#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทยตอนบน ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันออกมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนหรือฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 3 - 4 ส.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ในขณะที่มีแนวลมพัดสอบของลมตะวันตกเฉียงใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกและอ่าวไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและภาคตะวันออก ส่วนในช่วงวันที่ 5 ? 8 ส.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 3 - 5 ส.ค. 67 ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันออก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม และเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'สัตว์ 6 สายพันธุ์' ค้นพบใหม่ ในขณะที่สัตว์มากกว่า 2,200 สายพันธุ์ สูญพันธุ์ KEY POINTS - มีสัตว์สูญพันธุ์มากกว่า 2,200 สายพันธุ์ใน 160 ประเทศ แต่บางชนิด เช่น ปลาลายเสือดาวและผึ้งยักษ์ ได้ถูกค้นพบใหม่ - นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าการปกป้องและฟื้นฟูธรรมชาติมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดี สังคม และเศรษฐกิจ - วาระการดำเนินการด้านธรรมชาติของ World Economic Forum ทำงานรวมกับภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกันเพื่อพยายามหยุดยั้งการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพภายในปี 2573 ชนิดพันธุ์อาจสูญหายได้จากหลายสาเหตุ สามารถลดลงได้เนื่องจากภัยคุกคาม รวมถึงโรคภัยไข้เจ็บและการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย พวกเขาอาจอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่นักวิทยาศาสตร์เข้าถึงได้ยาก หรืออาจมีอยู่เป็นจำนวนเล็กน้อยในภูมิภาคที่การรบกวนครั้งหนึ่งอาจกวาดล้างประชากรทั้งหมดได้ แต่ก็ยังมีข่าวดีสำหรับสัตว์อื่นๆอย่างนี่คือหกสายพันธุ์ที่ถูกค้นพบอีกครั้ง 1. แมงมุมเต้นแท็ป (Tap-dancing spider) แมงมุมประตูกลของ Fagilde ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในโปรตุเกสแผ่นดินใหญ่ ถูกพบอีกครั้งหลังจากการค้นหาอย่างอุตสาหะนานถึง 2 ปี โดยต้องรื้อพื้นที่ป่าเพื่อหาโพรงที่ปกคลุมไปด้วยไหม สิ่งนี้เผยให้เห็นโพรงที่สร้างขึ้นแตกต่างจากแมงมุมประตูกลทั่วไป และการวิเคราะห์ DNA ยืนยันว่าตัวเมียที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นแมงมุมประตูกลตัวแรกของ Fagilde ที่ถูกพบเห็นในรอบ 92 ปี แมงมุมเต้นแท็ปจริงๆหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนั้น เมื่อพยายามดึงดูดคู่ครอง แมงมุมตัวผู้จะเต้นเป็นจังหวะที่ประตูบ้านของตัวเมีย 2. ปลาลายเสือดาว (Leopard-spotted fish) ปลาในตำนานนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในป่า หนึ่งในนักวิจัยที่รับผิดชอบในการค้นพบปลาบาร์เบลเสือดาวอีกครั้งในต้นปี 2567 ในแม่น้ำยูเฟรติสในตุรกีตะวันออก ซีเรียตะวันออก อิหร่าน และอิรัก ปลาสายพันธุ์นี้ถูกผลักดันให้ใกล้สูญพันธุ์จากปัจจัยต่างๆ เช่น มลพิษและการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัย และได้รับการบันทึกไว้ทางวิทยาศาสตร์ครั้งสุดท้ายในปี 2554 ปลาชนิดนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในปลาที่ใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดในโลก นักวิทยาศาสตร์ยกย่องการค้นพบครั้งนี้ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญในการต่อสู้เพื่อปกป้องระบบนิเวศน้ำจืดของภูมิภาค 3. มังกรไร้หู (Earless dragon) ครั้งหนึ่งเคยพบเห็นได้ทั่วไปในทุ่งหญ้าทางตะวันตกของเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย การพบเห็นมังกรไร้หูในทุ่งหญ้าวิกตอเรียครั้งสุดท้ายคือในปี 1969 จนกระทั่งถึงปี 2023 เมื่อกิ้งก่าตัวเล็กที่ไม่มีช่องหูภายนอกถูกค้นพบอีกครั้งใน ' สถานที่ลับ' สัตว์ชนิดนี้ถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งโดยรัฐบาลท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยที่อยู่ของประชากรที่ถูกค้นพบอีกครั้ง ด้วยเหตุผลด้านการอนุรักษ์ 4. ตัวตุ่นปากยาว (Long-beaked echidna) หากพรรณนาชนิดใดได้น่าสนใจก็คงจะเป็นตัวตุ่น มันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มันวางไข่ และมันถูกเรียกว่า "ฟอสซิลที่มีชีวิต" ซึ่งมีต้นกำเนิดย้อนกลับไปถึงสมัยที่ไดโนเสาร์เดินบนโลก ตัวตุ่นจงอยปากยาวของ Attenborough ได้รับการตั้งชื่อตามผู้ประกาศข่าวและนักชีววิทยาชาวอังกฤษชื่อ Sir David Attenborough เชื่อกันว่าเป็นสัตว์ที่ถูกคุกคามมากที่สุดในบรรดาตัวตุ่นปากยาวสามสายพันธุ์ หลังจากสูญหายไปจากวิทยาศาสตร์เป็นเวลา 62 ปีนับตั้งแต่พบเห็นครั้งสุดท้ายในอินโดนีเซีย ถูกค้นพบอีกครั้งในปี 2023 5. ซาลาแมนเดอร์ปีน (Climbing salamander) ซาลาแมนเดอร์ปีนใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งได้สูญหายไปเป็นเวลา 42 ปี มันเป็นสายพันธุ์ป่าเมฆที่รู้จักกันว่า "เชี่ยวชาญในการหลบหนีความสนใจของมนุษย์" ยกเว้นสายพันธุ์ที่ถูกค้นพบอีกครั้งในปี 2017 ในกัวเตมาลา ซึ่งเจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานพบเห็นระหว่างพักรับประทานอาหารกลางวัน 6. ผึ้งยักษ์ (Giant bee) ผึ้งตัวหนึ่งสามารถใหญ่แค่ไหน ด้วยความยาวสูงสุด 4.5 ซม. และปีกกว้าง 6 ซม. ซึ่งมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือมนุษย์โดยเฉลี่ย ผึ้งยักษ์ของวอลเลซตัวเมียนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไม่เคยพบเห็นมันในป่ามาตั้งแต่ปี 1981 และเกรงว่าจะสูญพันธุ์ แต่ในช่วงต้นปี 2019 ทีมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียพบสายพันธุ์นี้อีกครั้งเมื่อสิ้นสุดการเดินทางในพื้นที่ห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินโดนีเซีย การค้นพบครั้งนี้ได้รับการอธิบายว่าเป็น "ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่" ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะกระตุ้นการอนุรักษ์ไว้ แม้ว่าการค้นพบสายพันธุ์เหล่านี้อีกครั้งสามารถนำไปสู่การอนุรักษ์ที่ประสบความสำเร็จ นักวิจัยบางคนตั้งข้อสังเกตว่าความพยายามมุ่งเน้นไปที่สายพันธุ์ทุกชนิด ไม่ใช่แค่สายพันธุ์ที่มนุษย์อาจมองว่ามีเสน่ห์มากกว่าเท่านั้น เนื่องจากโลกมีการสูญเสียสายพันธุ์อย่างรวดเร็วสูงกว่าอัตราการสูญพันธุ์ตามธรรมชาติถึง 1,000 ถึง 10,000 เท่า ตามข้อมูลของ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ระบุว่าการจัดการกับการสูญเสียและความเสื่อมโทรมของธรรมชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่น้อยเพราะว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของโลกขึ้นอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติและบริการในระดับมากหรือปานกลาง ที่มา : World Economic Forum https://www.bangkokbiznews.com/environment/1138443
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'ญี่ปุ่น' ประกาศ 'ห้ามโยนเหรียญ' ลงน้ำ อาจทำให้คนโชคดี แต่ทำลายพืชน้ำ .......... โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล แม้จะมีคำเตือน แต่นักท่องเที่ยวยังคง "โยนเหรียญ" ลงไปในบ่อน้ำ เพราะคิดว่าจะทำให้ "โชคดี" แต่ความจริงแล้ว มันกำลังเป็นภัยคุกคามต่อพืชน้ำ นักท่องเที่ยวในหลายประเทศมีความเชื่อว่า หากโยนเหรียญลงไปในบ่อน้ำของสถานที่ท่องเที่ยวแล้วจะทำให้โชคดี สำหรับบางทีที่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น น้ำพุเทรวี ในกรุงโรม อิตาลี ที่คนมักจะมาขอพรด้านความรัก ก็คงจะไม่อันตรายมากนัก แต่สำหรับบ่อน้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่าง "โอชิโนะฮักไก" หมู่บ้านน้ำใสแห่งภูเขาไฟฟูจิ ของญี่ปุ่นแล้ว เหรียญที่ผู้คนโยนลงไปถือเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศของแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งนี้ โอชิโนะฮักไก หรือ หมู่บ้านน้ำใส เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ภูเขาไฟฟูจิ บริเวณทะเลสาบยามานาคาโกะ ในจังหวัดยามานาชิ ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้จะมีบ่อน้ำใสสะอาดอยู่ด้วยกัน 8 บ่อ โดยเชื่อว่าน้ำในบ่อเป็นแหล่งน้ำสะอาดอันศักดิ์สิทธิ์จากภูเขาไฟฟูจิ และได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกในปี 2556 ด้วยความเชื่อว่าเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้นักท่องเที่ยวต่างพากันโยนเหรียญลงไปในบ่อน้ำ เพื่อขอพรและสร้างสิริมงคลให้แก่ตัวเอง แม้จะมีป้ายเตือนนักท่องเที่ยวไม่ให้โยนเหรียญลงในบ่อน้ำเป็น 4 ภาษา คือ ญี่ปุ่น อังกฤษ จีน และเกาหลีแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความเชื่อของนักท่องเที่ยวได้ ยังคงมีเหรียญจำนวนมากกองรวมกันอยู่ในน้ำ อาสาสมัครดำน้ำเก็บเหรียญ เปิดเผยกับสำนักข่าวญี่ปุ่น Fuji News Network ว่า เขาเก็บเหรียญมาหลายปีแล้ว โดยเหรียญบางกองมีความสูงถึง 1 เมตร และเมื่อเหรียญลงไปในน้ำแล้ว เหรียญจะปนกับโคลนที่ก้นบ่อน้ำ ทำให้กำจัดเหรียญเหล่านี้ออกไปได้ยาก สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ห้ามโยนเหรียญ เนื่องจากเชื่อว่าโลหะเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ ปัจจุบันจำนวนพืชในน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง จากประเพณีการโยนเหรียญที่ปฏิบัติกันมาหลายปี จากการศึกษาของทีมนักวิจัยในสหภาพยุโรปในปี 2020 พบว่า การโยนเหรียญลงในบ่อน้ำหรือน้ำพุ อาจทำให้เกิดการสะสมของอนุภาคโลหะที่มีจุลินทรีย์ปนเปื้อนในน้ำได้ อีกทั้งยังพบว่าชุมชนจุลินทรีย์ที่อยู่บนเหรียญนั้นมีลักษณะแตกต่างจากชุมชนจุลินทรีย์ในแหล่งน้ำ โดยตรวจพบยีนต้านทานยาปฏิชีวนะ (ARG) บนเหรียญส่วนใหญ่ ดังนั้นการโยนเหรียญจึงเป็นแหล่งที่มาและพาหะที่เป็นไปได้สำหรับ ARG สู่สภาพแวดล้อมโดยรอบ ตามกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น กำหนดโทษสำหรับคนที่โยนเหรียญใส่บ่อน้ำของหมู่บ้านโอชิโนะฮักไก ระวางโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี หรือปรับสูงสุด 1 ล้านเยน หรือประมาณ 233,900 บาท Fuji News Network ตั้งกล้องบันทึกภาพบ่อน้ำแห่งหนึ่งของหมู่บ้านน้ำใสภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมง พบว่ามีนักท่องเที่ยว 5 กลุ่ม โยนเหรียญลงในบ่อน้ำ โดยนักท่องเที่ยวกล่าวว่าไม่รู้ว่าห้ามโยนเหรียญลงน้ำ เพราะเห็นมีแต่เหรียญอยู่เต็มสระน้ำ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลบ่อน้ำสังเกตเห็นว่า ในปี 2024 มีการโยนเหรียญ 500 เยน ลงบ่อเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเงินเยนอ่อนค่าลง และแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของพวกเขา เพราะเหรียญ 500 เยนถือเป็นเหรียญที่มีมูลค่ามากที่สุด ในขณะนี้หมู่บ้านโอชิโนะฮักไก กำลังมองหาวิธีอื่นนอกเหนือจากการสร้างป้ายเตือน เพื่อหยุดพฤติกรรมการโยนเหรียญของนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักท่องเที่ยวทำพฤติกรรมทำลายสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น (ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 จังหวัดยามานาชิต้องขึงผ้าสีดำขนาดใหญ่ขนาดสูง 2.5 เมตร และยาว 20 เมตร บริเวณร้านสะดวกซื้อ Lawson เพื่อบดบังทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิ หลังจากที่นักท่องเที่ยวมารวมตัวกันเพื่อถ่ายรูปที่หน้าร้าน จนกีดขวางการจราจร และทำให้การดำเนินชีวิตของคนท้องถิ่นไม่สะดวกสบาย ขณะที่วัดเซ็นโซจิ ในจังหวัดไซตามะ ได้ประดิษฐาน "พระโพธิสัตว์" สำหรับวางเหรียญกษาปณ์ เพื่อให้นักท่องเที่ยววางเหรียญนำโชคตามความเชื่อไว้บนฐานของรูปปั้น แทนที่จะโยนลงในสระน้ำ ซึ่งจะไปรบกวนสัตว์ทะเลและถิ่นที่อยู่ของพวกมัน ที่มา: Fuji News Network, South China Morning Post https://www.bangkokbiznews.com/environment/1138486
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เต่ากระ "แม่เพรียง" ขึ้นวางไข่ 91 ฟองบนอ่าวเทียน เต่ากระ "แม่เพรียง" ขึ้นวางไข่ 91 ฟอง บริเวณอ่าวเทียนของเกาะทะลุ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เบื้องต้นเคลื่อนย้ายรังไปยังบ่ออนุบาลมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม นายสมเจตน์ จันทนา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนายเอกฤทธิ์ ดวงมาลา หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ) ว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2567 เวลา 23.10 น. เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม เดินลาดตระเวนบนพื้นที่เกาะทะลุ อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบเเม่เต่ากระ ชื่อ "แม่เพรียง" หมายเลขไมโครชิพ 933.076400505267 ขึ้นวางไข่บริเวณอ่าวเทียนของเกาะทะลุ จำนวน 1 รัง เป็นรังที่ 6 ของปี 2567 อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของอุทยานฯ สำหรับแม่เพรียง มีขนาดลำตัวกระดองกว้าง 77 เซนติเมตร ยาว 89 เซนติเมตร วางไข่ 91 ฟอง ขนาดของหลุมกว้าง 27 เซนติเมตร ลึก 39 เซนติเมตร ห่างจากน้ำทะเล 8 เมตร ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายรังไปยังบ่ออนุบาลของมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางธรรมชาติ พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเฝ้าระวังและเก็บข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมง https://www.thaipbs.or.th/news/content/342649
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
ญี่ปุ่นผุดวิธีเปลี่ยน 'พลาสติก' เป็น 'น้ำมันดิบ' แก้ปัญหาขยะล้นเมือง ญี่ปุ่นเตรียมบอกลาปัญหาขยะพลาสติกล้นเมือง ด้วยการนำพวกมันมาเปลี่ยนให้เป็นน้ำมันดิบที่มีมูลค่า และคาดว่าจะมามารถนำไปต่อยอดในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้อย่างมีคุณภาพ รู้ไหมว่า ในทุก 1 นาที มีขวดพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นขยะมากกว่า 1 ล้านขวดทั่วโลก ยังไม่นับพลาสติกอื่น ๆ ที่ถูกใช้แล้วทิ้งในชีวิตประจำวัน นั่นทำให้ปัญหาขยะพลาสติกกลายเป็นวิกฤติที่ทั่วโลกต้องเร่งแก้ปัญหา ล่าสุด ญี่ปุ่นกำลังเป็นหัวหอกด้วยการยกระดับการรีไซเคิลพลาสติกไปอีกขั้น เมื่อบริษัท Environment Energy กำลังวางแผนปฏิวัติอุตสาหกรรมรีไซเคิลพลาสติก ด้วยการเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็น 'น้ำมันดิบ' และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2568 แทนที่จะนำไปรีไซเคิลด้วยเครื่องจักรที่จะบดพลาสสติกเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ พวกเขาจะใช้เทคโนโลยี HICOP (การผลิตน้ำมันประสิทธิภาพสูง) ที่ล้ำสมัย ซึ่งจะแยกชิ้นส่วนประกอบของพลาสติกก่อนควบแน่นก๊าซให้กลายเป็นน้ำมันดิบ จุดประสงค์หลักของพวกเขาคือการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการนำขยะพลาสติกมาเปลี่ยนให้เป็นวัตถุดิบที่มีมูลค่า และคาดหวังว่าจะสามารถนำไปต่อยอดสร้างผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม กระบวนการดังกล่าวยังต้องอาศัยการคัดแยกขยะจากครัวเรือนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้มีขยะแปลกปลอมอื่น ๆ ปะปนมากับขยะพลาสติกที่พวกเขาต้องการ ที่มา: Deccanherald https://www.springnews.co.th/keep-th...ainable/851892
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณสำหรับข่าวทะอลและสิ่งแวดล้อม ที่มาให้อ่านทุกยามเช้าค่ะ?
__________________
Saaychol |
|
|