เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #2  
เก่า 27-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


เราจะสอนเด็กเรื่องโลกร้อนยังไง? ในวันที่โลกรวนเกินกว่าจะสอนแค่ในหนังสือเรียน
.......... โดย ณัฏฐ์นรี เฮงสาโรชัย


Summary

- ความสำคัญของโลกร้อนกลายเป็นที่พูดถึงในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและความแปรปรวนต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยากที่จะคาดเดาอนาคตของโลกนี้ได้

- เหล่าเด็กน้อย ผู้เป็นอนาคตของชาติกลับต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้วจากสิ่งที่มนุษย์รุ่นก่อนกระทำไว้โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาคือกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด

- 2 ชั่วโมงต่อปี นั่นคือจำนวนเวลาที่ครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมต้นกว่าครึ่งหนึ่งใช้การสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และครูส่วนหนึ่งไม่สอนเรื่องนี้เลย จากการสำรวจของศูนย์ศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา

- ช่วงเวลาเรียนอันน้อยนิดกับปัญหาที่ใหญ่ระดับโลกและมีเนื้อหาซับซ้อน ทำให้การถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ตามมาด้วยคำถามว่าแล้วเราจะสอนเด็กเรื่องโลกร้อนกันอย่างไรดี




เชื่อว่าหลายคนในโลกนี้ไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า 'โลกร้อน' คำคำนี้ถูกพูดถึงอยู่หลายครั้งจนบางคนเริ่มเบื่อกันไปบ้างแล้ว

ความสำคัญของโลกร้อนกลายเป็นที่พูดถึงในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและความแปรปรวนต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยากที่จะคาดเดาอนาคตของโลกนี้ได้

ขณะเดียวกัน เหล่าเด็กน้อยผู้เป็นอนาคตของชาติกลับต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้วนี้จากสิ่งที่มนุษย์รุ่นก่อนกระทำไว้โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาคือกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่เด็กยุคนี้เข้าใจเรื่องโลกร้อนดีแค่ไหนกันแน่นะ?

2 ชั่วโมงต่อปี นั่นคือจำนวนเวลาที่ครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมต้นกว่าครึ่งหนึ่งใช้การสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยที่ครูส่วนหนึ่งไม่สอนเรื่องนี้เลย จากการสำรวจของศูนย์ศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา

ปัญหาโลกร้อนยังคงถูกละเลยจากหลายคนรวมถึงเด็กด้วย เป็นภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัดว่าการสอนเรื่องนี้กับเด็กเป็นเรื่องสำคัญมากๆ แต่ช่วงเวลาเรียนอันน้อยนิดกับปัญหาที่ใหญ่ระดับโลกที่มีเนื้อหาซับซ้อน ทำให้การถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ตามมาด้วยคำถามว่าแล้วเราจะสอนเด็กเรื่องโลกร้อนกันอย่างไรดี


ทำไมเราต้องเรียนเรื่องโลกร้อนด้วย?

คำถามที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ต้องเคยสงสัย แม้จะได้รับคำตอบเพียงแค่ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลต่อมนุษย์ทุกคน แต่หากเด็กไม่เข้าใจหรือไม่มีความรู้ ในอนาคตปัญหาโลกร้อนนี้ก็ไม่อาจแก้ไขหรือบรรเทาลงได้อย่างแน่นอน

โรงเรียนส่วนใหญ่มักเริ่มสอนหลักสูตรเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น เช่นในหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย แต่นอกจากการเรียนเพื่อท่องจำไปสอบ วิชานี้มีบทบาทสำคัญมากต่อสิ่งมีชีวิตทั่วโลก และวิธีการสอนของครูจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กๆ ยุคนี้เข้าใจปัญหาโลกร้อนอย่างแท้จริง

เช่น วิธีการสอนของ แบร์ธา วาซเกซ (Bertha Vazquez) ครูชั้นมัธยมต้น ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ที่มอบหมายให้นักเรียนชั้น ม.1 ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลังจากเกิดเหตุการณ์พายุเฮอริเคนเอียนเข้าถล่มที่สหรัฐอเมริกา โดยให้นักเรียนค้นหาข้อมูลตามเว็บไซต์ออนไลน์ว่าสาเหตุที่เกิดจากมนุษย์คืออะไรบ้าง และเว็บไซต์เหล่านั้นได้รับการสนับสนุนโดยใครหรือองค์กรใด

