ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เราจะสอนเด็กเรื่องโลกร้อนยังไง? ในวันที่โลกรวนเกินกว่าจะสอนแค่ในหนังสือเรียน
.......... โดย ณัฏฐ์นรี เฮงสาโรชัย
Summary
- ความสำคัญของโลกร้อนกลายเป็นที่พูดถึงในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและความแปรปรวนต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยากที่จะคาดเดาอนาคตของโลกนี้ได้
- เหล่าเด็กน้อย ผู้เป็นอนาคตของชาติกลับต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้วจากสิ่งที่มนุษย์รุ่นก่อนกระทำไว้โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาคือกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
- 2 ชั่วโมงต่อปี นั่นคือจำนวนเวลาที่ครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมต้นกว่าครึ่งหนึ่งใช้การสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และครูส่วนหนึ่งไม่สอนเรื่องนี้เลย จากการสำรวจของศูนย์ศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา
- ช่วงเวลาเรียนอันน้อยนิดกับปัญหาที่ใหญ่ระดับโลกและมีเนื้อหาซับซ้อน ทำให้การถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ตามมาด้วยคำถามว่าแล้วเราจะสอนเด็กเรื่องโลกร้อนกันอย่างไรดี

เชื่อว่าหลายคนในโลกนี้ไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า 'โลกร้อน' คำคำนี้ถูกพูดถึงอยู่หลายครั้งจนบางคนเริ่มเบื่อกันไปบ้างแล้ว
ความสำคัญของโลกร้อนกลายเป็นที่พูดถึงในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและความแปรปรวนต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยากที่จะคาดเดาอนาคตของโลกนี้ได้
ขณะเดียวกัน เหล่าเด็กน้อยผู้เป็นอนาคตของชาติกลับต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้วนี้จากสิ่งที่มนุษย์รุ่นก่อนกระทำไว้โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาคือกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่เด็กยุคนี้เข้าใจเรื่องโลกร้อนดีแค่ไหนกันแน่นะ?
2 ชั่วโมงต่อปี นั่นคือจำนวนเวลาที่ครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมต้นกว่าครึ่งหนึ่งใช้การสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยที่ครูส่วนหนึ่งไม่สอนเรื่องนี้เลย จากการสำรวจของศูนย์ศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา
ปัญหาโลกร้อนยังคงถูกละเลยจากหลายคนรวมถึงเด็กด้วย เป็นภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัดว่าการสอนเรื่องนี้กับเด็กเป็นเรื่องสำคัญมากๆ แต่ช่วงเวลาเรียนอันน้อยนิดกับปัญหาที่ใหญ่ระดับโลกที่มีเนื้อหาซับซ้อน ทำให้การถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ตามมาด้วยคำถามว่าแล้วเราจะสอนเด็กเรื่องโลกร้อนกันอย่างไรดี
ทำไมเราต้องเรียนเรื่องโลกร้อนด้วย?
คำถามที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ต้องเคยสงสัย แม้จะได้รับคำตอบเพียงแค่ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลต่อมนุษย์ทุกคน แต่หากเด็กไม่เข้าใจหรือไม่มีความรู้ ในอนาคตปัญหาโลกร้อนนี้ก็ไม่อาจแก้ไขหรือบรรเทาลงได้อย่างแน่นอน
โรงเรียนส่วนใหญ่มักเริ่มสอนหลักสูตรเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น เช่นในหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย แต่นอกจากการเรียนเพื่อท่องจำไปสอบ วิชานี้มีบทบาทสำคัญมากต่อสิ่งมีชีวิตทั่วโลก และวิธีการสอนของครูจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กๆ ยุคนี้เข้าใจปัญหาโลกร้อนอย่างแท้จริง
