![]() |
ขาลง เราสามารถทำความเร็วได้ดีกว่าขาขึ้น ... เป็นธรรมดาของผู้สูงอายุ ประกอบกับความหิว เพราะข้าวกลางวันยังไม่ได้กิน ทั้งๆที่บ่ายคล้อยแล้ว http://i835.photobucket.com/albums/z...b-Luang_15.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...b-Luang_14.jpg :rolleyes: |
ล้างหน้าล้างตา ทำธุระส่วนตัวกันเสร็จ .... ความหิวไม่เคยปราณีใคร .... ไม่ไปหากินกันที่ไหนแล้ว เห็นป้ายท้าทายให้ลอง "ไก่อบโอ่ง" หน้าร้านอาหารสวัสดิการของอุทยานฯ จึงเลี้ยวเข้าไปทันที ไก่อร่อยดีเหมือนกันครับ ... http://i835.photobucket.com/albums/z...b-Luang_17.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...b-Luang_18.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...b-Luang_19.jpg :D |
เนื่องจากเป็นเส้นทางเดียวกัน แต่ออบหลวงไกลกว่า เราจึงไปออบหลวงก่อน แล้วย้อนกลับมาขึ้น ดอยอินทนนท์ http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_01.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_02.jpg ;) |
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ประกาศเป็นอุทยานฯ เมื่อ พ.ศ.2515 ประกาศเป็นอุทยานฯ เป็นลำดับที่ 6 ของประเทศไทย มีพื้นที่ 482.4 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และกิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ดอยอินทนนท์แต่เดิมดอยนี้มีชื่อว่า "ดอยหลวง" หรือ "ดอยอ่างกา" ดอยหลวง มาจากขนาดของดอยที่ใหญ่มาก ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "ดอยหลวง" (หลวง: เป็นภาษาเหนือ แปลว่า ใหญ่) ดอยอ่างกา มีเรื่องเล่าว่า ห่างจากยอดดอยไปทางทิศตะวันตกประมาณ 300 เมตร มีหนองน้ำแห่งหนึ่งลักษณะเหมือนอ่าง ฝูงกาจำนวนมากมายมักพากันไปเล่นน้ำที่หนองน้ำแห่งนี้ จึงพากันเรียกว่า "อ่างกา" และภูเขาขนาดใหญ่แห่งนั้นก็เลยเรียกกันว่า "ดอยอ่างกา" แต่ก็มีบางกระแสกล่าวว่า คำว่า "อ่างกา" นั้น แท้จริงแล้วมาจากภาษาปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) แปลว่า "ใหญ่" เพราะฉะนั้นคำว่า "ดอยอ่างกา" จึงแปลว่าดอยที่มีความใหญ่นั่นเอง ดอยอินทนนท์ อดีตกาลก่อนป่าไม้ทางภาคเหนืออยู่ในความควบคุมของเจ้าผู้ครองนครต่างๆ สมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ (องค์สุดท้าย) พระองค์ให้ความสำคัญกับป่าไม้อย่างมาก โดยเฉพาะป่าในบริเวณดอยหลวง ทรงรับสั่งว่า หากสิ้นพระชนม์ลงให้นำอัฐิบางส่วนขึ้นไปสร้างสถูปบรรจุไว้บนดอย ดอยนี้จึงมีนามเรียกขานว่า "ดอยอินทนนท์" แต่มีข้อมูลบางกระแสกล่าวว่า ที่ดอยหลวงเรียกว่า ดอยอินทนนท์ นั้น เป็นเพราะเนื่องจากว่าเป็นการให้เกียรติเจ้าผู้ครองนคร จึงตั้งชื่อจากคำว่า "ดอยหลวง" ซึ่งเป็นชื่อที่มีความซ้ำกับดอยหลวง ของอำเภอเชียงดาว แต่ภายหลังมีชาวเยอรมันมาทำการสำรวจและวัด ซึ่งปรากฎผลว่า ดอยหลวง หรือดอยอ่างกา ที่อำเภอแม่แจ่มมีความสูงกว่า ดอยหลวง ของอำเภอเชียงดาว จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน และเรียกดอยแห่งนี้ว่า "ดอยอินทนนท์" อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เดิมเป็นส่วนหนึ่งของ "ป่าสงวนแห่งชาติดอยอินทนนท์" ต่อมาได้ถูกสำรวจและจัดตั้งเป็นหนึ่งในสิบสี่ป่าที่ทางรัฐบาลให้ดำเนินการเป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งครั้งแรกกรมป่าไม้เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดพื้นที่อุทยานแห่ง ชาติดอยอินทนนท์ให้มีพื้นที่ 1,000 ตร.กม. หรือประมาณ 625,000 ไร่ แต่เนื่องจากพื้นที่ชุมชนต่างๆอาศัยอยู่ก่อนหลายชุมชน จึงทำการสำรวจใหม่และกันพื้นที่ที่ราษฎรอยู่มาก่อนและคาดว่าจะมีปัญหาในอนาคตออก จึงเหลือพื้นที่ที่จะประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ 270 ตร.กม. หรือประมาณ 168,750 ไร่ ประกาศลงวันที่ 2 ตุลาคม 2515 และในวันที่ 13 มิถุนายน 2521 รัฐบาลประกาศพื้นที่เพิ่มอีกเป็น 482.4 ตร.กม. อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และกิ่งอำเภอดอยหล่อ มีความสูงจากระดับน้ำทะลปานกลาง 400-2,565.3341 เมตร เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย ข้อมูลจาก ..... www.dnp.go.th/parkreserve และ www.doiinthanon.com http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_27.jpg :cool: |
กว่าเราจะขึ้นมาถึง ก็ค่อนไปในช่วงเย็นแล้ว แถมยังเป็นวันที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก บรรยากาศจึงมืดครึ้ม เราจึงแวะถวายสักการะพระอัฐิของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ก่อน .... http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_03.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_05.jpg . |
บรรยากาศรอบๆกู่บรรจุพระอัฐิของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_04.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_06.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_07.jpg :cool: |
ด้านหลังกู่ มี "หมุดหลักฐานจุดสูงสุดแดนสยาม" ด้วย สองสายจึงถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานอ้างอิงเสียหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_08.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_09.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_10.jpg ;) |
เดินกลับลงมาที่ลานจอดรถ เห็นสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศอยู่ข้างหน้า และเดินเลยไปยังจุดชมวิว ที่เมื่อก่อนจะเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่ตอนนี้เห็นแต่ยอดไม้ http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_11.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_12.jpg :o |
เย็นมากแล้ว เราต้องรีบขึ้นไปยัง พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ที่เกือบจะไม่ได้เข้า เพราะใกล้เวลาปิดแล้ว พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ เป็นพระธาตุที่ทางกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมใจสร้างถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2530 และเทิดพระเกียรติแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535 โดยรอบบริเวณพระมหาธาตุเจดีย์ทั้ง 2 องค์ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์โดยรอบได้อย่างชัดเจน พระมหาธาตุทั้ง 2 องค์นี้ มีรูปทรงคล้ายคลึงกัน คือ มีฐานเป็นรูป 12 เหลี่ยม มีระเบียงแก้วโดยรอบเป็น 2 ระดับ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปบูชา http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_13.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_14.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_15.jpg ;) |
มาเที่ยวนี้ ใกล้มืดแล้ว ด้านในจึงไม่ได้เข้าเลย .... ได้แต่เดินเก็บภาพด้านนอก จากมุมต่างๆกัน http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_21.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_24.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_23.jpg :rolleyes: |
เงาพระธาตุ ที่สะท้อนลงในบ่อน้ำ http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_16.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_17.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_22.jpg :cool: |
ดอกกะหล่ำ แฟนซี และดอกไม้ ยามใกล้สิ้นแสงตะวัน http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_19.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_18.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_20.jpg :o |
เราอยู่เก็บภาพกันจนตะวันลับขอบฟ้า และเป็นรถคันสุดท้ายที่กลับลงไป http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_26.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_28.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_30.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_29.jpg |
ตอนขาขึ้น เห็นแว๊บๆ แต่ไม่มีโอกาสจอดถ่ายภาพ เพราะต้องรีบขึ้นดอยแข่งกับเวลา ... แต่ขากลับ ถึงแม้จะค่ำมืด ก็ต้องจอดเก็บภาพมาฝากแม่หอยให้ได้ .... http://i835.photobucket.com/albums/z...nthanon_31.jpg :p |
ขอบพระคุณ พี่สองสายที่ เอาภาพสวยๆ เรื่องราวดีๆมาให้น้องๆได้ชม ขอบพระคุณคร๊าาาาาบ ...