แบร์ธา กล่าวว่านี่เป็นแบบฝึกหัดที่ซับซ้อนสำหรับเด็กอายุ 12 ปี โดยสอนให้พวกเขาแยกแยะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศจากการบิดเบือนข้อมูลทางออนไลน์จำนวนมาก แต่เธอก็คิดว่ามันเป็นจุดสำคัญ เธอจึงทุ่มเทการสอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แนวทางแก้ไข และอุปสรรคต่างๆ

สำหรับแบร์ธา ครูที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี แม้นักเรียนของเธอจะเห็นผลกระทบจากโลกร้อน แต่คำว่า ?การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ? ก็ยังไม่ปรากฏในหลักสูตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือประถมศึกษา

ส่วนรัฐอื่นๆ เช่น รัฐเทกซัสกำหนดหลักสูตรให้เรียนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3 หัวข้อหลักตามมาตรฐานจำนวนทั้งหมด 27 หน้า และรัฐมากกว่า 40 รัฐ ให้เรียนหลักสูตรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพียงหัวข้อเดียว


เวลาสอนอันน้อยนิดในยุคโลกรวน

"โรงเรียนมัธยมต้นเป็นที่ที่เด็กๆ เหล่านี้เริ่มมีทิศทางทางศีลธรรมและสนับสนุนทิศทางนั้นด้วยตรรกะ โรงเรียนมัธยมต้นจึงเป็นโอกาสที่จะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น"

คือคำพูดของ ไมเคิล ปาดิลลา (Michael Padilla) ศาสตราจารย์กิตติคุณจากมหาวิทยาลัยเคลมสัน (Clemson University) และอดีตประธานสมาคมครูวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

ด้วยมาตรฐานของโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นหลายแห่งไม่ได้ระบุหลักสูตรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่การสอนเรื่องนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของครูและเขตการศึกษา เพื่อหาวิธีบูรณาการเรื่องนี้เข้ากับบทเรียน ซึ่งมักจะต้องเจอกับอุปสรรค 2 ข้อหลัก คือ 1. เวลาอันจำกัด และ 2. การสนับสนุนที่ไม่เพียงพอ

"เวลาเรียนแทบจะไม่เพียงพอที่จะสอนเรื่องจำเป็นต่างๆ อย่างน้อยที่สุดเด็กๆ จำเป็นต้องเรียนรู้พื้นฐานของวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ รวมถึงบทบาทของมนุษย์ ผลที่ตามมาของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ตลอดจนวิธีแก้ปัญหา" เกล็นน์ บรานช์ (Glenn Branch) รองผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติกล่าว

ผู้ปกครองชาวอเมริกันประมาณร้อยละ 80 คิดว่าโรงเรียนควรสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนักเรียนก็เห็นด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเราต่างเห็นความจำเป็นของการทำความเข้าใจเรื่องนี้

"เด็กๆ ต่างเรียกร้องให้สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้นและต้องการรู้มากกว่านี้" ซาราห์ รุกจิเอโร (Sarah Ruggiero) ครูวิทยาศาสตร์ประจำเขตการศึกษายูจีน (Eugene School District) ในรัฐโอเรกอน กล่าว

ประเทศไทยเองก็มีการกำหนดหลักสูตรเรื่องโลกร้อนให้เด็กเรียนเช่นกัน แต่รวมอยู่ในหมวดวิชาวิทยาศาสตร์ที่มีเนื้อหาอื่นๆ ที่บังคับเรียนอยู่มาก จึงมีแค่ช่วงเวลาไม่กี่คาบเรียนเท่านั้นที่เด็กไทยจะได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง รวมถึงวิธีสอนของครูแต่ละคนก็แตกต่างกันทำให้เด็กๆ เรียนเพื่อท่องจำไปสอบมากกว่าศึกษาปัญหานั้นจริงๆ


เราควรสอนเด็กเรื่องโลกร้อนอย่างไร?

