือผ่านภูเขาน้ำแข็งในช่องแคบเจอร์ลาชในแอนตาร์กติกา ขณะที่ฝูงวาฬเพชฌฆาตว่ายน้ำมาข้างเรือนักท่องเที่ยว จากนั้น ฝูงวาฬเพชฌฆาตสังเกตเพนกวินเจนทูตัวหนึ่งว่ายน้ำใกล้ๆ จึงไล่ตามเพนกวินตัวนั้น โดยโผล่เข้ามา โดยพุ่งเข้ามาระหว่างเรือนักท่องเที่ยวหลายลำด้วยกัน ขณะที่เพนกวินว่ายน้ำกระโดดขึ้นจากผิวน้ำเย็นหลายครั้ง เพื่อหนีฝูงวาฬเพชฌฆาตที่ไล่ตามในระยะประชิด กระทั่งเพนกวินมาใกล้เรือนักท่องเที่ยวลำหนึ่ง จึงพยายามขึ้นไปบนเรือลำดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย ทว่ารอบแรก กระโดดไกลจากเรือไปหน่อย จึงไปถูกด้านข้างเรือและกระเด้งกลับลงไปในทะเล แต่รอบที่สอง กระโดดข้ามขอบเรือมาได้สำเร็จ ท่ามกลางความตะลึงของนักท่องเที่ยวที่ช่วยมันพาขึ้นมาบนเรือและส่งเสียงเชียร์อย่างดีใจ "น่าทึ่งมากที่เห็นด้วยตาตัวเองหมือนดูสารคดีเนชั่นจีโอกราฟิก ผมจินตนาการว่า เพนกวินรู้สึกโล่งใจมากที่หนีรอดมาได้?หลังจากที่เพนกวินกระโดดขึ้นเรือลำหนึ่งแล้ว ฝูงวาฬเพชฌฆาตไล่ตามเรือลำหนึ่งสักพักหนึ่งจึงเลิกไล่ตาม เพนกวินจึงปลอดภัยพร้อมพบเพื่อนใหม่หลายคนเลย และหลังล่องเรือสักพัก เพนกวินจึงบอกลานักท่องเที่ยวและกระโดดกลับไปในน้ำเย็นอีกครั้ง" แมตต์กล่าว ทั้งนี้ แมตต์เรียกตัวเองว่า นักเพนจรผู้ช่ำชอง (Expert Vagabond) เดินทางทั่วโลกโดยเยือนมากกว่า 50 ประเทศ ตั้งแต่ปี 2553 และตอนนี้อยู่ในรัฐยูกาตังของเม็กซิโก หลังจากที่ภรรยาคลอดลูกคนที่สอง https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_6093542
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
![]()
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ขึ้นบัญชี "นกชนหิน" สัตว์ป่าสงวน ลำดับที่ 20 คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ผ่านความเห็นชอบให้ "นกชนหิน" เป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 ของไทย ![]() วันนี้ (8 มี.ค.2564) คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ผ่านความเห็นชอบให้นกชนหิน (Helmeted Hornbill) เป็นสัตว์ป่าสงวน ลำดับที่ 20 ของไทยแล้ว สถานะ 'นกชนหิน' เสี่ยงสูญพันธุ์ ผลักดันเป็นสัตว์ป่าสงวนอันดับที่ 20 ข้อมูลจากเว็บไซต์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา เกิดความตื่นตัวของสังคมในการผลักดันสถานะการอนุรักษ์ "นกชนหิน" นกเงือก 1 ใน 13 ชนิดของไทยจากสถานะสัตว์ป่าคุ้มครอง ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 กระแสดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังการเปิดเผยข้อมูลจาก นายปรีดา เทียนส่งรัศมี เจ้าหน้าที่โครงการศึกษานิเวศวิทยาของนกเงือก คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ระบุว่า เริ่มมีกลุ่มพรานเข้าป่าล่านกชนหินในเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี จ.นราธิวาส จากแรงดึงดูดการตั้งค่าหัวนกชนิดนี้สูงถึงหลักหมื่น ก่อนจะส่งขายให้กลับกลุ่มนักสะสมที่มีความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ สอดคล้องกับรายงานขององค์กรติดตามการค้าสัตว์ป่า (TRAFFIC) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งติดตามการลักลอบการซื้อขายชิ้นส่วนและเครื่องประดับจากโหนกนกชนหินและนกเงือกชนิดอื่น ๆ ในตลาดออนไลน์ในประเทศไทย ระหว่างเดือนต.