ปล.พี่ครับๆ พี่สองสายลืมเซ็นรับรองสำเนาครับ :p http://upload.konmun.com/UploadFiles...9202ef2774.jpg สำเนาถูกต้อง :D |
สำเนา(พ่อ)ถูกต้อง หุๆ.....เพราะลูกสองคน....หน้าเหมือนพ่อหมด ไม่มีใครหน้าเหมือนแม่สักคนเลยค่ะ....:p |
ตามมาแอ่วเหนือด้วยคน กระทู้สนุกได้ความรู้และอารมณ์ขันของพี่สายน้ำ และภาพสวยสุดยอด ขอบคุณมากๆเลยครับ ..
อ่านแล้วคิดถึงบรรยากาศของภาคเหนือขึ้นมาทันทีเลย :p |
สวยมากมายยย
ขอบคุณข้อมูลดีๆ ภาพสวยๆค่า |
อ้างอิง:
อ้างอิง:
|
ที่ไหนเอ่ย ..... ถ้ามาเชียงใหม่แล้วไม่ได้มาที่สถานที่แห่งนี้ ก็เหมือนมาไม่ถึงเชียงใหม่ ใคร ไหนใครตอบว่ากำแพงดิน ..... ไม่ใช่ครับ เดี๋ยวจะโดนตี 10 ที วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ครับ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_21.jpg :cool: |
วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 14 กิโลเมตร อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,053 เมตร อยู่ในเขตตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในวัดของจังหวัดเชียงใหม่ที่ มีความสำคัญมากที่สุด ในวัดมีเจดีย์ทรงเชียงแสน ฐานสูงย่อมุมระฆังทรงแปดเหลี่ยมปิดด้วยทองจังโก 2 ชั้น ลานเจดีย์เป็นจุดชมทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ ทางขึ้นเป็นบันไดนาคเจ็ดเศียรก่อปูน ชื่อภูเขา "ดอยสุเทพ" : องค์พระเจดีย์ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มีชื่อว่า ดอยสุเทพ แต่เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของฤาษี มีนามว่า สุเทวะ เป็นภาษาบาลี มีความหมายว่า เทพเจ้าที่ดี ซึ่งตรงกับความหมายของคำว่า สุเทพ นั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงได้ ชื่อว่า ดอยสุเทพ ซึ่งมาจากชื่อของฤๅษี คือสุเทวะฤาษี ประวัติ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1929 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์เม็งราย พระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการะบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี มาบรรจุไว้ที่นี่ ด้วยการทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน พอช้างมงคลเดินมาถึงยอดดอยสุเทพ มันก็ร้องสามครั้ง พร้อมกับทำทักษิณาวัติสามรอบแล้วล้มลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดดินลึก 8 ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้ จากนั้นถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าในบริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น ในปี พ.ศ. 2081 สมัยพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ได้ทรงโปรดฯให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิมเป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ และต่อมาเจ้าท้าวทรายคำ ราชโอรสได้ทรงให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น และกระทั่งถึงสมัยครูบาศรีวิชัย ท่านได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนที่สร้างนี้มีความยาวถึง 11.53 กิโลเมตร ข้อมูลจาก ..... http://th.wikipedia.org และ www.dnp.go.th http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_27.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_25.jpg ;) |
ก่อนที่จะผ่านไปถึงบันไดนาค จะต้องผ่านป้ายบอกชื่อสถานที่เสียก่อน และมีฆ้องตุ้มโมงยักษ์อยู่ด้านบน http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_01.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_02.jpg |
ระดับนี้แล้ว จะให้เดินขึ้นบันไดเหรอ เมินเสียเถอะ .... ไม่ใช่เพราะไม่สมศักดิ์ศรีหรืออะไรหรอก แต่เรี่ยวแรงไม่มีต่างหาก ระดับนี้ ต้องเดินผ่านบันได ไปหาลิฟท์เลย .... ใช้เครื่องทุ่นแรงดีกว่า http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_04.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_03.jpg :o |
กว่าจะมาถึง แดดเริ่มร่ม ลมเริ่มตกแล้ว .... ผู้คนก็เริ่มบางตา http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_05.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_07.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_06.jpg :rolleyes: |