เช่น วิธีการสอนของ แบร์ธา วาซเกซ (Bertha Vazquez) ครูชั้นมัธยมต้น ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ที่มอบหมายให้นักเรียนชั้น ม.1 ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลังจากเกิดเหตุการณ์พายุเฮอริเคนเอียนเข้าถล่มที่สหรัฐอเมริกา โดยให้นักเรียนค้นหาข้อมูลตามเว็บไซต์ออนไลน์ว่าสาเหตุที่เกิดจากมนุษย์คืออะไรบ้าง และเว็บไซต์เหล่านั้นได้รับการสนับสนุนโดยใครหรือองค์กรใด
แบร์ธา กล่าวว่านี่เป็นแบบฝึกหัดที่ซับซ้อนสำหรับเด็กอายุ 12 ปี โดยสอนให้พวกเขาแยกแยะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศจากการบิดเบือนข้อมูลทางออนไลน์จำนวนมาก แต่เธอก็คิดว่ามันเป็นจุดสำคัญ เธอจึงทุ่มเทการสอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แนวทางแก้ไข และอุปสรรคต่างๆ
สำหรับแบร์ธา ครูที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี แม้นักเรียนของเธอจะเห็นผลกระทบจากโลกร้อน แต่คำว่า ?การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ? ก็ยังไม่ปรากฏในหลักสูตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือประถมศึกษา
ส่วนรัฐอื่นๆ เช่น รัฐเทกซัสกำหนดหลักสูตรให้เรียนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3 หัวข้อหลักตามมาตรฐานจำนวนทั้งหมด 27 หน้า และรัฐมากกว่า 40 รัฐ ให้เรียนหลักสูตรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพียงหัวข้อเดียว
เวลาสอนอันน้อยนิดในยุคโลกรวน
"โรงเรียนมัธยมต้นเป็นที่ที่เด็กๆ เหล่านี้เริ่มมีทิศทางทางศีลธรรมและสนับสนุนทิศทางนั้นด้วยตรรกะ โรงเรียนมัธยมต้นจึงเป็นโอกาสที่จะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น"
คือคำพูดของ ไมเคิล ปาดิลลา (Michael Padilla) ศาสตราจารย์กิตติคุณจากมหาวิทยาลัยเคลมสัน (Clemson University) และอดีตประธานสมาคมครูวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ด้วยมาตรฐานของโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นหลายแห่งไม่ได้ระบุหลักสูตรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่การสอนเรื่องนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของครูและเขตการศึกษา เพื่อหาวิธีบูรณาการเรื่องนี้เข้ากับบทเรียน ซึ่งมักจะต้องเจอกับอุปสรรค 2 ข้อหลัก คือ 1. เวลาอันจำกัด และ 2. การสนับสนุนที่ไม่เพียงพอ
"เวลาเรียนแทบจะไม่เพียงพอที่จะสอนเรื่องจำเป็นต่างๆ อย่างน้อยที่สุดเด็กๆ จำเป็นต้องเรียนรู้พื้นฐานของวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ รวมถึงบทบาทของมนุษย์ ผลที่ตามมาของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ตลอดจนวิธีแก้ปัญหา" เกล็นน์ บรานช์ (Glenn Branch) รองผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติกล่าว
ผู้ปกครองชาวอเมริกันประมาณร้อยละ 80 คิดว่าโรงเรียนควรสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนักเรียนก็เห็นด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเราต่างเห็นความจำเป็นของการทำความเข้าใจเรื่องนี้
"เด็กๆ ต่างเรียกร้องให้สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้นและต้องการรู้มากกว่านี้" ซาราห์ รุกจิเอโร (Sarah Ruggiero) ครูวิทยาศาสตร์ประจำเขตการศึกษายูจีน (Eugene School District) ในรัฐโอเรกอน กล่าว
ประเทศไทยเองก็มีการกำหนดหลักสูตรเรื่องโลกร้อนให้เด็กเรียนเช่นกัน แต่รวมอยู่ในหมวดวิชาวิทยาศาสตร์ที่มีเนื้อหาอื่นๆ ที่บังคับเรียนอยู่มาก จึงมีแค่ช่วงเวลาไม่กี่คาบเรียนเท่านั้นที่เด็กไทยจะได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง รวมถึงวิธีสอนของครูแต่ละคนก็แตกต่างกันทำให้เด็กๆ เรียนเพื่อท่องจำไปสอบมากกว่าศึกษาปัญหานั้นจริงๆ
เราควรสอนเด็กเรื่องโลกร้อนอย่างไร?