ค.2561- เม.ย.2562 พบการโพสต์ซื้อขายสินค้าจากนกเงือก 236 โพสต์ มีผลิตภัณฑ์จากนกเงือกมากกว่า 546 ชิ้น โดย 173 โพสต์ หรือ 73% เป็นการซื้อขายผลิตภัณฑ์จากนกชนหิน ต่อมามูลนิธิสืบนาคะเสถียรจึงได้สร้างแคมเปญรณรงค์ ?ขอให้นกชนหินเป็นสัตว์ป่าสงวนอันลำดับที่ 20 ของไทย? ผ่านเว็บไซต์ www.change.org เพื่อขอชื่อสนับสนุนจากประชาชนก่อนส่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำเรื่องนี้ไปพิจารณาผลักดันตามขั้นตอนต่อไป ศ.ดร.พิไล พูลสวัสดิ์ หัวหน้าโครงการศึกษานิเวศวิทยาของนกเงือก คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิจัยนกเงือก ให้ความเห็นว่า สถานการณ์ในภาพรวมของนกเงือกแต่ละชนิดในประเทศไทยนั้น มีความแตกต่างกันในแง่พื้นที่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านที่เชื่อมโยงกันเป็นวงจรชีวิต อย่างไรก็ดี ชนิดของนกที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือนกชนหิน เพราะในอินโดนีเซีย มีการล่าเพื่อส่งหัวไปขายที่ประเทศจีน แต่ก็ยังไม่ลุกลามเข้ามาในประเทศไทย ยกเว้นมีข่าวเรื่องการล่านกในประเทศมาเลเซียและตะเข็บชายแดนไทย โดยที่ผ่านมามีการรายงานสถานการณ์ไปยังองค์กรนานาชาติ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านให้มีการเฝ้าระวังและดูแลอย่างเข้มข้น ในจำนวนนกเงือกทั้ง 13 ชนิดในประเทศไทย นกชนหินเป็นนกที่มีอายุโบราณมากที่สุด กล่าวได้ว่า เป็นบรรพบุรุษของนกเงือกที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือนกเงือกสายพันธุ์โหนกใหญ่ เช่น นกกก นกหัวแรด แม้อาจจะไม่ใช่บรรพบุรุษโดยตรง แต่นกชนหินเป็นญาติสนิทกับบรรพบุรุษของนกกก และนกหัวแรด เหมือนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน บรรพบุรุษของนกเงือกในไทยมี 3 ชนิด เก่าแก่ที่สุดคือนกเงือกหัวหงอกมีอายุ 47 ล้านปี นกชนหิน 45 ล้านปี และนกเงือกคอแดง ซึ่งอยู่ในสถานะที่น่าเป็นห่วงเช่นเดียวกัน บทบาทสำคัญของนกเงือกในระบบนิเวศคือการกระจายเมล็ดพันธุ์ไม้ การอนุรักษ์นกเงือกไว้ได้เท่ากับจะได้พื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้น เพราะนกเงือกเหล่านี้ช่วยปลูกป่าและขยายพื้นที่ป่าให้มากขึ้นจากพฤติกรรมการกินผลไม้ที่หลากหลาย ส่งผลให้ป่าที่นกปลูกมีความหลากหลายตามไปด้วย ขณะเดียวกันผลไม้ที่นกเงือกกินและปลูกยังเป็นผลไม้ประจำถิ่น จึงได้ทั้งปริมาณ คุณภาพ และความหลากหลายที่ทำให้ป่ามีความสมบูรณ์ ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชีววิทยาการสืบพันธุ์ของนกชนหินพบว่า การทำรังของนกชนิดนี้ไม่ง่ายเหมือนชนิดอื่น เนื่องจากจะพิถีพิถันในการเลือกทำรังอย่างมาก โดยรังต้องมีลักษณะพิเศษที่จะต้องมีปุ่ม หรือมีชานชาลายื่นออกมาเพื่อให้นกเกาะเมื่อโผเข้ารัง ซึ่งโพรงลักษณะนี้ในธรรมชาติมีอยู่น้อย ไม่เหมือนนกเงือกชนิดอื่นที่ไม่พิถีพิถันในการเลือกรัง อีกทั้งวงจรชีวิตของนกชนหินยาวกว่าชนิดอื่น ๆ โดยถือว่ายาวที่สุดในบรรดานกเงือกเอเชีย ![]() เมื่อป่าลดลง ขาดป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะไม้วงศ์ยาง ไม้ตะเคียน ไม้กาลอ เป็นต้น ซึ่งไม้จำพวกนี้ถือเป็นไม้เศรษฐกิจการถูกลักลอบตัดก็มากขึ้น การลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ป่าจึงเป็นภัยคุกคามอันดับแรกๆ ของนกชนหินและนกเงือกชนิดอื่น ๆ ในประเทศไทย เพราะเป็นการทำลายและรบกวนถิ่นอาศัยของนกมากกว่าการล่าโดยตรง ทั้งการเข้าไปหาของป่า เข้าไปตัดไม้ หรือกิจกรรมการท่องเที่ยว แม้ว่าในเวลานี้จะยังไม่มีการล่าอย่างชัดเจน แต่เมื่อมีการรบกวนหรือทำกิจกรรมในป่านกก็จะตื่น และจะไม่ทำรัง เมื่อไม่ทำรังก็ไม่ออกลูกตามมา จากการศึกษาวิจัยในผืนป่าเทือกเขาบูโดฯ กว่า 30 ปี ของทีม ศ.ดร.พิไล ระบุว่า พบรังนกสะสมทั้งหมด จำนวน 22 รัง ที่มีนกเข้ามาใช้ซ้ำ ๆ ราว 40 คู่ แต่เกิดการเสียหายไป 19 รัง เพราะต้นไม้หัก ถ้าไม่มีการเฝ้าระวังและมีการซ่อมแซมเมื่อต้นรังหักนกเงือกก็ต้องหารังใหม่ เท่ากับปีนั้นแม่นกจะไม่ออกลูก ซึ่งคาดว่าปัจจุบัน มีนกชนหินในพื้นที่เทือกเขาบูโดฯ ประมาณ 100 ตัว หรืออาจไม่ถึง 100 ตัวดีนัก เพราะในระยะหลังแต่ละปีพบนกทำรังแค่ 1-2 คู่ และออกลูกเพียงตัวเดียว ส่วนพื้นที่อื่นนั้นไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด แต่นกชนหินสามารถพบได้ในพื้นที่ป่าดิบทางภาคใต้ ตั้งแต่ จ.ชุมพรลงไป กระแสเรียกร้องให้ขึ้นบัญชีนกชนหินเป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 นั้น ศ.ดร.พิไล เห็นว่า มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือกฎหมายในการดูแลนกชนหินจะมีความเข้มข้นขึ้น แต่เมื่อมีกฎหมายแล้วต้องเข้มงวดในการบังคับใช้ด้วย ซึ่งกรณีตัวอย่างจากทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา พบว่ามีการใช้ประโยชน์จากป่ามาก แต่ไม่มีการทำนุบำรุงทำให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ป่าอย่างที่เป็นเช่นทุกวันนี้ สำหรับข้อเสีย หากนกชนหินถูกขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ป่าสงวน เรื่องการทำวิจัยจะยุ่งยากขึ้น เพราะต้องมีการกำหนดเขตหวงห้าม ซึ่งอาจจะเป็นการปิดกั้นนักวิจัยจากภายนอก ในขณะเดียวกันหากไม่มีการเฝ้าระวังนกชนิดนี้ก็อาจจะหายไปโดยธรรมชาติ เพราะไม่สามารถเจาะโพรงเองได้ และยังต้องเป็นโพรงลักษณะพิเศษอีกด้วย ดังนั้นการจัดอันดับให้เป็นสัตว์ป่าสงวน แต่ไม่มีการเฝ้าระวังที่ดี ในที่สุดนกก็จะค่อย ๆ ลดลง หรือหายไปโดยที่อาจไม่มีคนล่า แต่เพราะไม่มีที่ทำรัง ในทางกลับกันการยกสถานะนกชนหินเป็นสัตว์ป่าสงวนอาจยิ่งเป็นการเพิ่มค่าหัวหรือสร้างแรงจูงใจของนักล่ามากยิ่งขึ้นด้วยเพราะเป็นสัตว์ป่าสงวน ดังนั้นควรเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมศึกษาพัฒนาแนวทางในการอนุรักษ์นกชนหินอย่างเหมาะสม https://news.thaipbs.or.th/content/302195 ********************************************************************************************************************************************************* ไฟฟ้าดับ "สมุย-พะงัน" ร.ล.อ่างทอง ทอดสมอโดนสายเคเบิลใต้ทะเล อ.เกาะสมุย และ อ.เกาะพะงัน เผชิญวิกฤตไฟฟ้าดับ หลังสายเคเบิ้ลใต้ทะเลชำรุดเสียหาย ไม่สามารถส่งกระแสไฟฟ้าจาก อ.ขนอม มาเกาะสมุยได้ คาดซ่อมแซม 2 สัปดาห์ ขณะที่กองทัพเรือเร่งตรวจสอบ ยืนยันไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบหากพบสาเหตุจากเรือหลวงอ่างทองทอดสมอถูกสายเคเบิ้ล ![]() วันนี้ (8 มี.ค.2564) นายจักรกฤษณ์ มีเดช ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อำเภอเกาะสมุย กล่าวถึงเหตุการณ์กระแสไฟฟ้าดับในบางพื้นที่บน อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่า เมื่อช่วงเช้าได้มีเรือหลวงอ่างทอง เข้ามาทอดสมอเพื่อจอดเรือห่างจากชายฝั่งไปทางทิศตะวันตกประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นจุดที่มีการวางสายเคเบิ้ลใต้ทะเล ส่งกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม มายังสถานีไฟฟ้าแห่งที่ 2 ที่ตั้งอยู่ใน ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย ทำให้สายเคเบิ้ลใต้ทะเลบริเวณดังกล่าวเกิดความเสียหาย และโรงไฟฟ้าขนอมไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้ามายังเกาะสมุยได้ คาดซ่อมแซม 2 สัปดาห์ สำหรับสถานีไฟฟ้าแห่งที่ 2 บนเกาะสมุย ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าให้พื้นที่บางส่วนใน อ.เกาะสมุย และ อ.เกาะพะงัน ทำให้พื้นที่บางส่วนของ ต.แม่น้ำ ต.บ่อผุด และ ต.มะเร็ต ไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้เพียงพอ ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงจ่ายกระแสไฟฟ้าแบบสลับกันใช้ ขณะเดียวกันทางการไฟฟ้า ประสานขอรถโมบายปั่นกระแสไฟฟ้าเคลื่อนที่จากพื้นใกล้เคียงมายังเกาะสมุย เพื่อระดมปั่นกระแสไฟฟ้าเสริมเข้าในระบบจ่ายไฟฟ้า ส่วนการซ่อมแซมสายเคเบิ้ลใต้ทะเลเบื้องต้นทางผู้เชี่ยวชาญต้องสำรวจความเสียก่อน เพื่อประเมิณเวลาในการซ่อมแซม คาดว่าใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ทร.เร่งตรวจสอบ ยันไม่ปัดความรับผิดชอบ ขณะที่ พลเรือโทเชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทัพเรือกำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ว่ามีสาเหตุมาจากเรือของกองทัพเรือตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวหรือไม่ โดยกองทัพเรือจะไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบหากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากเรือของกองทัพเรือจริง เบื้องต้นได้เตรียมความพร้อมในการจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานสำรวจใต้น้ำ เพื่อสนับสนุนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการเข้าสำรวจความเสียหายตามแต่จะได้รับการประสานจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือได้สั่งการหน่วยในพื้นที่รับผิดชอบ เตรียมจัดเรือและกำลังพลเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนแล้ว โดยจะสนับสนุนส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่ทันทีที่รับการร้องขอ https://news.thaipbs.or.th/content/302208
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|