แคลร์ ซีลีย์ (Claire Seeley) ที่ปรึกษาด้านการศึกษา ให้คำแนะนำไว้ 6 ข้อว่าเราควรสอนเด็กเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร ได้แก่


1.ทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

มีคำศัพท์มากมายที่เกี่ยวข้องกับการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องแจกแจงแนวคิดเหล่านั้นและใช้เวลาในการสอนแนวคิดหลัก

เช่น 'ภาวะเรือนกระจก' เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อก๊าซในชั้นบรรยากาศของโลกกักเก็บความร้อนของดวงอาทิตย์

'การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ' เป็นการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในระยะยาวและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดสภาพอากาศที่รุนแรงและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ความแห้งแล้ง พายุ และความอดอยาก


2. แสดงให้เด็กๆ เห็นความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นำข้อมูลที่เห็นภาพแสดงให้เด็กๆ เห็น เช่น กราฟแสดงแนวโน้มอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพถ่ายดาวเทียม แหล่งข้อมูลออนไลน์ต่างๆ อย่าง แหล่งสังเกตการณ์โลก ซึ่งใช้ภาพถ่ายของนักบินอวกาศในยุคแรกและภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อแสดงให้เห็นว่าลักษณะต่างๆ บนโลกเมื่อมองจากอวกาศเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถวัดการเติบโตของเมืองและการหดตัวของธารน้ำแข็งได้

ในช่วงล็อกดาวน์ เราเห็นอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราเห็นแวบหนึ่งชั่วขณะสั้นๆ ว่าหากมนุษยชาติลดการปล่อยก๊าซ โลกก็สามารถเริ่มฟื้นตัวได้ สังเกตได้จากข้อมูลของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ กิจกรรมโดยเฉลี่ยบนถนนทั่วโลกลดลงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งส่งผลให้คุณภาพอากาศดีขึ้นชั่วคราว


3. เปิดช่วงให้นักเรียนสนทนาเรื่องโลกร้อน

หาเวลาให้ผู้เรียนพูดคุยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้โอกาสพวกเขาแสดงข้อกังวล ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของเราที่จะรับรู้ถึงความกังวลของเด็กๆ

ต้องจัดช่วงเวลาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เด็กเรียนรู้และพูดคุยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร ไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียว

เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดประเภทต่างๆ เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ การคิดรอบปัญหา และการคิดอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาใหม่ๆ


4. สร้างแรงจูงใจ

ครูควรสนับสนุนให้ผู้เรียนคิดวิธีเชิงบวกที่พวกเขาสามารถช่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ เตือนพวกเขาว่านี่คือความรับผิดชอบของทุกคน ภาระนี้ไม่ควรรับผิดชอบเพียงแค่เด็กๆ กลุ่มเดียว สิ่งนี้จะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้นและให้ความหวังแก่พวกเขา เพราะการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็สามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้

นอกจากนี้ควรสนับสนุนให้เด็กๆ เข้าร่วมโครงการด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับโรงเรียนต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจและทำงานเพื่อปรับปรุงท้องถิ่น ทำให้เด็กๆ พัฒนาความคิดในโลกที่กว้างขึ้น


5. สัมผัสกับธรรมชาติ

จากการวิจัยพบว่ามนุษย์จะได้รับผลดีจากการใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทำให้เราสังเกตเห็น คิด และชื่นชมสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และส่งผลให้เรามีสุขภาพทางอารมณ์ จิตใจ และร่างกายที่ดี

ครูและผู้ปกครองจึงควรสนับสนุนให้นักเรียนใช้เวลานอกบ้านและมีส่วนร่วมกับโลกหรือธรรมชาติ เช่น การนั่งเงียบๆ ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดเพื่อมองโลกรอบตัว หรือให้เด็กๆ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ผ่านงานศิลปะ บทกวี การเต้นรำ หรือดนตรี เกี่ยวกับธรรมชาติ


6. นำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) บรรจุลงในหลักสูตรการเรียน

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้โลกเป็นที่ที่ดีขึ้น หากนำหลักสูตรนี้มาผสานร่วมกันจะทำให้เด็กๆ เรียนรู้ด้วยมิติที่เป็นสากลมากขึ้นและช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างวิชาต่างๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้

แนวทางทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพรวมหลักสูตรโดยย่อที่พอจะนำไปใช้ได้ แม้ครูหลายคนอาจขาดความมั่นใจ เมื่อพูดถึงโลกร้อน เพราะมันดูเป็นเรื่องใหญ่โตและกังวลว่าจะสอนผิด แต่เด็กๆ จำเป็นต้องมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะเรี่องนี้ส่งผลต่อเราทุกคน และเด็กๆ เหล่านี้คือผู้ที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้น


อ้างอิง: nytimes.com (1, 2), bbc.co.uk


https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/104445

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:17


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger