#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ ที่ 15 สิงหาคม 2565
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบนและประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 14 - 15 ส.ค. 65 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 16 ? 20 ส.ค. 65 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่าง มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 16-20 ส.ค. 65 ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เศร้า จนท.นอร์เวย์ทำการุณยฆาต วอลรัสขวัญใจมหาชน หวั่นเป็นภัยต่อมนุษย์ เจ้าหน้าที่นอร์เวย์ทำการุณยฆาต วอลรัส ซึ่งกลายเป็นขวัญใจมหาชนใน ออสโล ฟยอร์ดแล้ว เนื่องจากกังวลว่ามันจะทำร้ายคน หลังนักท่องเที่ยวไม่สนคำเตือนและพยายามเข้าใกล้มัน สำนักข่าว บีบีซี รายงานในวันอาทิตย์ที่ 14 ส.ค. 2565 ว่า เจ้าหน้าที่ของนอร์เวย์ ตัดสินใจทำการุณยฆาตจบชีวิตเจ้า ?เฟรยา? วอลรัสเพศเมียซึ่งกลายเป็นขวัญใจประชาชนบริเวณเวิ้ง ออสโล ฟยอร์ด (Oslo Fjord) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศแล้ว จากความกังวลว่ามันอาจเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของมนุษย์ เฟรยา เริ่มมีชื่อเสียงและดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวจากการที่มันชอบปีนป่ายขึ้นไปบนเรือ และบางครั้งก็ทำให้เรือจม จนเจ้าหน้าที่ต้องออกคำเตือน แต่คนจำนวนมากไม่ยอมฟังยังพยายามเข้าใกล้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมน้ำหนักกว่า 600 กก.ตัวนี้ ทำให้ทั้งเฟรยาและนักท่องเที่ยวตกอยู่ในความเสี่ยง ในเหตุการณ์หนึ่ง ตำรวจถึงขั้นต้องปิดพื้นที่อาบแดดบนชายหาด หลังเฟรยาคลานไล่ตามหญิงคนหนึ่งลงไปในน้ำ ขณะที่เมืองสัปดาห์ก่อน กระทรวงการประมงนอร์เวย์เผยแพร่ภาพแสดงให้เห็น กลุ่มคนจำนวนมากรวมถึงเด็กๆ ยืนอยู่ห่างจากวอลรัสตัวนี้ในระยะที่สามารถเอื้อมถึง โดยไม่หวั่นเกรงอันตราย เมื่อวันอาทิตย์ (14 ส.ค.) นายฟรังก์ บัคเก-เยนเซน ผู้อำนวยการกรมประมง กล่าวว่า การตัดสินใจทำการุณยฆาตเฟรยา เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการประเมินความเสี่ยงโดยรวมต่อความปลอดภัยของมนุษย์ ?จากการสังเกตการณ์ในพื้นที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ชัดเจนว้า สังคมไม่สนใจต่อคำแนะนำล่าสุดที่ให้อยู่ห่างจากวอลรัสตัวนี้ ดังนั้น ทางกรมฯ จึงมีข้อสรุปว่า ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการทำร้ายมนุษย์นั้น สูง และไม่มีการดูแลรักษาสวัสดิภาพสัตว์? นายบัคเก-เยนเซน เสริมด้วยว่า พวกเขาได้พิจารณาทางเลือกอื่นๆ แล้ว รวมถึงการย้ายเฟรยาออกจากฟยอร์ด แต่พวกเขาตัดความคิดนั้นไปจากความกังวลเรื่องสวัสดิภาพของวอลรัสตัวนี้ เขาย้ำด้วยว่า เจ้าหน้าที่ทำการการุณยฆาตด้วยวิธีการที่มีมนุษยธรรม และร่างของมันจะถูกนำไปชันสูตรเพิ่มเติมโดยสัตวแพทย์ ทั้งนี้ เฟรยาถูกพบเห็นครั้งแรกในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม และได้รับการตั้งชื่อตามเทพีแห่งความงามและความรักในตำนานเทพปกรณัมของชาวนอร์ส สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่นักท่องเที่ยวอย่างมาก เนื่องจากตามปกติแล้ว วอลรัสจะอาศัยอยู่ทางเหนือของมหาสมุทรอาร์กติกขึ้นไปอีก ตามปกติแล้ววอลรัสจะไม่จู่โจมมนุษย์ แต่ก็เคยเกิดกรณีวอลรัสทำร้ายคนจนเสียชีวิตมาแล้ว