ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
แพลงก์ตอนบลูมที่บางแสน เกิดบ่อย! แต่สถานีวัดสมุทรศาสตร์ใช้วิเคราะห์ทะเลยังไม่เพียงพอ .............. ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

ขอบคุณภาพจาก ชอบจัง บางแสน ย้ำเตือนว่าแพลงก์ตอนไม่มีพิษ ยังคงกินสัตว์น้ำได้ครับ
ทะเลชายฝั่งบางแสน ศรีราชา เกิดแพลงก์ตอนบลูมต่อเนื่อง จึงอยากสรุปให้เพื่อนธรณ์ทราบอีกครั้ง
น้ำเขียวปี๋เกิดจากแพลงก์ตอนพืชเพิ่มจำนวนมากผิดปรกติ แพลงก์ตอนที่พบในตอนนี้ไม่มีพิษ ยังกินอาหารทะเลได้ตามปรกติ
แต่น้ำเขียวไม่น่าเล่นน้ำ/ท่องเที่ยว ยังส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและระบบนิเวศ ออกซิเจนลดลงโดยเฉพาะบริเวณพื้นทะเล บางครั้งทำให้สัตว์น้ำตาย ยังส่งผลต่อการประมงชายฝั่งและการเพาะเลี้ยง
แพลงก์ตอนบลูมเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นจากธาตุอาหารลงทะเลมากในหน้าฝน บางจังหวะมีแดดแรง กระบวนการในทะเลเหมาะสม ทำให้แพลงก์ตอนพืชเพิ่มเร็ว
มนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเราเพิ่มธาตุอาหารลงไป ทั้งการเกษตร น้ำทิ้ง ฯลฯ
แพลงก์ตอนบลูมเริ่มก่อตัวในทะเลนอก และขยายจำนวนขึ้น จนเข้าสู่ระยะสุดท้ายบริเวณชายฝั่ง
มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดน้ำเข้าไปรวมที่อ่าวไทยตอนในแถวชลบุรี ทำให้น้ำเขียวรวมตัวอยู่แถบนั้น
ระยะสุดท้ายของแพลงก์ตอนบลูมจะเกิดเพียงช่วงสั้นๆ ไม่กี่วัน จากนั้นจะหมดไป แต่อาจเกิดขึ้นใหม่ตามลมที่พัดพามวลน้ำเข้ามา
ยังมีปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมที่เกิดตามปากแม่น้ำได้อีกด้วย แต่สุดท้ายลมในช่วงนี้ก็พัดไปรวมที่ชายฝั่งชลบุรี
เมื่อถึงช่วงปลายปี ลมมรสุมเปลี่ยนทิศ แพลงก์ตอนบลูมแถวชลบุรีอาจลดลง แต่ปีหน้าก็อาจกลับมาใหม่ตามลมมรสุม
โลกร้อนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับแพลงก์ตอนบลูม ตามการศึกษาต่างประเทศที่พบว่าน้ำเขียวทั่วโลกเกิดถี่ขึ้นเรื่อย และขยายพื้นที่ไปในบริเวณต่างๆ ของโลก
เราวัดคลอโรฟิลล์ในผิวหน้าน้ำทะเลได้โดยใช้ดาวเทียม แต่ต้องทำเป็นระบบและติดต่อเป็นประจำ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง
หากเราเข้าใจกระบวนการทางสมุทรศาสตร์เพิ่มขึ้น เช่น วัดกระแสน้ำ คุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ ฯลฯ เราจะเริ่มมีความสามารถในการทำนายและแจ้งเตือน
น่าเสียดายที่สถานีวัดสมุทรศาสตร์แบบดังกล่าวตอนนี้มีเฉพาะที่ศรีราชา เป็นความร่วมมือระหว่างคณะประมง มก./สสน.
