#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างจะเคลื่อนเข้าปกคลุมชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักถึงหนักมากไว้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนบนคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 4 ธ.ค. 63 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆบางส่วน กับมีลมแรง โดยมีฝนตกเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย0 ในช่วงวันที่ 1 ? 2 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ส่วนในช่วงวันที่ 3 - 6 ธ.ค. บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกหหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่จะมีลมตะวันตกพัดพาความหนาวเย็นจากประเทศเมียนมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นลง กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงได้อีก 3 - 5 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ยังคงมีกำลังแรง ประกอบกับในช่วงวันที่ 1 ? 3 ธ.ค. 63 หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างจะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 4 - 6 ธ.ค. 63 ภาคใต้มีฝนลดลง และคลื่นลมมีกำลังอ่อนลง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 1 ? 6 ธ.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย สำหรับประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ในช่วงวันที่ 1 ? 3 ธ.ค. 63 ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากด้วย และชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง ควรหลีกเลี่ยงการเดืนเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงเวลาดังกล่าว ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "ฝนตกหนักและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 4 ธ.ค. 2563)" ฉบับที่ 8 ลงวันที่ 01 ธันวาคม 2563 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง จะเคลื่อนเข้าปกคลุมชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ทำให้บริเวณภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยในบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากไว้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง มีดังนี้ ในช่วงวันที่ 1 - 2 ธันวาคม 2563 มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ภาคใต้: จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล ในวันที่ 3 ธันวาคม 2563 มีฝนตกหนักบางแห่ง ภาคใต้: จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง และชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 4 ธ.ค. 63
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ธาตุเคมีชี้ความสำคัญ พืดน้ำแข็งโลก ผู้คนมักคิดว่า แอนตาร์กติกาเป็นเพียงพื้นที่น้ำแข็ง แต่จริงๆ แล้วมีน้ำในสถานะของเหลวอยู่ใต้พืดน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาและกรีนแลนด์ นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษากระบวนการทางธรณีเคมีของโลก ศึกษาตรวจสอบจนรู้ว่าน้ำใต้พืดน้ำแข็งในสภาพแวดล้อมขั้วโลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอันเป็นผลมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น เมื่อเร็วๆนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาสเตต และมหาวิทยาลัยรัฐมอนตานา ในสหรัฐอเมริกา เผยว่า ข้อมูลจากทะเลสาบในแอนตาร์กติกน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษเสมอ ปัจจุบันมีการระบุว่าทะเลสาบที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งมีมากกว่า 400 แห่งในทวีปแห่งนี้ และนักวิทยาศาสตร์ก็มีความเชื่อมาหลายปีว่าน้ำใต้ธารน้ำแข็งทั่วโลกมีธาตุเคมีที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการดำรงชีวิตในปริมาณเล็กน้อย จนไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการทางธรณีเคมีและกระบวนทางชีววิทยาของโลก แต่ล่าสุด จากการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำใต้น้ำแข็งทั้งในแอนตาร์กติกาและกรีนแลนด์ พบว่าน้ำเหล่านี้มีความเข้มข้นของธาตุเคมีที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการดำรงชีวิตสูงกว่าที่เคยคิดไว้ ตัวอย่างที่พบก็เช่น นักวิจัยคาดว่าจะเห็นธาตุเหล็กซึ่งเป็นธาตุส่วนน้อยแต่ที่เป็นส่วนสำคัญ ละลายน้ำน้อยกว่า 5 ไมโครกรัมต่อลิตรในน้ำใต้ธารน้ำแข็งบางแห่ง แต่กลับเห็นได้ถึง 1,000 ไมโครกรัมต่อลิตร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เหล่านี้อาจสร้างความแตกต่างที่สำคัญของดำรงชีวิตในระบบนิเวศใต้น้ำแข็งแบบสุดขั้ว รวมถึงในน่านน้ำมหาสมุทรที่รองรับพืดน้ำแข็งที่ละลายลง. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1985709
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
ผวา!พบ'หมึกบลูริง'ปิ้งขายตลาด พิษร้ายกว่างูเห่า20เท่า เพจเฟซบุ๊ก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โพสต์เตือน เจอหมึก"บลูริง" หรือฉายาสวยประหาร เสียบไม้ขายที่ตลาดนัด ย่านปทุมธานี แนะตอนซื้อต้องสังเกตให้ดี ชี้อันตรายถึงชีวิต พิษร้ายกว่างูเห่า 20 เท่า เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า ?จากทะเลมาปทุมธานี หมึกบลูริงพิษร้ายระวังด้วยจ้า? วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 กรม ทช. โดยสถาบันวิจัย ทช. รับแจ้งจากคุณจันทรา? พุ่มแจ่ม? แจ้งพบหมึกบลูริง เสียบไม้ปิ้งขายในตลาดนัดตอนเย็น พื้นที่ จ.ปทุมธานี แม้ว่าหมึกย่างจะอร่อยมากก็จริง ยิ่งเจอน้ำจิ้มรสเด็ดยิ่งแจ่ม แต่ให้สังเกตเพิ่มกันหน่อย ทั้งพ่อค้าแม่ค้าคัดแยกให้ดีก่อนเอามาปรุงอาหารขาย ลูกค้าก็เช่นกันก่อนบริโภคสังเกตลายสักนิด ถ้าพบหมึกมีลายเป็นวงๆ สีน้ำเงินทั่วตัวจนไปถึงเส้นหมวด ให้หลีกเลี่ยงด่วน อันตรายมากเพราะพิษของหมึกชนิดนี้ แม้ปรุงสุกก็ไม่สลาย ยังมีอันตราย พิษนี้ทนความร้อนได้สูงถึง 200 องศาเซลเซียส ดังนั้น แม้ย่างสุกก็ไม่สามารถทำลายพิษได้ ปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษใดๆ ต่อต้านได้ https://www.dailynews.co.th/regional/809864
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ทช.ห่วง หลังพบ "หมึกบลูริง" เสียบไม้วางขายในตลาด เตือนสังเกตให้ดีก่อนบริโภค พิษรุนแรง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ออกมาเตือนผู้บริโภคที่ชื่นชอบหมึกงย่าง ให้เพิ่มความระมัดระวังเพิ่มขึ้นหลังพบ "หมึกบลูริง" ที่มีพิษร้ายแรงวางขายในตลาด แม้เจอความร้อนพิษก็ยังไม่หายไป วันนี้ (30 พ.ย.) เพจ "กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" ได้ออกมาโพสต์ข้อความแจ้งเตือนอันตรายสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรับประทานอาหารประเภทหมึกย่าง หลังทาง "กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" ได้รับแจ้งจากชาวเน็ตพบ "หมึกบลูริง" หรือ "หมึกสายวงน้ำเงิน" นำมาเสียบไม้วางขายในตลาด ซึ่งหมึกชนิดนี้มีพิษร้ายแรง เตือนผู้บริโภคสังเกตให้ดีก่อนรับประทาน ทั้งนี้ ได้ระบุข้อความว่า "จากทะเลมาปทุมธานี หมึกบลูริงพิษร้ายระวังด้วยจ้า วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 กรม ทช. โดยสถาบันวิจัย ทช. รับแจ้งจากคุณจันทรา? พุ่มแจ่ม? แจ้งพบหมึกบลูริง เสียบไม้ปิ้งขายในตลาดนัดตอนเย็น พื้นที่ จ.ปทุมธานี แม้ว่าหมึกย่างจะอร่อยมากก็จริง ยิ่งเจอน้ำจิ้มรสเด็ดยิ่งแจ่ม แต่ให้สังเกตเพิ่มกันหน่อย ทั้งพ่อค้าแม่ค้าคัดแยกให้ดีก่อนเอามาปรุงอาหารขาย ลูกค้าก็เช่นกันก่อนบริโภคสังเกตลายสักนิด ถ้าพบหมึกมีลายเป็นวงๆ สีน้ำเงินทั่วตัวจนไปถึงเส้นหมวด ให้หลีกเลี่ยงด่วน อันตรายมากเพราะพิษของหมึกชนิดนี้ แม้ปรุงสุกก็ไม่สลาย ยังมีอันตราย พิษนี้ทนความร้อนได้สูงถึง 200 องศาเซลเซียส ดังนั้น แม้ย่างสุกก็ไม่สามารถทำลายพิษได้ ปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษใดๆ ต่อต้านได้" นอกจากนี้ นักวิชาการอย่าง รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความต่อเหตุการณ์ดังกล่าวผ่าน "อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์" เตือนอีกหนึ่งเสียงว่า "เวลาเลือกซื้อปลาหมึก จะสดหรือจะย่างแล้วก็ตาม สังเกตดูว่ามีใครเอาหมึกที่มีลักษณะเป็นว'งกลมสีน้ำเงินแบบนี้มาขายหรือเปล่าถ้าเจอวงแหวน ถ้า 1 หรือ 2 วงอันนั้นเป็นหมึกอิคคิว สามารถกินได้ แต่ถ้าเจอวงแหวนเต็มตัวแบบนี้ น่ากลัวมากนะครับ เพราะมันเป็นหมึกวงแหวนสีน้ำเงิน ซึ่งพิษของมันไม่อาจจะใช้ความร้อนลายได้ ห้ามกินเด็ดขาดครับ" https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000122810 ********************************************************************************************************************************************************* อันตรายจริง! เพจ "หมอเวร" อธิบายพิษ "หมึกบลูริง" เผย พิษแรงสุดในท้องทะเล เพจ "หมอเวร" ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความเป็นห่วง หลังพบว่ามีการวางขาย "หมึกบลูริง" เป็นอาหารในตลาดนัด เผย พิษสุดอันตราย สามารถแพร่ได้ทั้งจากการสัมผัสและฉีดพิษใส่ เผลอกินติดพิษแน่นอน ยัน พิษรุนแรงที่สุดในท้องทะเล จากกรณี กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งออกมาเตือนผู้บริโภคที่ชื่นชอบหมึกงย่าง ให้เพิ่มความระมัดระวังเพิ่มขึ้นหลังพบ ?หมึกบลูริง? ที่มีพิษร้ายแรงวางขายในตลาดพื้นที่ จ.ปทุมธานี แม้เจอความร้อนถึง 200 องศาเซลเซียสพิษก็ยังไม่หายไป อ่านข่าวประกอบ - ทช.ห่วง หลังพบ ?หมึกบลูริง? เสียบไม้วางขายในตลาด เตือนสังเกตให้ดีก่อนบริโภค พิษรุนแรง ทั้งนี้่ เมื่อวันที่ 30 พ.ย. เพจ "หมอเวร" ได้ออกมาระบุข้อความให้ความรู้เกี่ยวกับพิษของ "หมึกบลูริง" ว่าหมึกชนิดนี้ พิษมันอยู่ตรงไหน ? ต้องโดนมันกัดถึงจะติดพิษ หรือว่าต้องกินมันเข้าไปถึงโดนพิษกันแน่ ซึ่งทางเพจได้ระบุว่า "ไม่รู้ว่าจำกันได้มั้ย เดือนที่แล้วหมอเวรเพิ่งโพสต์เรื่องคนจีนกินบะหมี่แล้วเกิดอาหารเป็นพิษ แบบพิษจริงๆไม่ใช่แค่ท้องเสียอ่ะนะ รอบนี้บ้านเราก็เพิ่งเจออาหารเป็นพิษเหมือนกัน นั่นก็คือหมึกบลูริงเสียบไม้ย่างที่เป็นข่าวไปเมื่อเช้านี่แหละ ประเด็นคือคนเถียงกันว่า ตกลงหมึกชนิดนี้ พิษมันอยู่ตรงไหน ? ต้องโดนมันกัดถึงจะติดพิษ หรือว่าต้องกินมันเข้าไปถึงโดนพิษกันแน่ หมอเวรจะขออธิบายแบบนี้นะ คือสัตว์มีพิษในโลกเรา ถ้าเป็นคำภาษาอังกฤษ มันจะถูกแยกออกเป็น Venom กับ Poison #Venom คือสัตว์ที่ต้องกัดหรือต่อยเพื่อฉีดพิษเข้าสู่เหยื่อ เช่นงู แมงป่อง อะไรแบบนี้ ส่วน #Poison คือสัตว์ที่มีพิษอยู่ในตัวของมันเอง ถ้าเหยื่อกิน สัมผัส หรือหายใจเข้าไปจึงจะได้รับพิษ เช่นปลาปักเป้า ตัวเหราทะเล เป็นต้น ทีนี้พอเป็นภาษาไทย สัตว์ทั้งสองแบบต่างก็ถูกเรียกว่าสัตว์มีพิษทั้งคู่ พอเป็นคำรวมๆ ก็เลยทำให้หลายคนอาจงงได้ รวมถึงพิษจากหมึกบลูริงในข่าวเมื่อเช้านี้ก็เช่นกัน หลายคนก็เลยสงสัยกัน ว่าตกลงแล้วพิษของมันเป็นแบบไหนกันแน่ ? คำตอบก็คือ #พิษของปลาหมึกบลูริง เป็นทั้งสองแบบเลย คือมันมีต่อมพิษที่สามารถกัดและปล่อยพิษได้ รวมถึงอวัยวะส่วนต่างๆของตัวมันเองก็มีพิษที่แฝงอยู่ด้วย ทำให้ใครเผลอกินไปก็สามารถติดพิษได้เช่นกัน ประเด็นคือพิษของเจ้านี่นับว่ารุนแรงที่สุดในท้องทะเลก็ว่าได้ แรงกว่างูทะเลหลายเท่า รวมถึงแรงกว่าพิษงูเห่าถึง 20 เท่าเลยทีเดียว โครงสร้างพิษจะเหมือนกับปลาปักเป้า พิษนี้จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง กระบังลมเป็นอัมพาตทันที ไม่มียารักษาโดยตรง คนที่ติดพิษจะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจนอนพะงาบๆอยู่ ICU จนกว่าพิษจะสลายไปเอง ใครภูมิคุ้มกันดีก็รอด ใครร่างกายสู้ไม่ไหวก็อาจเกิดภาวะระบบการหายใจล้มเหลวจนเสียชีวิตลงได้ในที่สุด ที่สำคัญพิษนี้ทนต่อความร้อนสูงถึง 200 องศา ดังนั้นถ้าเจอมันเสียบไม้ขายอยู่ ถึงจะสั่งให้ลุงย่างหมึกให้เกรียมแค่ไหนพิษมันก็ไม่สลายไปไหน หรือน้ำจิ้มซีฟู๊ดแซ่บเข็ดฟันยังไงก็ไม่ช่วยเด้อ ฉะนั้นใครชอบกินปลาหมึกย่างช่วงนี้ ก่อนกินก็สังเกตกันดีๆด้วยล่ะ เป็นห่วง พลาดมาโลกแห่งความจริงไม่มีใบชุบให้ใช้เน้อ" https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000123104 ********************************************************************************************************************************************************* แม่เต่ามะเฟืองวางไข่ถี่ยิบ! พบอีกเป็นรังที่ 5 ของหาดบางขวัญ พังงา วันนี้ (30 พ.ย.2563) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) โดยสำนักงาน ทช.ที่ 6 (พังงา) รายงานว่า ได้รับแจ้งจากศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เต่ามะเฟืองหาดบางขวัญ เมื่อเวลา 05.00 น. ว่า นายสมพงษ์ จิตรชำนาญ ชาวบ้าน ม.7 ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา พบร่องรอยการขึ้นมาวางไข่ของเต่าทะเล บริเวณหาดบางขวัญ ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ซึ่งนับเป็นรังที่ 5 ของหาดบางขวัญ ทางเจ้าหน้าที่ร่วมกันตรวจสอบพื้นที่ พบอยู่ติดกับหลุมวางไข่เต่ามะเฟืองรังที่ 1/2564 บริเวณพิกัด 420956 E 907509 N ตรวจวัดขนาดความกว้างของพายซ้ายไปพายขวา 200 ซม. ขนาดอก 120 ซม. ขณะเดียวกันได้ทำการบินถ่ายภาพทางอากาศจากโดรน และเริ่มขุดค้นหาตำแหน่งวางไข่ซึ่งพบไข่เต่ามะเฟืองรวม 136 ฟอง ไข่ดีจำนวน101 ฟอง ไข่ลมจำนวน 35 ฟอง ต่อมาได้ทำการเคลื่อนย้ายไปไว้ในคอกเต่ารังที่ 1 ซึ่งในช่วงนี้เข้าสู่ช่วงฤดูกาลวางไข่ของเต่ามะเฟือง การพบครั้งนี้นับเป็นรังที่ 7 ของฤดูกาล ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีแม่เต่าขึ้นมาวางไข่อีกเรื่อยๆ เนื่องจากพื้นที่ที่แม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาว่างไข่นั้นมีความปลอดภัย และเงียบสงบ ทั้งนี้ หาดบางขวัญเป็นพื้นที่วางไข่แทบจะเป็นพื้นที่แหล่งสุดท้ายของเต่ามะเฟืองในประเทศไทย ดังนั้นเจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อม ตลอดจนได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างดีสำหรับการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นในพื้นที่ ทำให้มีโอกาสพบแม่เต่า และร่องรอยการขึ้นวางไข่อย่างต่อเนื่อง https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000123080
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
'พืดน้ำแข็งแอนตาร์กติก' ละลายกว่า2.6ล้านตร.กม. ทำระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นมาก 30 พฤศจิกายน 2563 สำนักข่าวซินหัวรายงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนเผยแพร่รายงานการสำรวจระยะไกลซึ่งระบุว่า ช่วงปี 1999-2019 มีพื้นผิวพืดน้ำแข็งแอนตาร์กติกละลายในปริมาณมาก รายงานว่าด้วยการสำรวจระยะไกลเพื่อตรวจดูสภาพแวดล้อมเชิงนิเวศระดับโลก 2020 ซึ่งกระทรวงเผยแพร่เป็นประจำทุกปีระบุว่า ช่วงปี 1999-2019 มีพื้นผิวพืดน้ำแข็งแอนตาร์กติกละลายอย่างเห็นได้ชัดกว่า 2.63 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็น 1 ใน 5 ของพืดน้ำแข็งทั้งหมด พืดน้ำแข็งที่ละลายส่วนมากคือส่วนขอบของพืดน้ำแข็งแอนตาร์กติกและคาบสมุทรแอนตาร์กติก โดยมีส่วนที่ละลายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเกิดการละลายมากที่สุดในส่วนคาบสมุทรแอนตาร์กติก รายงานคาดว่าพื้นผิวพืดน้ำแข็งแอนตาร์กติกจะละลายมากขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะส่วนตะวันตกของพืดน้ำแข็งแอนตาร์กติกและคาบสมุทรแอนตาร์กติก อันจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก รายงานของกระทรวงฯ ในปีนี้ได้เพิ่มหัวข้อใหม่เพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงของพืดน้ำแข็งแอนตาร์กติก หวังฉีอัน ผู้อำนวยการศูนย์การสำรวจระยะไกลแห่งชาติจีนระบุว่ารายงานวิเคราะห์ลักษณะการเปลี่ยนแปลงเชิงเวลาและพื้นที่ในการละลายของพื้นผิวพืดน้ำแข็งแอนตาร์กติก การสึกกร่อนของหิ้งน้ำแข็ง การแบ่งถิ่นอาศัยของเพนกวิน และความสัมพันธ์ระหว่างกัน หวังระบุว่ารายงานหัวข้อนี้มีคุณค่าทางวิทยาศาสตร์สูงสำหรับนำไปวิจัยเกี่ยวกับเสถียรภาพของพืดน้ำแข็งแอนตาร์กติกและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกต่อไป https://www.naewna.com/inter/535338
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'หมึกบลูริง' คืออะไร? ทำไมมีพิษร้ายแรงกว่างูเห่า 20 เท่า! จากกรณีพบ "หมึกบลูริง" ถูกนำมา "เสียบไม้ปิ้งขาย" ที่ จ.ปทุมธานี และเจ้าหน้าที่สถาบันวิจัย ทช. ได้โพสต์ข้อความเตือนประชาชนห้ามกิน ชวนรู้ลึกเกี่ยวกับ "หมึกบลูริง" ที่มีพิษร้ายแรงและยังไม่มียาแก้พิษ! วันนี้ (30 พ.ย. 2563) จากกรณีที่ สถาบันวิจัย ทช. ได้รับแจ้งจากคุณจันทรา? พุ่มแจ่ม? ว่าพบ "หมึกบลูริง" เสียบไม้ปิ้งขายในตลาดนัดตอนเย็น ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชน โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ระบุว่า "จากทะเลมาปทุมธานี หมึกบลูริงพิษร้ายระวังด้วย... แม้ว่าหมึกย่างจะอร่อยมากก็จริง แต่ให้สังเกตเพิ่มกันหน่อย ทั้งพ่อค้าแม่ค้าคัดแยกให้ดีก่อนเอามาปรุงอาหารขาย ลูกค้าก็เช่นกัน ก่อนบริโภคสังเกตลายบนตัวหมึกสักนิด ถ้าพบหมึกมีลายเป็น วงๆ สีน้ำเงิน ทั่วตัวจนไปถึงเส้นหมวด ให้หลีกเลี่ยงด่วน! อันตรายมาก เพราะพิษของ "หมึกบลูริง" แม้ปรุงสุกก็ไม่สลาย ยังคงมีอันตราย พิษนี้ทนความร้อนได้สูงถึง 200 องศาเซลเซียส ดังนั้นแม้ย่างสุกก็ไม่สามารถทำลายพิษได้ อีกทั้งปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษใดๆ ต่อต้านได้ด้วย" เอาเป็นว่า.. ลองมาเช็ค 10 ข้อควรรู้เกี่ยว "หมึกบลูริง" กันอีกสักนิดว่ามีหมึกชนิดนี้พิษร้ายแรงแค่ไหน? และถ้าโดนพิษเข้าไปแล้ว จะต้องปฐมพยาบาลอย่างไรบ้าง? โดยกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ได้สรุปข้อมูลจาก สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาให้ทราบกัน ดังนี้ 1. "หมึกบลูริง" เป็นหมึกยักษ์ที่ตัวเล็กแค่ 4 เซนติเมตร "หมึกสายวงน้ําเงิน" หรือ "หมึกบลูริง" (Blue-ringed octopus) เป็นหมึกยักษ์จําพวกหนึ่ง แต่มีขนาดเล็กมาก โดยตัวเต็มวัยมีขนาดลําตัวเพียง 4-5 เซนติเมตร มี 8 หนวด แต่ละหนวดยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร หลังจากเพศเมียวางไข่ ไข่จะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ และใช้เวลาประมาณ 2 - 3 เดือนเจริญเป็นตัวเต็มวัย โดยมีอายุขัยประมาณ 1 ปี 2. จุดเด่นคือวงกลม "สีน้ำเงิน" ทั่วตัว หมึกบลูริง มีจุดเด่นที่ต่างจากหมึกทั่วไปตรงที่ มีลวดลายเป็นวงแหวนสีน้ําเงิน กระจายตามลําตัวและหนวด ซึ่งจะตัดกับสีของลําตัวที่ออกเป็นสีเหลืองน้ําตาลอย่างชัดเจน วงแหวนสีน้ําเงินเหล่านี้สามารถ "เรืองแสง" ได้เมื่อถูกคุกคาม เนื่องจากหมึกชนิดนี้มีสีสวยงาม และมีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบในการเลี้ยงปลาสวยงาม และสัตว์แปลกๆ ในต่างประเทศ 3. หมึกบลูริง ในไทยมีกี่สายพันธุ์? ปัจจุบันทั่วโลกพบว่ามี หมึกบลูริง ทั้งหมดประมาณ 4 ชนิด สําหรับในประเทศไทยมีรายงานการพบหมึกสายวงน้ําเงิน สกุล Hapalochlaena maculosa ในบริเวณน่านน้ําไทย ทั้งทางฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย 4. พิษร้ายแรงมากกว่างูเห่า 20 เท่า ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน พ.ย. 2562 นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เคยให้ข้อมูลเอาไว้ว่า จากกรณีที่มีชาวประมงจับ หมึกสายวงน้ำเงิน ได้ที่จังหวัดชุมพร พบว่าหมึกชนิดนี้มีพิษร้ายแรง ยิ่งตอนป้องกันตัวเมื่อมีภัยคุกคาม จะปรากฏวงกลมสีน้ำเงินที่มองเห็นชัดมาก โดยหมึกทะเลชนิดนี้เป็นจำพวกหมึกยักษ์ขนาดเล็ก หากเจอต้องระวังให้มาก เพราะมีพิษร้ายแรงกว่างูเห่า 20 เท่า ผู้ถูกกัดอาจจะตายภายในเวลารวดเร็ว 5. พิษร้าย "เตโตรโดท็อกซิน" อยู่ที่น้ำลายหมึก หมึกบลูริง มีสารพิษที่มีความร้ายแรงมากผสมอยู่ในน้ําลาย ผู้ที่ถูกหมึกกัดอาจตายได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง จึงนับเป็นสัตว์น้ําที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก สารพิษของหมึกสายวงน้ําเงินนั้น เรียกว่า เตโตรโดท็อก ซิน (Tetrodotoxin) ทั้งนี้เตโตรโดท็อกซินไม่ได้ถูกสร้างจากภายในตัวของหมึก แต่ถูกสร้างจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่อาศัยอยู่กับตัวหมึกบลูริงแบบพึ่งพา (symbiosis) 6. พิษรุนแรงกว่าไซยาไนด์ 1,200 เท่า พิษของหมึกบลูริงที่ชื่อว่า เตโตรโดท็อกซิน นั้น เป็นพิษที่มีผลต่อระบบประสาท โดยปริมาณพิษที่มนุษย์รับประทานแล้วเสียชีวิตคือประมาณ 1 มิลลิกรัม ซึ่งมีความรุนแรงกว่าไซยาไนด์ถึง 1,200 เท่า 7. พิษหมึกบลูริง ทนความร้อนได้ถึง 200 ?C อีกทั้ง พิษจากหมึกบลูริงยังทนความร้อนได้สูงถึง 200 องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงไม่สามารถทําลายพิษได้ด้วยการใช้ความร้อนปกติในการปรุงอาหาร และปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษใดๆ ต่อต้านได้ 8. หากโดนพิษ มีความเสี่ยงเสียชีวิต 50% - 60% ผู้ป่วยที่ได้รับพิษเตโตรโดท็อกซิน มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 50 - 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าผู้ป่วยยังมีชีวิตรอดหลังได้รับพิษแล้ว 24 ชั่วโมง พบว่ามีอัตราการรอดชีวิตสูงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ พิษที่เกิดจากหมึกสายวงน้ําเงิน จะเกิดอย่างรวดเร็วภายใน 5 นาทีหลังถูกกัด 9. อาการของเหยื่อ เมื่อโดนพิษหมึกบลูริง เริ่มจากการ "ชา" บริเวณริมฝีปาก ลิ้น ต่อมาจะชาบริเวณใบหน้า แขน ขา และเป็นตะคริวในที่สุด ต่อมาอาจมีอาการน้ําลายไหล คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการท้องเสียร่วมกับปวดท้อง ซึ่งอาการปวดท้องจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นกล้ามเนื้อจะเริ่มทํางานผิดปกติ และเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในผู้ป่วยที่ได้รับพิษปริมาณมาก พิษจะเข้าไปทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้หายใจไม่ออก เนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทํางาน จึงไม่สามารถนําอากาศเข้าสู่ปอดได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 4-6 ชั่วโมง แต่บางเคสมีรายงานพบว่าเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเพียง 20 นาทีเท่านั้น 10. การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ต้องหาวิธีนําอากาศเข้าสู่ปอด เช่น เป่าปาก ฯลฯ จากนั้นต้องรีบนําส่งแพทย์โดยด่วน เพื่อใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าการช่วยชีวิตเป็นผล ผู้ป่วยจะฟื้นเป็นปกติภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่ว่าจะขาดอากาศนานเกินไปจนทําให้ "สมองตาย" หากพบผู้ที่ได้รับพิษจากหมึกสายวงน้ําเงิน ให้ปฐมพยาบาลในทันทีหลังถูกกัด โดยใช้เทคนิคการกดรัดและตรึงอวัยวะส่วนนั้นไม่ให้เคลื่อนไหว ทั้งนี้เพื่อทําให้พิษไม่แพร่กระจายเข้าระบบไหลเวียนโลหิต โดยใช้ผ้าพันจากอวัยวะส่วนปลายไล่มาจนถึงบริเวณเหนือแผลที่ถูกกัด และไม่ควรกรีดปากแผลที่ถูกกัดเพราะจะทําให้พิษกระจายมากขึ้น เป็นการซื้อเวลาเพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น ก่อนนําผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910263
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|