เช่นที่เกิดกับนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่สวนสัตว์จีนในปี 2559 โดยนักท่องเที่ยวพยายามถ่ายรูปเซลฟี่แต่กลับถูกวอลรัสลากลงไปใต้น้ำ เจ้าหน้าที่พยายามช่วยสุดท้ายโดนลากลงไปด้วยและเสียชีวิตทั้งคู่ https://www.thairath.co.th/news/foreign/2472831 ****************************************************************************************************** ปริศนาปลาตายเกลื่อนแม่น้ำที่ไหลผ่านเยอรมนี-โปแลนด์ ปลาหลายพันตัวตายเกลื่อนแม่น้ำโอเดอร์ ที่ไหลผ่านเยอรมนีและโปแลนด์ ทำให้เกิดความวิตกว่าจะเกิดภัยพิบัติทางด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ทางการขอให้ประชาชนอย่าบริโภคปลาหรือใช้น้ำ เจ้าหน้าที่ในโปแลนด์และเยอรมนีกำลังพยายามหาสาเหตุของการตายของปลาจำนวนมากในแม่น้ำโอเดอร์ ซึ่งไหลผ่านระหว่างสองประเทศ โดยพบปลาตายเกลื่อนแม่น้ำหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าลอยมาจากต้นน้ำที่ประเทศโปแลนด์ ซึ่งมีรายงานก่อนหน้านี้ว่าพบปลาตายเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เยอรมนีกล่าวหาเจ้าหน้าที่โปแลนด์ว่าไม่แจ้งเตือนเกี่ยวกับปลาตาย ทำให้เกิดความตกใจที่เห็นปลาลอยตายเป็นจำนวนมากไหลตามแม่น้ำมา สำหรับที่โปแลนด์นั้น รัฐบาลถูกวิพากษ์ตำหนิอย่างหนักที่ไม่ดำเนินการใดๆ ในทันที หลังจากพบปลาตายที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในโปแลนด์ผ่านไปได้ 2 สัปดาห์ แอนนา มอสกวา รัฐมนตรีกระทรวงภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของโปแลนด์ กล่าวว่า ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำที่เก็บได้ในโปแลนด์และเยอรมนี พบว่ามีระดับเกลือสูงขึ้น ขณะที่ผลการศึกษาด้านพิษวิทยายังคงดำเนินต่อไป และกล่าวว่าหน่วยงานด้านสัตววิทยาของโปแลนด์ได้ทำการทดสอบปลาที่ตายแล้ว 7 สายพันธุ์ และชี้ว่าสารปรอทไม่ได้เป็นสาเหตุของการตายของปลา แต่ยังคงรอผลการตรวจสอบสารอื่นๆ เธอกล่าวว่าผลการทดสอบจากเยอรมนีแสดงว่าไม่พบสารปรอทสูงเช่นกัน นายกรัฐมนตรีมาแตอุช มอราวีแยตสกี ของโปแลนด์ กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า เดิมคิดว่าเป็นปัญหาในท้องถิ่น แต่เขายอมรับว่า ภัยพิบัติครั้งนี้ใหญ่มาก จนถึงขั้นกล่าวได้ว่า จะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าแม่น้ำโอเดอร์จะกลับมาอยู่ในสภาพอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม เขากล่าวด้วยว่า อาจจะมีการทิ้งของเสียที่เป็นสารเคมีลงในแม่น้ำ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีความเสี่ยงและมีผลกระทบตามมา ทางด้าน สเตฟฟี เลมเก้ รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของเยอรมนี เรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ครั้งนี้ นายมอราวีแยตสกี ยังประกาศที่จะทำทุกวิถีทางที่จะจำกัดความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม ด้านรัฐมนตรีมหาดไทยโปแลนด์ ประกาศจะมอบเงินรางวัล 1 ล้านซวอตี หรือราว 7.9 ล้านบาท สำหรับผู้ที่สามารถแจ้งเบาะแสผู้ที่สร้างมลพิษให้แก่แม่น้ำ เจ้าหน้าที่แคว้นเมคเลนบูร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น ของเยอรมนี ยังเตือนไม่ให้ประชาชนจับปลา หรือใช้น้ำจากทะเลสาบ ในขณะที่น้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีได้ไหลมายังพื้นที่ปากแม่น้ำแล้วเมื่อวานนี้ ทั้งนี้ แม่น้ำโอเดอร์ไหลมาจากสาธารณรัฐเช็ก ก่อนที่จะไหลผ่านโปแลนด์ พรหมแดนระหว่างเยอรมนีและโปแลนด์ และไหลลงสู่ทะเลบอลติก. https://www.thairath.co.th/news/foreign/2472257