ผมเคยเสนอให้มีการติดตั้งสถานีวัดสมุทรศาสตร์เพิ่มเติมไปแล้วอย่างน้อยอีก 2 ที่เพื่อให้ครอบคลุมอ่าวไทยตอนในทั้งหมด ผ่านที่ประชุมระดับชาติไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เกิด (เท่าที่ทราบ)
หากเรายังไม่ทำอย่างเป็นระบบ ไม่มีข้อมูลเพียงพอ ทำได้แค่น้ำเขียวเมื่อไหร่ก็ไปตรวจสอบเหมือนอย่างที่เป็นมา เราก็ย่ำอยู่กับที่ ในขณะที่มีแนวโน้มว่าน้ำเขียวจะเพิ่มขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยในอนาคต
ในขณะเดียวกัน การยกระดับการบำบัดน้ำทิ้ง การปรับเปลี่ยนการเกษตรให้เหมาะสม จะช่วยลดปัญหาที่ต้นเหตุ
น้ำคือทุกอย่างของทะเล เมื่อน้ำมีปัญหา ทุกอย่างในทะเลก็มีปัญหา กิจการเกี่ยวกับทะเลย่อมได้รับผลกระทบ
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะที่ แต่เป็นปัญหาในภาพรวม การแก้ไขไม่สามารถทำเฉพาะครั้งคราว แต่ต้องลงทุนลงแรงทำจริงจังต่อเนื่อง เรียนรู้เพื่อทำนายและแจ้งเตือน กำหนดเป้าในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
หากเราไม่ลงทุนกับสิ่งเหล่านี้ ทะเลเราก็แย่ลง กิจการเกี่ยวกับทะเลก็ได้รับผลกระทบมากขึ้น
สุดท้ายไม่ว่าเราลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการท่องเที่ยวหรือฝันอยากเป็นอะไร เมื่อน้ำทะเลสีเขียวปี๋บ่อยขึ้นและบ่อยขึ้น เราก็คงยากไปถึงฝัน
โลกเราซับซ้อนมากขึ้น ตัวแปรมีมากมาย หากเราอยากอยู่กับธรรมชาติอย่างยั่งยืน ได้ประโยชน์ให้เนิ่นนาน เราต้อง "รู้จัก" ทะเลให้มากขึ้น
ณ จุดนี้ เรายังทำความรู้จักกับยุคโลกร้อนทะเลเดือดได้ไม่พอครับ
บทความโดย ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อ้างอิง เพจเฟซบุ๊ค Thon Thamrongnawasawat
https://mgronline.com/greeninnovatio.../9660000072921
******************************************************************************************************
เผยแพลงก์ตอนชื่อ "Noctiluca scintillans" ทำทะเลบางแสนเปลี่ยนเป็นสีเขียวมัทฉะ
ศูนย์ข่าวศรีราชา - สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ม.บูรพา เผยเหตุทะเลบางแสน เปลี่ยนเป็นสีเขียวมัทฉะว่าเกิดจากแพลงก์ตอนที่มีชื่อว่า "Noctiluca scintillans" เป็นแพลงก์ตอนประจำถิ่นเกิดเป็นประจำทุกปีแต่จะอยู่ในช่วงเวลาไม่นานขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม มั่นใจ พ.ย.นี้กลับมาใสดังเดิม

วันนี้ (14 ส.ค.) สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา แจ้งเหตุทะเลบางแสน จ.ชลบุรี ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีที่ทะเลบางแสนกลายเป็นสีเขียวในช่วงหลายวันที่ผ่านมาว่า เกิดจากแพลงก์ตอนที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Noctiluca scintillans" (น็อก-ติ-ลู-กา-ซิน-ทิล-แลนส์) ซึ่งเป็นแพลงก์ตอนที่มีสาหร่ายอยู่ในตัวเองจึงทำให้สามารถสังเคราะห์แสงได้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีแสงแดดออกจะยิ่งแบ่งตัวเต็มทะเล จนกลายเป็นแพลงก์ตอนบลูม (Plankton bloom)
โดยแพลงก์ตอนที่มีชื่อว่า "Noctiluca scintillans" เป็นแพลงก์ตอนประจำถิ่นที่เกิดขึ้นทุกปี ซึ่งชาวประมงเรียกกันติดปากว่า "ขี้ปลาวาฬ" ขณะที่ปรากฏการณ์ทะเลสีเขียวจะอยู่เพียงช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยประกอบทั้งแสงแดด และธาตุอาหารในน้ำทะเลที่เปรียบเทียบเสมือนปุ๋ยชั้นดีที่มีผลต่อการเจริญเติบโต และหากมีคลื่นแรงที่ตีอาหารในโคลนทรายมาเพิ่มยิ่งทำให้แพลงก์ตอนได้รับสารอาหารเพิ่มมากขึ้น
ส่วนกรณีที่มีนักท่องเที่ยวบางรายพากันลงเล่นน้ำทะเลในช่วงที่ทะเลเปลี่ยนเป็นสีเขียวนั้น แม้หากจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ จึงอยากให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำในช่วงเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ แพลงก์ตอนจะย่อยสลายเองตามธรรมชาติและจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเชื่อว่าทะเลบางแสนจะกลับมาใสเช่นเดิมในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้
https://mgronline.com/local/detail/9660000073120
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 15-08-2023 เมื่อ 02:46
|