เข้าไปที่ลานด้านใน ผู้คนยังคงขวั่กไขว่ ... ทั้งหัวแดง หัวทอง หัวดำ เดินเวียนรอบองค์พระธาตุกันไม่ขาดสาย .... บ้างก็สรงน้ำพระพุทธรูปเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_08.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_09.jpg :cool: |
ตามระเบียงรอบองค์พระเจดีย์ทั้ง 4 ด้าน เรียงรายไปด้วยพระพุทธรูปปางต่างๆ คล้ายกับที่พวกเราคุ้นตาในวัดเบญจมบพิตรฯ กทม.นี่เองครับ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_11.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_10.jpg :D |
ในพระวิหาร มีหลวงพี่ท่านหนึ่งประจำเวรอยู่ ... ท่านจะคอยประพรมน้ำมนต์ และให้ศีลให้พรแก่นักท่องเที่ยว แม้แต่ยัยแหม่มผมทองยังเข้าไปนั่งคุกเข่าให้ท่านพรมน้ำมนต์ให้เลยครับ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_20.jpg :rolleyes: |
ประตูระเบียงพระธาตุด้านหลัง ทำเป็นซุ้มใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลาที่ดูสวยและสง่างาม http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_12.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_13.jpg ;) |
ด้านข้าง มีระฆังแขวนไว้ .... นัยว่า ต้องตีให้ดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ เพื่อให้ได้ยินไปถึงสวรรค์ ..... แต่กว่าสวรรค์จะได้ยิน คนที่เดินไปเดินมาแถวนั้นจะหูแตกกันเสียก่อนแล้วครับ แต่แม่หลานสาวคนนี้น่ารักครับ .... เธอเอาเหรียญ 5 หรือเหรียญ 10 ในมือเคาะแทนไม้ เสียงดังกิ๊กๆๆๆๆ สบายหูดีครับ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_18.jpg :D |
ที่ศาลาตรงข้ามกับแนวระฆัง แทนที่จะใช้นาคเหมือนที่บันไดใหญ่ กลับใช้สัตว์ประหลาดสัญชาติไหนก็ไม่ทราบ มาเฝ้าบันไดแทน ชื่อ"ตัวมอม" .... ฝรั่งเป็นมึนส์ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_17.jpg |
สัตว์ที่เฝ้าหน้าวิหารเล็กด้านหลัง น่าจะเป็นราชสีห์นะครับ ... แต่ดูเพรียว คอยาว ปากยาวไปนิดนึง http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_14.jpg :D |
ก่อนถึงวิหารเล็ก มีซุ้มเฟื่องฟ้าซุ้มใหญ่ออกดอกสะพรั่งทั้งปี สวยงามมากครับ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_15.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_16.jpg ;) |
พอมาถึงบริเวณนี้ ต้องหยุดพักชั่วครู่ เพราะ หมอเมธโทร.มาปรึกษาเรื่อง ให้ไปสอนดำน้ำให้กับนักศึกษาแพทย์ ร.พ.พระมงกุฏฯ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_19.jpg :) |
ระเบียงนี้ ใช้ชมวิวที่สวยงามของตัวเมืองเชียงใหม่ได้เป็นอย่างดี http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_24.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_23.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_22.jpg :cool: |
เที่ยวนี้ จังหวะไม่ดีครับ กำลังบูรณะเจดีย์ที่ประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุอยู่พอดี แต่การจะเก็บภาพพระเจดีย์โดยไม่ให้ติดหัวคนเข้าไปด้วยนั้น เป็นเรื่องที่หาจังหวะได้ยากเย็นแสนเข็ญทีเดียวครับ ..... แต่ผมทำได้ ..... ไชโยๆๆ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Suthep_26.jpg :rolleyes: |
ระหว่างที่เดินทางจากเชียงใหม่เพื่อกลับกรุงเทพฯ สถานที่หนึ่งที่เป็นเป้าหมายของเราคือ วัดพระธาตุลำปางหลวง วัดพระธาตุลำปางหลวง ตั้งอยู่ในเขตตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 18 กิโลเมตร วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณ ตามตำนานกล่าวว่ามีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ในราวพุทธศตวรรษที่ 20 ตอนปลาย เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย งดงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย http://i835.photobucket.com/albums/z...ra-That_01.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...ra-That_02.jpg ;) |