แคลร์ ซีลีย์ (Claire Seeley) ที่ปรึกษาด้านการศึกษา ให้คำแนะนำไว้ 6 ข้อว่าเราควรสอนเด็กเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร ได้แก่
1.ทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มีคำศัพท์มากมายที่เกี่ยวข้องกับการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องแจกแจงแนวคิดเหล่านั้นและใช้เวลาในการสอนแนวคิดหลัก
เช่น 'ภาวะเรือนกระจก' เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อก๊าซในชั้นบรรยากาศของโลกกักเก็บความร้อนของดวงอาทิตย์
'การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ' เป็นการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในระยะยาวและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดสภาพอากาศที่รุนแรงและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ความแห้งแล้ง พายุ และความอดอยาก
2. แสดงให้เด็กๆ เห็นความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นำข้อมูลที่เห็นภาพแสดงให้เด็กๆ เห็น เช่น กราฟแสดงแนวโน้มอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพถ่ายดาวเทียม แหล่งข้อมูลออนไลน์ต่างๆ อย่าง แหล่งสังเกตการณ์โลก ซึ่งใช้ภาพถ่ายของนักบินอวกาศในยุคแรกและภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อแสดงให้เห็นว่าลักษณะต่างๆ บนโลกเมื่อมองจากอวกาศเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถวัดการเติบโตของเมืองและการหดตัวของธารน้ำแข็งได้
ในช่วงล็อกดาวน์ เราเห็นอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราเห็นแวบหนึ่งชั่วขณะสั้นๆ ว่าหากมนุษยชาติลดการปล่อยก๊าซ โลกก็สามารถเริ่มฟื้นตัวได้ สังเกตได้จากข้อมูลของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ กิจกรรมโดยเฉลี่ยบนถนนทั่วโลกลดลงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งส่งผลให้คุณภาพอากาศดีขึ้นชั่วคราว
3. เปิดช่วงให้นักเรียนสนทนาเรื่องโลกร้อน
หาเวลาให้ผู้เรียนพูดคุยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้โอกาสพวกเขาแสดงข้อกังวล ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของเราที่จะรับรู้ถึงความกังวลของเด็กๆ
ต้องจัดช่วงเวลาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เด็กเรียนรู้และพูดคุยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร ไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียว
เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดประเภทต่างๆ เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ การคิดรอบปัญหา และการคิดอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาใหม่ๆ
4. สร้างแรงจูงใจ
ครูควรสนับสนุนให้ผู้เรียนคิดวิธีเชิงบวกที่พวกเขาสามารถช่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ เตือนพวกเขาว่านี่คือความรับผิดชอบของทุกคน ภาระนี้ไม่ควรรับผิดชอบเพียงแค่เด็กๆ กลุ่มเดียว สิ่งนี้จะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้นและให้ความหวังแก่พวกเขา เพราะการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็สามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้
นอกจากนี้ควรสนับสนุนให้เด็กๆ เข้าร่วมโครงการด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับโรงเรียนต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจและทำงานเพื่อปรับปรุงท้องถิ่น ทำให้เด็กๆ พัฒนาความคิดในโลกที่กว้างขึ้น
5. สัมผัสกับธรรมชาติ
จากการวิจัยพบว่ามนุษย์จะได้รับผลดีจากการใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทำให้เราสังเกตเห็น คิด และชื่นชมสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และส่งผลให้เรามีสุขภาพทางอารมณ์ จิตใจ และร่างกายที่ดี
ครูและผู้ปกครองจึงควรสนับสนุนให้นักเรียนใช้เวลานอกบ้านและมีส่วนร่วมกับโลกหรือธรรมชาติ เช่น การนั่งเงียบๆ ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดเพื่อมองโลกรอบตัว หรือให้เด็กๆ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ผ่านงานศิลปะ บทกวี การเต้นรำ หรือดนตรี เกี่ยวกับธรรมชาติ
6. นำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) บรรจุลงในหลักสูตรการเรียน
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้โลกเป็นที่ที่ดีขึ้น หากนำหลักสูตรนี้มาผสานร่วมกันจะทำให้เด็กๆ เรียนรู้ด้วยมิติที่เป็นสากลมากขึ้นและช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างวิชาต่างๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้
แนวทางทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพรวมหลักสูตรโดยย่อที่พอจะนำไปใช้ได้ แม้ครูหลายคนอาจขาดความมั่นใจ เมื่อพูดถึงโลกร้อน เพราะมันดูเป็นเรื่องใหญ่โตและกังวลว่าจะสอนผิด แต่เด็กๆ จำเป็นต้องมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะเรี่องนี้ส่งผลต่อเราทุกคน และเด็กๆ เหล่านี้คือผู้ที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้น
อ้างอิง: nytimes.com (1, 2), bbc.co.uk
https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/104445
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|