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
'เสียงรบกวนที่เกิดจากมนุษย์' มลพิษในชีวิตสัตว์ทะเลที่มักถูกมองข้าม - มลพิษทางเสียงอาจเป็นสิ่งที่หลายคนนึกไม่ถึงว่าจะมีผลกระทบกับสัตว์ทะเลหลายชนิด แต่การศึกษาในช่วงหลายปีของนักวิทยาศาสตร์พบว่าเสียงที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์ โดยเฉพาะเสียงที่เกิดจากเรือและการสัญจรทางน้ำ มีผลกระทบต่อสัตว์ทะเล เช่น วาฬ โลมา (สัตว์ที่ใช้คลื่นเสียงในการสื่อสารและดำรงชีวิต) และสัตว์ทะเลอื่นๆ - หนึ่งในวิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลชัดเจนคือการลดความเร็วในการเดินเรือ หลีกเลี่ยงบริเวณที่สัตว์ทะเลซึ่งเปราะบางต่อมลพิษทางเสียงอาศัยอยู่ และในอนาคตนักวิทยาศาสตร์ยังแนะนำการปรับเปลี่ยนรูปแบบและการต่อเรือให้คำนึงถึงการลดเสียงรบกวนมากขึ้น ครั้งหนึ่งในปี 2544 หลังเกิดเหตุการณ์ '9/11' หรือเหตุโจมตีตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก ความเงียบก็แผ่ปกคลุมไปทั่วอเมริกาเหนือ ทั้งบนฟ้าและใต้น้ำ เป็นที่ทราบกันดีว่าผลกระทบหนึ่งจากเหตุการณ์นี้คือมีผู้เดินทางโดยเครื่องบินน้อยลง แต่พร้อมกันนั้นการสัญจรทางเรือก็ลดลงและเป็นผลให้เสียงใต้น้ำลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นในอ่าวที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่โจมตีอย่างอ่าวฟันดี้ในแคนาดา เสียงใต้น้ำลดลงถึง 6 เดซิเบล โดยที่เสียงในระดับต่ำกว่า 150 เฮิรตซ์ก็ลดลงอย่างมาก แต่รู้ไหมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเสียงใต้น้ำลดลงคืออะไร บริเวณอ่าวฟันดี้เป็นพื้นที่ที่วาฬไรต์แอตแลนติกมักว่ายน้ำแวะเวียนมา ในช่วงเวลาที่เสียงใต้น้ำลดลง นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยดุ๊กกลุ่มหนึ่งจึงตัดสินใจตรวจสอบดูว่าการที่ทะเลเงียบสงบกว่าปกติมีผลต่อเจ้าวาฬอย่างไร โดยนักวิทยาศาสตร์ทำการวิเคราะห์อุจจาระและดูฮอร์โมนความเครียดของมัน และพบว่าเมื่อเสียงที่เกิดจากมนุษย์เบาลงและส่งผลให้เสียงในมหาสมุทรเบาลงด้วยนั้น ระดับความเครียดของวาฬก็ลดลงเช่นกัน ที่เสียงมีผลต่อวาฬอย่างมาก นั่นก็เพราะวาฬเป็นสัตว์ที่ใช้เสียงทำทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารและการเดินทางเพื่อหาอาหารหรือค้นหาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย นอกจากนี้นักนิเวศวิทยายังอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า เสียงจะสามารถเดินทางในน้ำได้เร็วและไกลกว่าในอากาศ ดังนั้นสัตว์ทะเลต่างๆ ก็ใช้ประโยชน์จากข้อนี้ด้วย แต่ขณะเดียวกันในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาที่การขนส่งทางเรือเพิ่มขึ้น ก็มีส่วนทำให้เสียงความถี่ต่ำปรากฏมากขึ้นกว่า 30 เท่าตามเส้นทางเดินเรือ และนั่นก็หมายความว่ามลพิษทางเสียงที่เกิดจากการขนส่งทางเรือนี้ก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของพวกสัตว์ทะเลด้วยเช่นกัน นักนิเวศวิทยายังเปรียบเทียบไว้อย่างเห็นภาพ (หรือจะพูดให้ถูกคืออย่างได้ยินเสียง) ว่าให้ลองนึกภาพว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ชั้นบนในอพาร์ตเมนต์เดียวกันกับเรากำลังทำงานที่ส่งเสียงดังอยู่ ในขณะที่เราต้องประชุมออนไลน์และพรีเซนต์งานสำคัญ มันคงเป็นเรื่องยากมากทีเดียวที่จะทำงานและสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานอย่างราบรื่น และนี่ก็คือสิ่งที่สัตว์ทะเลที่อาศัยหรืออพยพมายังบริเวณที่ใกล้เสียงของมนุษย์ต้องเจออยู่ตลอดเวลา จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ถือเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้ศึกษาว่า เสียงสามารถส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลได้อย่างไรบ้าง และนักวิทยาศาสตร์หลายคนก็มีคำแนะนำที่จะช่วยให้สัตว์หลายชนิดรอดพ้นจากมลพิษทางเสียงที่มักถูกมองข้ามนี้ได้ เสียงในมหาสมุทรที่เกิดจากมนุษย์นั้นมีหลายอย่าง ตั้งแต่เสียงโซนาร์ทางการทหารและการลงจอดของเครื่องบิน ไปจนถึงการก่อสร้างฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง และการวัดคลื่นไหวสะเทือนเพื่อสำรวจหาน้ำมันและก๊าซ อย่างไรก็ตามแหล่งกำเนิดเสียงที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือเรือ และเสียงจากใบพัด เมื่อใบพัดของเรือ (โดยเฉพาะใบพัดรุ่นเก่า) หมุนด้วยความเร็วสูง จะเกิดการสร้างแรงกดต่ำ ส่งผลให้เกิดฟองอากาศจำนวนมาก และเมื่อแตกตัวก็จะทำให้เกิดเสียงรบกวนความถี่ต่ำ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีชื่อเรียกว่าการเกิดคาวิเตชัน (Cavitation) โดยเสียงความถี่ต่ำที่ว่านี้เป็นเสียงช่วงยาว และสามารถรบกวนการสื่อสารของสัตว์ทะเลได้ในวงกว้าง เช่น โลมาปากขวดที่ใช้เสียงทุกประเภทในการสื่อสารกัน บางครั้งเสียงของพวกมันสื่อสารถึงโลมาที่อยู่ไกลถึง 20 กม. เฮเลน เบลีย์ ศาสตราจารย์ด้านการวิจัยจากศูนย์วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ อธิบายว่ามีการค้นพบว่า โลมาจะปรับเสียงของมันเวลามีเสียงดังในน้ำ เพื่อให้โลมาตัวอื่นได้ยินมันชัดเจนขึ้น การปรับตัวนี้ก็คล้ายเวลาที่เราต้องตะโกนเสียงดังเมื่ออยู่ในคลับเพื่อให้เพื่อนได้ยินสิ่งที่เราพูด ในความหมายของโลมา คำว่า ?ปรับ? นั้นหมายถึงการลดความซับซ้อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำกันเวลาต้องการถ่ายทอดข้อความในที่ที่มีเสียงรบกวนมาก ในการศึกษาปี 2018 ที่นำโดยเบลีย์นักวิจัยได้บันทึกเสียงใต้น้ำที่เกิดจากการจราจรทางเรือในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ พบเสียงสูงสุดถึง 130 เดซิเบล ซึ่งเทียบเท่ากับทางหลวงที่พลุกพล่าน หากโลมาพยายามจะสื่อสารกันภายใต้เสียงรบกวนเช่นนี้เป็นประจำ อนุมานได้เลยว่าพวกมันอาจจะพลาดการสื่อสารระหว่างกันได้ นอกจากนี้ เสียงความถี่ต่ำที่ต่อเนื่องยังส่งผลต่อความสามารถของปลาตัวเล็กในการหาที่อยู่อาศัย โดยปลาตัวเล็กจะใช้เสียงเพื่อเสาะหาระบบนิเวศทางทะเลในอุดมคติ พวกมันจะเฝ้าฟังเสียงใต้น้ำที่หลากหลาย ซึ่งจะบ่งชี้ว่าบริเวณนั้นมีทรัพยากรมากมายและมีสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย แต่เมื่อเสียงจากมนุษย์มาปิดกั้นเสียงธรรมชาติเหล่านี้ พวกมันก็อาจลงเอยด้วยการอาศัยในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย มลพิษทางเสียงถือเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวาฬที่ใช้เสียงสื่อสารกันเป็นประจำ จากการศึกษาวาฬสีน้ำเงินในปี 2555 พบว่าเสียงจากโซนาร์ทางการทหารจะซ้อนทับกับเสียงสื่อสารระหว่างวาฬด้วยกัน ทำให้พวกมันต้องพูดซ้ำๆ ราวกับว่ากำลังคุยโทรศัพท์ที่สัญญาณไม่ดี ร็อบ วิลเลียมส์ นักชีววิทยาทางทะเลและผู้ก่อตั้ง 'Oceans Initiative' องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ทำงานเพื่อปกป้องชีวิตใต้ท้องทะเล เชื่อว่าเสียงในทะเลที่เกิดจากมนุษย์เป็นภัยคุกคามต่อวาฬพอๆ กับที่การตัดไม้ทำลายป่าเป็นภัยต่อหมีกริซลี่ เสียงเหล่านี้ส่งผลกระทบในทุกแง่มุมของวิถีชีวิตของพวกมัน "เสียงมีความสำคัญต่อวาฬพอๆ กับประสาทสัมผัสทั้งหมดของเรา พวกมันสามารถรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ทั่วทั้งร่างกาย" วิลเลียมส์กล่าว วิลเลียมส์ได้ศึกษาวาฬเพชฌฆาตเป็นเวลาหลายสิบปี รวมถึงวาฬเพชฌฆาตที่อยู่ทางตอนใต้ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นวาฬที่ใกล้สูญพันธุ์เต็มที เนื่องจากแหล่งอาหารลดน้อยลง และทะเลเต็มไปด้วยมลภาวะ รวมถึงเสียงในมหาสมุทร https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/101947
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ฮือฮา!พบซากเรือพิฆาตลำแรกของสหรัฐฯ ถูกเรือดำน้ำเยอรมนียิงจมในสงครามโลก ทีมประดาน้ำนอกชายฝั่งอังกฤษ เชื่อว่าพวกเขาพบซากเรือพิฆาตลำหนึ่งของสหรัฐฯ ซึ่งถูกเรือดำน้ำเยอรมนียิงตอร์ปิโดใส่จนจมอยู่ก้นทะเล ระหว่างสถานการณ์ความเป็นปรปักษ์ขั้นสูงสุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กองบัญชาการประวัติศาสตร์และมรดกแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯแถลงเมื่อวันศุกร์(12ส.ค.) ว่า ดาร์คสตาร์ กลุ่มนักประดาน้ำมืออาชีพจากสหราชอาณาจักร พบเศษซากที่เชื่อว่าเป็นของเรือยูเอสเอส จาค็อบ โจนส์ นอกชายฝั่งแหลมทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ เรือลำดังกล่าวมีหน้าที่คอยลาดตระเวณและอารักขาขบวนเรือต่างๆรอบๆสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 1917 จนกระทั่งมันอัปปางลงในวันที่ 6 ธันวาคม จากข้อมูลระบุว่าเรือพิฆาตลำนี้จมห่างจากชายฝั่งอังกฤษไปราวๆ 96 กิโลเมตร ใกล้ช่อบแคบอังกฤษ หลังจากถูกตอร์ปิโดโจมตี บรรดานักประวัติศาสตร์ระบุว่าบรรดาลูกเรือมีเวลาแค่ราวๆ 8 นาทีก่อนเรืออัปปาง ทำให้มีลูกเรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่สามารถขึ้นแพยางฉุกเฉินอพยพหลบหนีได้ทัน โดยเชื่อว่ามีลูกเรือเพียง 46 คน จากทั้งหมด 110 คนที่รอดชีวิตจากการโจมตีดังกล่าว กองบัญชาการประวัติศาสตร์และมรดกแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ บอกว่าหลังจากอัปปาง เรือดำน้ำของเยอรมนีได้พาตัว 2 เชลยศึกขึ้นจากกระแสน้ำอันหนาวเย็น และวิทยุไปยังฐานทัพอเมริกาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง แจ้งให้ส่งกองเรือกู้ภัยเข้ามาช่วยเหลือลูกเรือของเรือพิฆาต อย่างไรก็ตามสืบเนื่องจากเรือพิฆาตน้ำหนักกว่า 1,000 ตันลำนี้ จมสู่ก้นทะเลเร็วมาก ตำแหน่งสุดท้ายของมันจึงเป็นปริศนามานานกว่า 100 ปี ทีมประดาน้ำสหราชอาณาจักรคาดหมายว่าเรือจมอยู่ที่ความลึกราวๆ 400 ฟุต และบอกว่าพวกเขายังไม่เคลื่อนย้ายวัตถุใดๆออกจากจุดที่พบซากเรือ ระหว่างการสำรวจเมื่อเร็วๆนี้ เหล่านักประวัติศาสตร์มองเรือพิฆาตลำนี้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะม้าใช้ และมีหน้าที่รับผิดชอบคอยช่วยบรรดาลูกเรือหลายร้อยคนจากเรือต่างๆที่ถูกโจมตีด้วยตอร์ปิโด ก่อนที่มันจะประสบชะตากรรมเดียวกัน ในช่วงสุดสิ้นสงครามในเดือนพฤศจิกายน 1918 เชื่อว่าเยอรมนี ได้จมเรือพาณิชย์มากกว่า 5,000 ลำและเรือรบราวๆ 100 ลำ อย่างไรก็ตามพวกนักประวัติศาสตร์บอกว่า แม้มีความพยายามดังกล่าว แต่กองกำลังเยอรมนีก็ไม่สามารถเอาชนะแสนยานุภาพทางทะเลของพันธมิตรได้ นิวยอร์กโพสต์รายงานว่าเหล่านักประดาน้ำมีความตั้งใจติดต่อและทำงานร่วมกับสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับเรือลำนี้ (ที่มา:นิวยอร์กโพสต์) https://mgronline.com/around/detail/9650000077667 ****************************************************************************************************** ธารน้ำแข็งอายุหลายร้อยปีบนสันเขาสวิตเซอร์แลนด์ กำลังละลายด้วยภาวะโลกร้อน Photo Credit: www.glacier3000.ch สกีรีสอร์ทชื่อดังแห่งสวิตเซอร์แลนด์ Glacier 3000 เปิดเผยว่า คลื่นความร้อนและฤดูหนาวที่แห้งแล้งได้ทำให้ชั้นน้ำแข็งหนาที่ปกคลุมภูเขามานานหลายศตวรรษเกือบละลายหมดภายในไม่กี่สัปดาห์ หลังจากฤดูหนาวที่แห้งแล้ง อุณหภูมิที่ร้อนจัดในฤดูร้อนที่กระทบไปทั่วยุโรป กลายเป็นหายนะสำหรับธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอลป์ ซึ่งกำลังละลายไปอย่างรวดเร็ว โดยเส้นทางระหว่างธารน้ำแข็ง Scex Rouge และ Tsanfleuron บริเวณสันเขาที่ปกคลุมมายาวนานตั้งแต่ยุคโรมัน กำลังละลายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เมื่อธารน้ำแข็งทั้งสองละลายไป หินเปลือยเปล่าของสันเขาทั้งสองก็เริ่มโผล่ออกมาโดยปราศจากน้ำแข็งอีกต่อไปก่อนฤดูร้อนจะสิ้นสุดลง สกีรีสอร์ท Glacier 3000 ระบุว่าน้ำแข็งมีความหนาประมาณ 15 เมตร (50 ฟุต) ในปี 2012 จะละลายหายไปหมดไม่อีกไม่สัปดาห์นี้ และถือเป็นดินแดนที่มองไม่เห็นมานานแล้วหลายศตวรรษ สันเขาอยู่ที่ระดับความสูง 2,800 เมตร นักเล่นสกีสามารถเดินข้ามยอดจากธารน้ำแข็งที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นมีแนวหินโผล่ออกมาเหลือเพียงน้ำแข็งก้อนสุดท้ายที่เหลืออยู่ Bernhard Tschannen ผู้บริหารระดับสูงของ Glacier 3000 กล่าวว่า "ไม่มีใครก้าวเข้ามาที่นี่มากว่า 2,000 ปีแล้ว? ธารน้ำแข็ง Scex Rouge มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นทะเลสาบภายใน 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า อาจมีความลึกประมาณ 10 เมตร มีปริมาตร 250,000 ลูกบาศก์เมตร Glacier 3000 จึงกำลังหาวิธีปรับตัวหากผู้คนไม่สามารถเล่นสกีระหว่างธารน้ำแข็งทั้งสองได้ "เรากำลังวางแผนในพื้นที่นี้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และแนวคิดหนึ่ง คือ การเปลี่ยนเส้นทางของกระเช้าลอยฟ้าในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงธารน้ำแข็ง Tsanfleuron ได้โดยตรงมากขึ้น" Tschanen กล่าว ด้าน Mauro Fischer นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยเบิร์นกล่าวว่า การสูญเสียความหนาของธารน้ำแข็งในภูมิภาคนี้จะสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 3 เท่าภายในปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงฤดูร้อนในทศวรรษที่ผ่านมา https://mgronline.com/travel/detail/9650000077381
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|