พระธาตุลำปางหลวง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู ด้วยเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลูเช่นกัน ฐานเป็นบัวลูกแก้ว ส่วนองค์เป็นทรงกลมแบบล้านนาภายนอก บุด้วยทองจังโก ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุนเป็นลวดลายประจำยามแบบต่างๆ ลักษณะเจดีย์แบบนี้ได้ส่งอิทธิพลให้พระธาตุหริภุญไชย และพระบรมธาตุจอมทอง ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระเกศาและพระอัฐิธาตุจากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง ที่รั้วทองเหลืองรอบองค์พระธาตุมีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศปรากฏอยู่ ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระเถระสามองค์ได้เสด็จจาริกไปตามบ้านเมืองต่างๆ จนถึงบ้านลัมภะการีวัน (บ้านลำปางหลวง) พระพุทธเจ้าได้ประทับเหนือดอยม่อนน้อย มีชาวลัวะคนหนึ่งชื่อลัวะอ้ายกอน เกิดความเลื่อมใส ได้นำน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้างมะพร้าวและมะตูมมาถวายพระพุทธเจ้าพระพุทธองค์ได้ฉันน้ำผึ้ง แล้วทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือ แล้วทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อว่า ลัมพกัปปะนคร แล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศามาหนึ่งเส้น มอบให้แก่ลัวะอ้ายกอนผู้นั้น ลัวะอ้ายกอนได้นำพระเกศานั้น บรรจุในผอบทองคำ และใส่ลงในอุโมงค์พร้อมกับถวายแก้วแหวนเงินทองเป็นเครื่องบูชา แล้วแต่งยนต์ผัด(ยนต์หมุน) รักษาไว้ และถมดินให้เรียบเสมอกัน แล้วก่อเป็นพระเจดีย์สูงเจ็ดศอกเหนืออุโมงค์นั้น ในสมัยต่อมาก็ได้มีกษัตริย์เจ้าผู้ครอง นครลำปางอีกหลายพระองค์ มาก่อสร้างและบูรณะซ่อมแซม จนกระทั่งเป็นวัดที่มีความงามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในทางประวัติศาสตร์นครลำปาง วัดพระธาตุลำปางหลวงมีประวัติว่า เมื่อปี พ.ศ. 2275 นครลำปางว่างจากผู้ครองนครและเกิดความวุ่นวายขึ้น สมัยนั้นพม่าเรืองอำนาจได้แผ่อิทธิพลปกครองอาณาจักรล้านนาไว้ได้ทั้งหมด พม่าได้ยึดครองนครเชียงใหม่ ลำพูน โดยแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์พม่า ท้าวมหายศเจ้าผู้ครองนครลำพูนได้ยกกำลังมายึดนครลำปาง โดยได้มาตั้งค่ายอยู่ภายในวัดพระธาตุลำปางหลวง ครั้งนั้นหนานทิพย์ช้าง ชาวบ้านปงยางคก (ปัจจุบันอยู่อำเภอห้างฉัตร) วีรบุรุษของชาวลำปาง ได้รวบรวมพลทำการต่อสู้ทัพเจ้ามหายศ โดยลอบเข้ามาในวัด และใช้ปืนยิงท้าวมหายศตาย แล้วตีทัพลำพูนแตกพ่ายไป ปัจจุบันยังปรากฏรอยลูกปืนอยู่บนรั้วทองเหลืองที่ล้อมองค์พระธาตุเจดีย์ ต่อมาหนานทิพย์ช้างได้รับสถาปนาขึ้นเป็น พระยาสุลวะลือไชยสงคราม เจ้าผู้ครองนครลำปาง และเป็นต้นตระกูล ณ ลำปาง เชื้อเจ็ดตน ณ เชียงใหม่ ณ ลำพูน ณ น่าน http://i835.photobucket.com/albums/z...ra-That_20.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...ra-That_19.jpg :o |
สิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่สำคัญได้แก่ 1. ประตูโขง เป็นฝีมือช่างหลวงโบราณที่สวยงามก่ออิฐถือปูนทำเป็นซุ้มยอดแหลมเป็นชั้นๆ มีสี่ทิศ ประดับตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น รูปดอกไม้ และสัตว์ในหิมพานต์ ประตูโขงแห่งนี้ใช้เป็นสัญลักษณ์เมืองลำปางในตราจังหวัดลำปาง http://i835.photobucket.com/albums/z...ra-That_03.jpg :cool: |
2. วิหารหลวง เป็นวิหารประธานของวัด ตั้งอยู่บนแนวเดียวกับประตูโขง และองค์พระธาตุเจดีย์ เป็นวิหารจั่วรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงวิหารโล่งตามแบบล้านนายุคแรก หลังคาจั่วซ้อนกันเป็นชั้นๆ http://i835.photobucket.com/albums/z...ra-That_18.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...ra-That_04.jpg :) |
ภายในวิหารบรรจุมณฑปพระเจ้าล้านทอง http://i835.photobucket.com/albums/z...ra-That_05.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...ra-That_06.jpg :rolleyes: |
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:15 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger