เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 25-06-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


หวั่น'เมืองบาดาล' ชี้ไทยมีสิทธิ์เจอ แผ่นดินไหวเกิน 6 ริกเตอร์





เมืองกาญจน์อันตรายสุด เผยข้อมูลใหม่ "ฉีกตำรา" ประเทศไทยเกิดแผ่นดินไหวแค่ 6 ริกเตอร์ เชื่ออนาคตอันใกล้ประเทศไทยมีสิทธิ์แผ่นดินไหวเกิน 7 ริกเตอร์แน่ จี้ภาครัฐบูรณาการให้ความรู้และหาวิธีป้องกันก่อนประเทศไทยต้อง "จมอยู่ใต้น้ำ"...

ภายหลังจากออกมาเปิดเผยข้อมูลของ นักธรณีวิทยาว่าทุกๆเขื่อนในประเทศไทยสร้างคร่อมรอยเลื่อนเปลือกโลก โดยเฉพาะเขื่อนที่จังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนี้ ล่าสุด กรมทรัพยากรธรณีได้เปิดแผนที่หมู่บ้านเสี่ยงแผ่นดินไหว พบ 1,406 แห่งใน 22 จังหวัดที่น่าเป็นห่วงสร้างความตื่นตระหนก และสับสนให้กับประชาชนมากมาย

เรื่องนี้ ไทยรัฐออนไลน์ สอบถามไป ยัง รศ.ดร.มนตรี ชูวงษ์ ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแผ่นดินไหวและสึนามิแนะนำว่า อย่าเพิ่งตื่นตระหนก พร้อมทั้งอธิบายว่า การสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่นเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ก็มักจะเลือกในบริเวณที่มีความสำคัญกับธรณีวิทยาทั้งนั้น ดังนั้นประเด็นที่ว่าเขื่อนในประเทศไทยเกือบทุกแห่งสร้างคร่อมรอยเลื่อนเปลือกโลกนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกับสถานการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทยก็คือ วันนี้ประเทศไทยมีรอยเลื่อน ซึ่งรอยเลื่อนต่างๆนั้น ยังมีพลังงานซึ่งยังกระจายตัวอยู่มาก โดยเฉพาะรอยเลื่อนที่วิกฤติมากที่สุดคือ รอยเลื่อนที่ จ.กาญจนบุรี, ด่านเจดีย์ 3 องค์ และรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ที่มีการพูดถึงมากที่สุด แต่วันนี้ผมยังเชื่อว่าถ้าเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7 ริกเตอร์ มันก็ยังไม่สามารถทำอะไรเขื่อนได้ เพราะว่าการสร้างสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆอย่างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และกรมชลประทานจะมีทีมที่ทำการประเมินว่าจะมีอัตราเสี่ยงขนาดไหน

"พูด ว่าเขื่อนตั้งอยู่บนรอยเลื่อนใครๆฟังก็เสียว แต่ถ้ามองลึกในระดับวิชาการจริงๆไม่น่าเป็นห่วง เพราะการสร้างเขื่อนคร่อมรอยเลื่อนเปลือกโลกเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมันต้องสัมพันธ์กับโครงสร้างทางธรณีวิทยา ต้องมีแม่น้ำสายหลักไหลผ่าน ซึ่งแม่น้ำสายหลักส่วนใหญ่มันก็จะพัฒนาการอยู่บนรอยเลื่อน มันถึงจะเป็นที่แม่น้ำจะสามารถนำพาน้ำมาเป็นอ่างเก็บน้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นรอยเลื่อนเล็กหรือรอยเลื่อนใหญ่ มันมีความสัมพันธ์ไม่ต้องตกใจ"

รศ.ดร.มนตรี ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าการสร้างความตื่นตระหนก กับข่าวว่าพบรอยเลื่อนใหญ่แห่งใหม่อยู่ใต้กรุงเทพฯว่า จริงแล้วก่อนหน้านี้นักธรณีวิทยาพบมานานมากแล้ว ซึ่งฟังแล้วอาจจะตกใจแต่หลังจากที่มีคนไปตรวจสอบแล้วปรากฏว่ารอยแยกดังกล่าวอยู่ลึก แล้วมีตะกอนดินไปปิดทับอยู่พอสมควร ถามว่ารอยเลื่อนนี้อยู่ตำแหน่งไหนของกรุงเทพฯ บอกไม่ได้ เพราะคงต้องรอดูจากผลการวิจัย แต่ถ้าเกิดแผ่นดินไหวแล้วเชื่อว่าคนกรุงเทพฯ จะโดนกันหมด

"ถามว่าวันนี้ประเทศพร้อมรับกับแผ่นดินไหวไหม ก็ยังไม่ 100% เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ มันต้องพร้อมทุกๆอย่าง อีกทั้งต้องสร้างนักวิชาการเพิ่มขึ้นเยอะ ถ้าเกิดเรื่องแผ่นดินไหวขึ้นมาตูมก็ต้องวิเคราะห์กัน ก่อนที่จะประกาศขึ้นมาสู่สาธารณชนว่าจุดไหนมีผลกระทบบ้าง นี่คือความพร้อมระดับหนึ่งที่ต้องทำ"

ส่วนการป้องกันหลังผลกระทบไม่น่าห่วง เนื่องจากเราเจอมาแล้ว ดังนั้นการเยียวยาเราพอรับมือได้ แต่ก่อนเหตุการณ์เรายังไม่พร้อม นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงหลังจากเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาก็คือเรื่องสึนามิ ที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน แต่อาจจะไม่ร้ายแรงเท่ากับปี 2547 แต่ถ้าเกิดขึ้นน่าจะสร้างความเสียหายให้กับคนไทยได้ไม่น้อย เนื่องจากหอเตือนภัยไม่พร้อมแน่นอน ยังไม่ทั่วถึงเพราะผมไปพื้นที่ประจำเจอหลายจุดที่ไม่รู้เรื่องราว แถว จ.ระนอง, พังงา และกระบี่ ยังมีหลายจุดที่สัญญาณเตือนภัยยังไปไม่ถึง บางที่สายไฟหายบ้าง มีแต่หอคอยไม่มีลำโพง ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมาดูแล"

ทั้งนี้ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา ฝากถึงภาครัฐด้วยว่า ความสำคัญกับข้อมูลเรื่องนี้ไม่มีใครพูดเท่าไหร่เรื่องน้ำหนักของข้อมูลที่เราควรจะเชื่อถือบางที่ปล่อยข่าวออกมา มันไม่มีมูลทำให้คนตกใจ แล้วก็กลายเป็นว่าภาครัฐกลายไปช่วยประโคมข่าวตรงนั้นด้วย ดังนั้นวันนี้หน่วยงานไหนก็ได้ออกมาช่วยกลั่นกรองข้อมูลก่อนปล่อยออกมา เช่น สึนามิจะเกิดวันนั้นวันนี้ แผ่นดินไหวจะเกิดวันนั้นวันนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะพูดออกมาเป็นเรื่องที่ต้องไตร่ตรองพอสมควร

ด้าน รศ.ดร.สัมพันธ์ สิงหราชวราพันธ์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเรื่องแผ่นดินไหว แสดงความคิดเห็น ไม่แตกต่างไปจากข้อมูลข้างต้นและกล่าวย้ำถึงพื้นที่อันตรายด้วยว่า นอกจาก 8 จังหวัดภาคเหนือ และแถบตะวันตกแล้ว จ.กาญจนบุรีถือว่าเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดในเมืองไทย

"ก่อนหน้านี้เราจะพบที่ จ.กาญจนบุรีแล้วหลายครั้งแต่สูงที่สุด คือ 6 ริกเตอร์บ้าง ซึ่งจากข้อมูลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตระบุว่าเขื่อนศรีนครินทร์รับแรงสั่นสะเทือนได้มากที่สุดถึง 7 ริกเตอร์ ซึ่งผมก็มีคำถามว่า ถ้าเกิด 7 ริกเตอร์จริง แต่เกิดใกล้กับตัวเขื่อน ถามว่าคนที่บอกว่าทนได้ 7 ริกเตอร์มีความมั่นใจแค่ไหน"

แม้ว่าตามข้อมูลการวิจัยจะพบว่าในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังไม่มีแผ่นดินไหวมากกว่า 6 ริกเตอร์ก็ตาม แต่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแผ่นดินไหว จาก มช. บอกว่า จากการศึกษา ของเราที่ จ.กาญจนบุรี และ 8 จังหวัดทางภาคเหนือ โดยที่ จ.เชียงใหม่มันมีรอยเลื่อนหลายตัวที่มีศักยภาพทำให้แผ่นดินไหวมากกว่า 6 ริกเตอร์ ซึ่ง 6 ริกเตอร์ อาจทำให้บ้านที่สร้างไม่ดีก็จะพังทลายในพริบตา ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากๆ

"ถามว่าวันนี้ระบุเป๊ะๆว่าที่เมืองกาญจน์หรือภาคเหนือจะเกิดแผ่นดินไหวเมื่อไหร่ ไม่รู้ ระบุตายตัวไม่ได้ แม้กระทั่งอเมริกาก็ยังคาดการณ์ไม่ได้ หรืออย่างที่จีนมันจะอ้างผลวิจัยแผ่นดินไหวจะต้องวัดจากงูปกติมันจะจำศีล พอแผ่นดินจะไหว งูมันจะเลื่อยขึ้นมาแล้วแข็งตายเลย หรือทฤษฎีที่สัตว์ในสวนสัตว์จะตื่นตระหนกก่อนจะเกิดแผ่นดินไหว เอาเข้าจริงมันไม่เวิร์ก ฉะนั้นก็ยังไม่มีวิธีไหนที่บอกว่าถึงเหตุแผ่นดินไหวได้แม่นยำ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือขอให้ทราบว่าแผ่นดินไหวแรงที่สุดของบริเวณนี้กี่ริกเตอร์ จะเกิดเมื่อไหร่ไม่ต้องสนใจแค่รู้ และก็หาทางรับความรุนแรงตามริกเตอร์นั้นได้ ดังนั้นอาคารไหนที่มีคนอยู่เยอะๆ ต้องมั่นใจว่าเกิด 7 ริกเตอร์ว่าต้องอยู่ได้ อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก็ยังดี ไม่ใช่ว่าเขย่าแล้วโครมเดียวเหมือนจีน นี่คือมาตรฐานที่เขาทำกัน เหมือนกับที่อเมริกาแล้วก็ญี่ปุ่นที่เกิดแผ่นดินไหวไม่ค่อยมีคนตายเท่าไหร่"

คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือวันนี้ประเทศไทยไม่พร้อมกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเกินกว่า 7 ริกเตอร์แน่นอน ที่สำคัญวันนี้คนก็ยังไม่มีความรู้เพียงพอ แถมวันดีคืนดี ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางท่านโผล่ออกมาบอกว่าวันนั้นวันนี้จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดนี้คนตายเกลื่อนเมือง หรือวันดีคืนดีมีหมอดูมาฟันธงว่าจะเกิดสึนามิผมบอกว่าไม่เชื่อ ดังนั้นข้อมูลที่เผยแพร่ต้องกลั่นกรองให้ดีส่วนวิธีป้องกันเมื่อเกิดแผ่นดินไหวแรงๆ สิ่งที่ทำได้ก็คือคนที่อยู่ในอาคารใหญ่ห้ามวิ่งหนีแบบสะเปะสะปะให้วิ่งไปที่มุมห้อง แล้วเอาโต๊ะ-เก้าอี้ที่แข็งแรงมาช่วยบังเอาไว้เป็นวิธีที่ดีที่สุด"

ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า สถานทีที่น่าเป็นห่วงตอนนี้ก็คือ ภาคเหนือ และ จ.กาญจนบุรี โดยเฉพาะเขื่อนศรีนครินทร์

"วันนี้ผมไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะพูดมากแล้วก็โดนด่า แต่ก็อยากให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีรอยเลื่อนของเปลือกโลกพาดผ่านให้คอยฟังข้อมูลเรื่องแผ่นดินไหวเอาไว้ตลอดเวลา".



จาก : ไทยรัฐ วันที่ 25 มิถุนายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 26-06-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


เปิดแผนที่ 1,406 แห่ง หมู่บ้านเสี่ยงแผ่นดินไหวทั่วไทย


นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) ทำแผนที่หมู่บ้านเสี่ยงภัยต่อแผ่นดินไหวในประเทศไทยฉบับแรกแล้วเสร็จ โดยมีรายละเอียดครอบคลุม 22 จังหวัดในเขตภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ รวม 107 อำเภอ 308 ตำบล 1,406 หมู่บ้าน ที่อยู่ในแนวเขตรอยเลื่อนมีพลังของไทยทั้ง 13 รอยพาดผ่าน ทั้งนี้ แม้ว่าไทยจะไม่ได้ตั้งอยู่ในบริเวณขอบเปลือกโลกที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวรุนแรงก็ตาม แต่จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา และหลายครั้งการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศคนไทยก็ทำให้ต้องมาทบทวนและเตรียม พร้อมรับมือต่อสถานการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศขึ้น ซึ่งขณะนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ดังนั้น ทส.จึงได้ทำแผนที่เสี่ยงภัยในระดับหมู่บ้านขึ้น เพื่อส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ในการวางแผนลดผลกระทบในอนาคต รวมทั้งจะเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการนำภัยพิบัติบรรจุในหลักสูตรการศึกษาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้วย ซึ่งขณะนี้ในส่วนของ ทธ.เองก็เตรียมประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทยเป็นรายภาค โดยปี 2554 จะเริ่มในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคตะวันตก ภาคกลาง และใต้จะดำเนินการในปี 2555

นายสุวิทย์ โคสุวรรณ ผู้อำนวยการส่วนแผนและประมวลผล ทธ. กล่าวว่า จากการจัดทำแผนที่หมู่บ้านเสี่ยงแผ่นดินไหวทั้ง 13 กลุ่มรอยเลื่อนมีพลัง พบว่ากลุ่มรอยเลื่อนแม่จัน ซึ่งพาดผ่านตั้งแต่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ อ.แม่จัน อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ จ.เชียงราย และต่อเนื่องไปถึงประเทศลาว รวมระยะทาง 155 กิโลเมตร มีความชัดเจนมากสามารถมองเห็นจากภาพถ่ายทางอากาศชัดเจน และเมื่อทำการขุดร่องสำรวจภาคสนาม พบหลักฐานในชั้นดินว่ามีการฉีกขาดมีรอยการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนเมื่อประมาณ 2 พันปีเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดมาแล้ว 6.5 ริคเตอร์ โดยในพื้นที่นี้พบว่ามีหมู่บ้านอย่างน้อย 2-3 แห่งที่ตั้งอยู่ในแนวรอยเลื่อนและต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น บ้านโป่งน้ำร้อน บ้านโป่งป่าแขม อ.แม่จัน จ.เชียงราย ส่วนใหญ่เป็นชาวเขา และลักษณะเป็นบ้านไม้ ที่ผ่านมา ทธ.แจ้งให้ อบต.รับทราบแล้ว

"ยอมรับว่าการเปิดรายชื่อหมู่บ้านเสี่ยงแผ่นดินไหวครั้งนี้ มีการสำรวจในภาคสนามประมาณ 40% ของหมู่บ้านทั้งหมดมาแล้ว และไม่ต้องการให้ตื่นตกใจ เพียงแต่ต้องการให้ไม่ประมาทและมีการเตรียมความพร้อมมากกว่า เพราะถ้าจะประเมินสถานการณ์แล้วเรื่องดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากเป็นภัยใกล้ตัวมากกว่าแผ่นดินไหว แต่ก็ต้องให้ชาวบ้านรับรู้ เพราะหลายครั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จากลาว คนในเขตเชียงแสนก็รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน และมีบ้านเรือนและวัดเสียหาย เป็นต้น" นายสุวิทย์กล่าว




จาก : มติชน วันที่ 25 มิถุนายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 07-07-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


'หลุมยุบ' ภัยใต้ดินใกล้ตัว คาดการณ์ได้หากรู้จักสังเกต

จากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัย “หลุมยุบ” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ธรณีสูบ” ซึ่งเกิดขึ้นทั่วไปในพื้นที่ของประเทศไทยโดยเฉพาะภาคใต้และภาคอีสาน ล่าสุดเกิดที่ จังหวัดร้อยเอ็ด สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน เนื่องจากเกรงว่าจะถูกธรณีสูบลงไปใต้ดินสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางผลกระทบรุนแรงจากภัยพิบัตินี้ หากเรารู้จักศึกษาและสังเกตก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยได้

ดร.ปริญญา พุทธาภิบาล สาขาธรณีศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี ให้ความรู้เกี่ยวกับหลุมยุบและแผ่นดินยุบในประเทศไทยว่า สามารถจำแนกได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. หลุมยุบ (Sinkholes) ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่รองรับด้วยชั้นหินปูน ซึ่งกระจายตัวอยู่ใน พื้นที่ต่างๆของประเทศไทย แต่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ได้แก่ พื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง เช่น สตูล ตรัง กระบี่ โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดหลุมยุบในภาคใต้เนื่องจากภาคใต้ตอนล่างส่วนนั้นมีชั้นหินปูนรองรับอยู่ใต้พื้นดินมาก มีปริมาณฝนตกโดยเฉลี่ยสูงกว่าพื้นที่อื่นมาก และเป็นพื้นที่ต่ำ อิทธิพลของน้ำใต้ดินสูง นอกจากนั้นเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงหรือค่อนข้างรุนแรงที่เกิดขึ้นไกลออกไปใน ทะเลอันดามัน เกาะสุมาตราและพื้นที่ข้างเคียงมักส่งผลกระทบต่อการเกิดหลุมยุบโดยตรงและโดยอ้อม

กลุ่มที่ 2 หลุมยุบ (Sinkholes) ที่เกิดในที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด และเกือบทุกพื้นที่ในภูมิภาคนี้ที่มีชั้นเกลือหินหนามากรองรับอยู่ใต้พื้นดิน ในกรณีนี้หลุมยุบเกิดจากชั้นเกลือหินใต้ดินถูกน้ำบาดาลละลายออกไป โดยเฉพาะบริเวณส่วนยอดโดมเกลือที่โผล่สูงถึงชั้นน้ำบาดาล หนองน้ำขนาดต่างๆ เช่น หนองหาน จ.สกลนคร หนองหาน อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี แอ่งน้ำ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ล้วนเป็นหลุมยุบที่เกิดโดยธรรมชาติ การที่มนุษย์ละลายชั้นเกลือและสูบน้ำเกลือขึ้นมาใช้ประโยชน์มากเกินสมดุลธรรมชาติโดยขาดการวางแผนตามหลักวิชาการ เป็นตัวเร่งให้เกิดหลุมยุบในพื้นที่ส่วนกลางของที่ราบสูงที่สำคัญและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

ความรุนแรงของการเกิดหลุมยุบในแต่ละพื้นที่แต่ละภูมิภาคของโลกอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย เช่น ในประเทศกัวเตมาลา โดยเฉพาะบริเวณเมืองหลวงกัวเตมาลาซิตี้ และประเทศเอลซัลวาดอร์ ซึ่งมีชั้นหินปูนที่มีโพรงถ้ำยุคครีเทเชียสหนากว่า 2,000 เมตร วางตัวอยู่ข้างใต้ มีภูเขาไฟมีพลังเป็นแนวสันโค้งและแนวตะเข็บระหว่างแผ่นธรณีแปซิฟิกกับแผ่นคาริเบียนอยู่ทิศตะวันตกโดยลำดับ ดินแดนแถบนั้นของอเมริกากลางรวมถึงทางใต้ของประเทศเม็กซิโกและรัฐฟลอริดาซึ่งเป็นมลรัฐที่ เกิดหลุมยุบมากที่สุด ในประเทศสหรัฐอเมริกาจึงเป็นดินแดนเสี่ยงภัยหลุมยุบลำดับต้นๆของโลก ส่วนระดับความรุนแรงของพิบัติภัยหลุมยุบในประเทศไทยถือว่าอยู่ในขอบเขตจำกัด พื้นที่เสี่ยงมีน้อยกว่าต่างประเทศ ที่ประเทศไทยอยู่นอกโซนแผ่นดินไหวรุนแรงสำคัญภาพรวม

การยุบลงของแผ่นดินถือเป็นการปรับสมดุลตามธรรมชาติของพื้นที่ผ่านกระบวนการทางธรณีวิทยา มีเหตุปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระดับความเสี่ยงที่จะเกิดปรากฏการณ์ข้างต้นในพื้นที่ คือ สภาพธรณีวิทยา ลักษณะธรณีสัณฐาน ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ระบบน้ำธรรมชาติ และปัจจัยรองลงมาคือกิจกรรมของมนุษย์ ด้วยเหตุที่น้ำใต้ดินที่เป็นกรดอ่อนๆสามารถละลายหินปูน หินปูนโดโลไมต์และหินอ่อนได้ ส่วนน้ำธรรมชาติสามารถละลายชั้นเกลือหินและแร่ยิปซัมได้รวดเร็ว รอยแยก รอยแตกและช่องว่างระหว่างผลึกแร่และเม็ดตะกอนในเนื้อหิน ทำหน้าที่เป็นช่องเปิดให้น้ำไหลหรือซึมผ่าน เกิดเป็นโพรงถ้ำใต้ดิน เกิดหินงอก หินย้อยบริเวณพื้นถ้ำ การเปลี่ยนระดับน้ำใต้ดินอย่างรวดเร็วอาจทำให้ความสมดุลถ้ำเปลี่ยนไป อาจเกิดมีการพังทลายของถ้ำและกลายเป็นหลุมยุบได้

ลักษณะภูมิประเทศและลักษณะภูมิลักษณ์เฉพาะตัวของหินปูน ที่เกิดจากการละลายของน้ำใต้ดินมีข้อสังเกต ได้หลายประการ ซึ่งที่เด่นชัดคือ พื้นผิวดินขรุขระและมักมียอดเขาแหลมจำนวนมากมาย เช่น เทือกเขาสามร้อยยอด เทือกเขาหินปูนในเขตจังหวัดกาญจนบุรี กระบี่ พังงา ตรัง สตูล บางครั้งอาจเห็นร่องรอยของหลุมยุบในอดีต เช่น ทะเลบัน ในจังหวัดสตูล เป็นต้น

สำหรับกรณีเหตุแผ่นดินไหวเกี่ยวข้องกับหลุมยุบได้อย่างไรนั้น ดร.ปริญญา ให้เหตุผลว่า ในเชิงกลศาสตร์ แรงสั่นสะเทือนจากคลื่นแผ่นดินไหวที่รุนแรงมากพอจะเกิดผลโดยตรงต่อความเสถียรของโครงสร้างของโพรงถ้ำใต้ดิน และผลทางอ้อมคือระดับน้ำใต้ดินของพื้นที่ที่ได้รับ ผลกระทบอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วฉับพลัน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดความรุนแรงและระยะห่างจากจุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว โดยปกติ พื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงคือ บริเวณใกล้รอยตะเข็บระหว่างแผ่นธรณี พื้นที่ตลอดแนวสันโค้งภูเขาไฟ และรอยเลื่อนมีพลังที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับรอยตะเข็บข้างต้น บ่อยครั้งหลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงมักสังเกตเห็นการเกิดหลุมยุบหรือแผ่นดินยุบตัวจำนวนมากได้ในวงกว้าง

ผลเสียของการเกิดหลุมยุบ ถ้าเกิดตามที่อยู่อาศัยอาจทำให้ต้องเสียทรัพย์เนื่องจากบ้านอาจมีรอยร้าวหรือยุบลงไปทำให้ต้องสร้างบ้านใหม่และหากเกิดในพื้นที่ที่ต้องใช้ประโยชน์ เช่น การเพาะปลูกทำให้สูญเสียพื้นที่ไป อย่างไรก็ตาม การเกิดหลุมยุบเป็นภัยที่เราสามารถคาดการณ์หรือศึกษาล่วงหน้าได้ ในการก่อสร้างโครงสร้าง ขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อหลุมยุบควรมีการสำรวจธรณีฟิสิกส์ใต้ พิภพเพื่อศึกษาธรรมชาติของโพรงถ้ำหรือช่องว่างใต้ดิน ซึ่งใช้งบประมาณน้อยมาก เมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการ สำหรับชาวบ้านที่ต้องอยู่อาศัยบริเวณที่เกิดหลุมยุบให้รู้จักสังเกตบริเวณรอบๆบ้านว่ามีการแตกร้าวของบ้านหรือไม่ ถ้ามีควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน

หลุมยุบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่น่ากลัวเท่ากับภัยหลุมยุบที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ ในอนาคตข้างหน้าหากยังไม่มีการวางแผนการใช้ทรัพยากรสินแร่เกลือหินอย่างเป็นระบบและเหมาะสมแล้ว อาจทำให้พื้นผิวดินบ้านเรากลายเป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนผิวดวงจันทร์คงเดือดร้อนกันทั่วหน้า.


สัญญาณเตือนก่อนเกิดหลุมยุบ

ดร.อดิชาติ สุรินทร์คำ ผู้อำนวยการสำนักธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อมและธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี ให้ความรู้ว่า ก่อนเกิดหลุมยุบเราจะได้ยินเสียงดังคล้ายฟ้าร้องจากใต้ดินเป็นผลมาจากการถล่มของเพดานโพรงหินปูนใต้ดินหล่นลงมากระแทกพื้นถ้ำใต้ดินก่อนที่จะยุบตัวเป็นหลุมใช้เวลานานหลายนาทีหรือหลายชั่วโมงหรือบางทีเป็นวัน ถ้าหากได้ยินเสียงแบบนี้ให้รีบออกห่างจากจุดนั้นประมาณ 100 เมตร เพราะอาจเกิดหลุมยุบได้ และก่อนเกิดหลุมยุบพื้นดินรอบข้างจะมีรอยร้าวเป็นวงกลมหรือวงรีแตกคล้ายแห หรือใยแมงมุม หรือกำแพงรั้ว เสาบ้าน หรือต้นไม้ทรุดตัวหรือเอียง ประตูบ้านและหน้าต่างบิดเบี้ยวทำให้เปิด-ปิดยาก มีรอยปริแตกที่ผนัง

นอกจากนี้หากพบเห็นต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ พืชผักของเราเหี่ยวเฉาเป็นบริเวณแคบๆ ให้ระวังไว้เนื่องจากมีการสูญเสียน้ำของชั้นใต้ดินลงไปในโพรงใต้ดินทำให้ดินมีความชื้นน้อย หากพบเห็นเหตุการณ์ลักษณะที่กล่าวมาทั้งหมดรีบแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ แต่หากเกิดหลุมยุบแล้วรีบแจ้งผู้ใหญ่บ้านหรือกรมทรัพยากรฯ โดยด่วนและทำรั้วกั้นตั้งป้ายเตือน ซึ่งเราจะตรวจสอบว่าหากหลุมใหญ่ไม่มากจะให้หน่วยงานในท้องที่กลบและห้ามทิ้งขยะลงไปเพราะจะทำให้ดินและน้ำใต้ดินเสียได้ หากหลุมใหญ่อาจต้องสำรวจและศึกษาฟื้นฟูพื้นที่ ถ้าพบว่าไม่ขยายวงกว้างแล้วอาจใช้เป็นแหล่งน้ำของหมู่บ้านก็ได้ นอกจากนี้แล้วเรายังทำแผนที่แสดงพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดหลุมยุบแจกให้ชาวบ้าน เพื่อทราบจุดและปฏิบัติตัวถูกต้องตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปให้ความรู้รวมทั้งใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุข.




จาก : เดลินิวส์ วันที่ 7 กรกฎาคม 2553
รูป
   
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 17-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,123
Default

ประชุมลุ่มน้ำโขง : ผลกระทบยาวไกลถึงหลานเหลน

โดย ประสาร มฤคพิทักษ์ pmarukpitak@yahoo.com

ผู้เขียนในฐานะ ประธานอนุกรรมาธิการศึกษาคุณค่า การพัฒนา และผลกระทบในลุ่มน้ำโขง และคุณสุรจิต ชิรเวทย์ ประธานอนุกรรมาธิการทรัพยากรน้ำ ของวุฒิสภา ได้รับเชิญจากคณะกรรมการลุ่มน้ำโขง (Mekong River Commission) ไปร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ การประเมินยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมจากการเกิดขึ้นของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบน แม่น้ำโขงสายหลักตอนล่าง (Strategic Environment Assessment of Proposed Mainstream Hydropower Dams in the Lower Mekong) ณ โรงแรมโซฟิเทล โฮจิมินห์ซิตี้ ประเทศเวียดนาม เมื่อ 28 – 29 มิถุนายน 2553


มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 100 คน เป็นผู้แทนของ 4 ชาติ คือ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยมีผู้แทนจีนเข้าร่วมสังเกตการณ์


ดร. เลอ ดุ๊ก ตรุง ผู้อำนวยการ MRC ของเวียดนาม ชี้ว่า แม่น้ำโขงมีศักยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างถึง 30,900 เมกะวัตต์ แต่การก่อสร้างเขื่อนจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ลุ่มน้ำ วิถีชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้คนหลายล้านคน ตลอดลุ่มน้ำโขง


ในขณะนี้ภาคธุรกิจเอกชนทั้งของจีน เวียดนาม ไทย มาเลย์เซีย และฝรั่งเศส เตรียมลงทุนสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำจำนวน 12 แห่งในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งคาบเกี่ยวเขตแดนไทย ลาว กัมพูชา ด้วยการยินยอมของรัฐบาลโดยผ่านบันทึกความเข้าใจ (MOU)


จากการศึกษาวิจัยผลกระทบที่ผู้แทน MRC รายงานต่อที่ประชุมได้พบว่า เขื่อน 12 แห่ง หากสร้างขึ้นจะเกิดผลกระทบหลายประการ เช่น ความผิดปกติของการไหลของน้ำและตะกอนดิน รายได้จากการประมงลุ่มน้ำ ระบบนิเวศน์ทางบกและทางน้ำ วิถีชีวิตวัฒนธรรม พันธุ์ปลาที่สูญหายไป เกษตรริมฝั่ง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ฟังจากรายงานแล้ว เห็นได้ชัดว่า 12 เขื่อนนั้น ผลได้ไม่คุ้มเสีย


ในที่นี้มี 2 เขื่อนที่หัวเขื่อนค้ำ 2 ฝั่งไทย-ลาว คือเขื่อนบ้านกุ่ม จ.อุบลราชธานี และเขื่อนปากชม จ.เลย ที่บริษัทเอกชนของไทย 2 แห่งพร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการ โดยเฉพาะเขื่อนบ้านกุ่มนั้น นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ช่วงเดือนมีนาคม 2511 ได้ประกาศอย่างขึงขังว่าจะเดินหน้าสร้างแน่นอน และนายนพดล ปัทมะ รมว.กระทรวงการต่างประเทศในยุคนั้น ได้ไปเซ็น MOU กับทางการลาวมาแล้วด้วย มีมติคณะรัฐมนตรีรองรับ ทั้งๆ ที่เป็นโครงการที่งอกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และไม่อยู่ในแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ
ส่วนเขื่อนปากชมนั้น มีแต่การศึกษาเบื้องต้น แต่ทราบว่าทางกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กำลังดำเนินการในการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง อย่างไร


โชคดีที่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญรองรับสิทธิชุมชนตามมาตรา 67 ไว้อย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้โครงการขนาดใหญ่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ตามอำเภอใจของใครๆ ดังในอดีตอีกต่อไป


ในประเด็น “การหลีกเลี่ยง การบรรเทา และการทำให้ดีขึ้น” (Avoidance, Mitigation and Enhancement) มีการระดมสมองของผู้แทนแต่ละประเทศ ต่อ 4 ทางเลือก คือ
1. ยุติการสร้าง เขื่อนทั้งหมด 12 แห่ง
2. ชะลอการสร้างเขื่อนออกไป เพื่อให้เกิดการศึกษาอย่างรอบด้าน
3. เลือกสรรบางโครงการเพื่อทำโครงการ นำร่อง
4. เดินหน้าสร้างเขื่อน 12 แห่งต่อไป


คณะผู้แทนไทย ปฏิเสธทางเลือกที่ 4 อย่างแข็งขัน และเสนอว่าทางเลือกที่ 1 เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด โดยมีทางเลือกที่ 2 ให้ชะลอโครงการไปเป็นเวลา 10 ปี เป็นทางเลือกรองลงไป โดยผู้แทนไทยชี้ว่า ในระยะยาวเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำมีผลทางทำลายมหาศาล โดยผลได้มีเพียงการตอบสนองด้านพลังงานเท่านั้น ในขณะที่ปัจจุบันมีพลังงานทางเลือกมากมาย ความเห็นของคณะผู้แทนไทยใกล้เคียงกับความเห็นของผู้แทนเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศปลายน้ำโขงที่จะรับเคราะห์ทางนิเวศน์หนักที่สุด ในขณะที่ผู้แทนลาวเลือกทางเลือกที่สาม คือให้เลือกทำโครงการนำร่อง โดยกัมพูชามีท่าทีขอศึกษารายละเอียดดูก่อน


ผู้เขียนมีความเห็นว่า “ลาวมุ่งมั่นที่จะเป็นแบตเตอรี่แห่งเอเซีย เพื่อผลิตไฟขายให้ต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเพียงเล็กน้อย อีกด้านหนึ่งนั้น ทั้งลาวและกัมพูชาต้องพึ่งพิงการลงทุนจากจีนมูลค่ามหาศาล รวมทั้งการลงทุนของจีนสร้างเขื่อนในลาว 3 แห่ง ในกัมพูชา 1 แห่งด้วย”


ผู้เขียนได้ใช้โอกาสนี้ชี้ที่ให้ประชุมได้ตระหนักด้วยว่า เขื่อนจีน 3 แห่ง คือ เขื่อนม่านหว่าน เขื่อนต้าเฉาชาน เขื่อนจิ่งหง ซึ่งอยู่ในลุ่มน้ำโขงตอนบนในเขตมณฑลยูนนานของจีน มีการปิดเปิดเขื่อนเพื่อเก็บกักและปล่อยน้ำตามอัธยาศัยของจีนเอง กล่าวคือ เมื่อมีน้ำมาก จะปล่อยน้ำลงมา พอจีนแห้งแล้งก็จะเก็บกักน้ำเอาไว้ หรือเมื่อต้องการให้เรือสินค้าจีนขึ้นล่องได้ ก็จะปล่อยน้ำลงมาให้เพียงพอต่อการเดินเรือ ทำให้ระดับน้ำโขงลงเร็วผิดปกติในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2553 และระดับน้ำขึ้นเร็วผิดปกติถึงวันละเมตรกว่าเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2551 ทำให้เกิดภาวะตลิ่งพัง ระบบนิเวศน์และพันธุ์ปลาวิปริต เป็นข่าวครึกโครมโดยทั่วไป เท่ากับว่าประเทศเล็กท้ายน้ำจะมีวิถีชีวิตคนลุ่มน้ำที่ปกติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเมตตาธรรมของเขื่อนจีน ที่จะปรับสภาพการปิดเปิดน้ำให้สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติมากน้อยแค่ไหน และเมื่อไร


ในเมื่อเขื่อนจีนสร้างไปแล้วเช่นนี้ ตราบใดที่จีนเป็นผู้เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ทั้งยังถือตนเป็นประเทศใหญ่ที่ไม่ไยดีกับประเทศเล็ก แทนที่จะเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกของคณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหมือน 4 ประเทศท้ายน้ำ ตราบนั้น แม่น้ำโขงยังคงไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นธรรม


มีความเข้าใจผิดกันมากว่า ธรรมชาติต้องให้คนเข้าไปบริหารจัดการ “ความจริงแม่น้ำโขงมีระบบนิเวศน์ที่จัดการตนเองได้อยู่แล้ว โดยคนไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับแม่น้ำเลย การตัดแม่น้ำโขงออกเป็นท่อนๆ ด้วยแท่งปูนขนาดมหึมา กลับเป็นอนันตริยกรรมต่อความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำโขง การชดเชยใดๆ ไม่ว่าด้วยบันไดปลาโจน การจ่ายค่าเวนคืน การเลี้ยงปลากระชัง หรือด้วยวิธีอื่นใด ก็ไม่อาจทดแทนได้ เขื่อนจีน 3 แห่งในลุ่มน้ำโขงตอนบนทำความพินาศให้กับมหานทีแห่งนี้มากพอแล้ว จีนยังจะสร้างเขื่อนเพิ่มอีก 5 แห่ง บวก 12 เขื่อนในตอนล่าง ยิ่งก่อหายนะภัยสั่งสมกับแม่น้ำโขงต่อไปไม่สิ้นสุด โดยไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งข้างหน้าแม่น้ำโขงจะทวงคืนสภาพความอุดมสมบูรณ์ด้วย ค่าใช้จ่ายมหาศาลของมนุษย์”



*************************************

หมายเหตุ : ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ฉบับที่ 7959 วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า ‘ทัศนะวิจารณ์’ (หน้า 11)


ขอบคุณข้อมูลจาก
....http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=19
__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 17-07-2010
สายชล
ข้อความนี้ถูกลบโดย สายชล.
  #6  
เก่า 25-07-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


จับตาประเทศไทย...กับวิกฤติการณ์ภัยน้ำทะเลสูงขึ้น


อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเป็นตัวเร่งเร้าให้ธารน้ำแข็งจากขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แผ่นดินที่อยู่ริมทะเลหายไปในทะเล ประชาชนที่อยู่ริมทะเลนานาประเทศประสบปัญหาเดียวกัน ประเทศไทยปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งปรากฏภาพให้เห็นชัดในพื้นที่บ้านขุนสมุทร จีน จ.สมุทรปราการ ชายฝั่งทะเลเขตบางขุนเทียน ที่ปรากฏภาพของหลักเขตกรุงเทพจมอยู่กลางทะเล นอกจากนี้ยังมีปัญหากัดเซาะบริเวณ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช จากผลการศึกษา 30 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยสูญเสียแผ่นดินไปกว่า 1 แสนไร่ จุดวิกฤติคือในบริเวณชายฝั่งทะเลสมุทรปราการ และชายทะเลเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งสองแห่งมีอัตรากัดเซาะ เฉลี่ย 20-25 เมตรต่อปี

ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่ต้องเร่งแก้ปัญหาเร่งด่วนคือบริเวณอ่าวไทยตอน บน ที่มีแนวชายทะเลและอยู่ในเขตที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร ได้แก่ จ.สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา รวมทั้ง กรุงเทพมหานคร

ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา และหัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในเวทีเสวนา “จับตาประเทศไทยกับวิกฤติการณ์ ภัยน้ำทะเลสูงขึ้น” ที่จัดโดยคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า จากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อพื้นทั่วทั้งชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญแห่งการทำลายพื้นที่ สร้างปัญหาและความเดือดร้อนให้คนชายฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ โดยพื้นที่อ่าวไทยตอนบนตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกงถึงจังหวัดเพชรบุรี มีชายฝั่งยาวกว่า 120 กม. กำลังเผชิญปัญหาการกัดเซาะอย่างรุนแรง 30 ปีที่ผ่านมา ที่ดินชายฝั่งทะเลหายไปกว่า 18,000 ไร่ ยิ่งไปกว่านั้น การกัดเซาะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะชายฝั่งเท่านั้น แต่กัดเซาะลึกลงไปในพื้นที่ท้องทะเลด้วย ทำให้สูญเสียหาดโคลนทุกวินาที

จากการศึกษาวิจัยพบว่าแผ่นดินใต้ทะเลที่เป็นหาดโคลนหายไปประมาณ 180,000 ไร่ นอกจากนั้น ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของไทยตลอด 2,600 กิโลเมตร ถูกกัดเซาะไปแล้วถึง 600 กิโลเมตรถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ และจากการสำรวจติดตามผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลและผลกระทบที่เกิดขึ้น พบว่าพื้นที่บางปู จ.สมุทรปราการ ในอดีต 40 ปีที่แล้วเมื่อระดับน้ำทะเลลงต่ำสุดมีหาดโคลน ซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งทะเลได้โผล่พ้นน้ำกว้างกว่า 5 กิโลเมตรจากแผ่นดิน แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 1 กม. ขณะที่พื้นที่ในเขตมหาชัย จ.สมุทรสาคร เคยมีหาดโคลน 1.5 กม. แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 250 เมตรเท่านั้น

เหล่านี้คือปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งไม่เพียงแต่กัดเซาะชายฝั่งแต่ยังกัดเซาะไปถึงท้องทะเลด้วย ล่าสุดงานวิจัยด้านการกัดเซาะชายฝั่งของอาจารย์ธนวัฒน์ ที่เก็บข้อมูลมายาวนาน 20 ปี ฉายภาพของปัญหากัดเซาะให้ชัดขึ้นอีกว่า ภาวะโลกร้อนไม่เพียงทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยเรื่องการสร้างเขื่อนที่ทำให้ตะกอนดินหายไปไม่ก่อให้เกิดการงอกของแผ่นดิน สาเหตุเกิดจากการสร้างเขื่อนสำคัญ ได้แก่ เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนภูมิพล หลัง 40 ปีที่ผ่านมาพบการงอกของแผ่นดินปลายแม่น้ำเหลือ 4.5 เมตรต่อปี จากเดิมที่มีการงอก 60 เมตรต่อปี (สภาพพื้นที่อ่าวไทยตอนบนมีแม่น้ำสำคัญ 4 สาย ลงสู่ทะเล ได้แก่ แม่น้ำแม่กลอง บางปะกง เจ้าพระยา และท่าจีน) นอกจากนี้ยังมีปัญหาแผ่นดินทรุด มีสาเหตุมาจากการใช้น้ำบาดาล เป็นผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าแผ่นดิน ที่เรียกว่าระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ เป็นตัวเร่งให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนของความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลง ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ อาจยังไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองชายฝั่งในประเทศไทย แต่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ในกรุงจาการ์ตา ที่อยู่ติดริมทะเล มีระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากแผ่นดินทรุดและภาวะโลกร้อน ส่งผลให้เมืองใหญ่แห่งนี้ เกิดปรากฏการณ์น้ำหนุนสูง มีน้ำทะเลเข้าท่วมถึงระดับหน้าอก ชาวบ้านในพื้นที่ก็พยายามปรับตัวไม่ทิ้งพื้นที่

ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 3 มิลลิเมตรต่อปี แต่จาการ์ตา 8 มิลลิเมตรต่อปี ขณะที่ประเทศไทยระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์เพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตรต่อปี นับได้ว่าเป็นอัตราที่มากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ปรากฏน้ำทะเลหนุนสูงแบบนี้จะเห็นบ่อยขึ้นในบ้านเรา ขณะนี้แถบสมุทรปราการเจอปัญหาเดียวกัน แต่ยังไม่รุนแรงเท่าจาการ์ตา ซึ่งชุมชนริมชายฝั่งอย่าง สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ที่จะเผชิญปัญหาสภาพนี้ จะเตรียมรับมืออย่างไร”

ดร.ธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับวิธีการป้องกันน้ำทะเลท่วมนั้นควรมีการสร้างเขื่อนแต่ไม่ใช่เขื่อนป้องกันน้ำทะเล แบบเดียวกับในประเทศเนเธอร์แลนด์แต่เป็นเขื่อนป้องกันน้ำท่วม และต้องสร้างป่าชายเลนเทียมในทะเลป้องกันอีกชั้นหนึ่ง สร้างหาดเทียมขนาด 500 เมตร ถึง 1 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้ได้สร้างหาดเทียม ทดลองในพื้นที่บ้านขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการ ได้เห็นปรากฏการณ์การกัดเซาะลดลงจากเดิมเกิดการกัดเซาะ 30 ซม.ใน 1 ปีแต่หลังจากสร้างเขื่อนการกัดเซาะไม่มี

นอกจากนี้ยังมีตะกอนเพิ่มขึ้น 20-30 เซนติ เมตร ซึ่งกำลังติดตามงานวิจัยต่อไปว่าตะกอนที่เพิ่มขึ้นหากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ตะกอนจะเพิ่มขึ้นในปริมาณเท่าใด ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ จากงานวิจัยไทยจะเป็นประเทศแรกๆในโลกที่จะสร้างป่าชายเลนเทียมขึ้นมาเพื่อป้องกันระดับน้ำทะเลขึ้นมาบนชายฝั่ง

อีกข้อเสนอแนะของการป้องกันปัญหา นักวิชาการแนะด้วยว่า 4 จังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานครควรหยุดใช้น้ำบาดาลตั้งแต่บัดนี้ ภาครัฐต้องหันมาหาแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคของคนในพื้นที่ดังกล่าวใหม่ ไม่เช่นนั้นจะเร่งให้แผ่นดินทรุดกระทบต่อเนื่องก่อให้เกิดปรากฏการณ์แผ่นดินหายและน้ำท่วมกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑลดังกล่าวในอนาคต... ประเทศไทยจะเสียผืนแผ่นดินที่ไม่ได้เกิดจากการสู้รบอย่างจริงๆ.




จาก : เดลินิวส์ วันที่ 25 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 25-07-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


นักวิชาการย้ำปัญหาแผ่นน้ำทะเลสูง หวั่นอีก 10 ปี แผ่นดินหายกว่า 1 กม.



บรรยากาศแถววัดขุนสมุทรจีนในอดีต



วัดขุนสมุทรจีนปัจจุบัน


น้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น หนึ่งในผลพวงจากภัยคุกคามของภาวะโลกร้อน จากข้อมูลวิชาการบ่งชี้ชัดเจนว่า เรากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาสำคัญนี้ ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแผ่กระจายไปในพื้นที่ชายฝั่งเกือบทั่วประเทศ โดยเฉพาะความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่อ่าวไทยตอนบนต่อปัญหาวิกฤติด้านการกัดเซาะชายฝั่ง

ความเสียหายของบ้านเรือนริมชายฝั่งที่เพิ่มขึ้น คือกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เกิดผลกระทบอย่างไรต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิต ขณะที่ข่าวคราวของนักวิชาการที่ออกมาเตือนน้ำจะท่วมกรุงเทพฯจากภาวะโลกร้อน หรือกรุงเทพฯในอนาคตจะจมใต้บาดาล ก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนที่อยู่อาศัยในเมืองกรุงมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้จัดงานเสวนา “จับตาประเทศไทยกับวิกฤตการณ์ภัยน้ำทะเลเพิ่มสูง” ขึ้นเมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมี รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา และหัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และ ผู้ใหญ่สมร เข่งสมุทร ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่ผู้ได้รับผลกระทบเข้าร่วมเสวนา

รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า สภาพพื้นที่อ่าวไทยตอนบนมีแม่น้ำสำคัญ 4 สายไหลลงสู่ทะเล ได้แก่ แม่น้ำแม่กลอง บางปะกง เจ้าพระยา และท่าจีน มีการศึกษาการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ของอ่าวไทยตอนบนในปัจจุบันจากการตรวจวัดระดับน้ำเฉลี่ยรายปีอย่างละเอียดนั้น ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทุกขณะ

เมื่อได้ตรวจวัดระดับน้ำทะเลที่สถานีปากแม่น้ำท่าจีน พบว่า ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 42 มิลลิเมตรต่อปี สถานีป้อมพระจุลจอมเกล้า 20.5 มิลลิเมตรต่อปี สถานีปากแม่น้ำเจ้าพระยา 15 มิลลิเมตรต่อปี สถานีบางปะกง 4 มิลลิเมตรต่อปี ล้วนแต่เป็นตัวเลขที่สูงกว่าการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ในอดีตมาก เมื่อ 150 ปีที่ผ่านมา ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 1.2-1.8 มิลลิเมตรต่อปี แต่จากรายงานของไอพีซีซี ปี 2550 พบว่า ระดับน้ำทะเลของโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 มิลลิเมตรต่อปีแล้ว ขณะที่ในประเทศไทยมีตัวเลขจากรายงานของกรมทรัพยากรธรณี ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 4.1 มิลลิเมตรต่อปี (DMR 2010) ส่วนระดับน้ำทะเลในพื้นที่ชายฝั่งของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีการเก็บบันทึกการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลเอาไว้ เช่น มาเลเซีย 2.4 มิลลิเมตรต่อปี เวียดนาม 2.56 มิลลิเมตรต่อปี บังกลาเทศ 7.8 มิลลิเมตรต่อปี มัลดีฟส์ 4.1 มิลลิเมตรต่อปี

“จากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทั่วทั้งชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญแห่งการทำลายพื้นที่ ก่อปัญหาและสร้างความเดือดร้อนให้คนในชายฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ โดยพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกงถึงจังหวัดเพชรบุรี มีชายฝั่งยาวกว่า 120 กิโลเมตร กำลังเผชิญปัญหาการกัดเซาะอย่างรุนแรง โดย 30 ปีที่ผ่านมา ที่ดินชายฝั่งทะเลของอ่าวไทยหายไป 18,000 ไร่ ยิ่งไปกว่านั้น การกัดเซาะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะชายฝั่งเท่านั้น แต่กัดเซาะลึกลงไปในพื้นที่ท้องทะเลด้วย ทำให้สูญเสียชายหาดโคลนทุกวินาที ทั้งนี้พบว่า 30 ปีที่ผ่านมา แผ่นดินใต้ทะเลที่เป็นหาดโคลนหายไปประมาณ 180,000 ไร่" รศ.ดร.ธนวัฒน์ เผยข้อมูล

นอกจากนั้น ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของไทยตลอด 2,600 กิโลเมตร ถูกกัดเซาะไปแล้วถึง 600 กิโลเมตรหรือคิดเป็นประมาณ 22% ซึ่งถือว่าผิดปกติมาก และจากการสำรวจติดตามผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลและผลกระทบที่เกิดขึ้น พบว่าพื้นที่บางปู จ.สมุทรปราการ ในอดีต 40 ปีที่แล้ว เมื่อระดับน้ำทะเลลงต่ำสุดมีหาดโคลน ซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งทะเลได้โผล่พ้นน้ำกว้างกว่า 5 กิโลเมตรจากแผ่นดิน แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น ในกรณีเดียวกันที่บ้านขุนสมุทรจีน มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม 2.5 กิโลเมตร เหลือเพียง 1 กิโลเมตร ขณะที่พื้นที่มหาชัย เคยมีหาดโคลน 1.5 กิโลเมตร ปัจจุบันเหลือเพียง 250 เมตรเท่านั้น

การศึกษาผลกระทบการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ในอนาคตพบว่า พื้นที่ กรุงเทพและปริมณฑลจะมีอัตราการกัดเซาะเพิ่มเป็น 65 เมตรต่อปี ถ้าไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ อีก 10 ปีข้างหน้า แผ่นดินจะหายไป 1.3 กิโลเมตร อีก 50 ปีข้างหน้า 2.3 กิโลเมตร และในอีก 100 ปีข้างหน้าประมาณ 6 กิโลเมตร

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์เปลี่ยนแปลงและมีแนวโน้มสูงขึ้น คือปัญหาแผ่นดินทรุดของประเทศไทย มีผลกระทบ 70-80% ที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ของประเทศไทยสูงขึ้น โดยปัญหาที่เห็นได้ชัดคือบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ ปี 2527 มีอัตราการทรุดของแผ่นดินมากกว่า 10 เซนติเมตรต่อปี แต่เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการป้องกันต่างๆ ในปัจจุบันนี้อัตราการทรุดเหลือประมาณ 1-4 เซนติเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นข่าวดี

ส่วนที่เป็นข่าวร้ายก็คือจุดศูนย์กลางของการทรุดตัวเปลี่ยนอยู่ใกล้พื้นที่ชายฝั่ง มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนจากระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ที่สูงขึ้นอยู่แล้ว ทุกวันนี้ผลกระทบปรากฎแล้วที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย แผ่นดินทรุดไปแล้วราว 55 เซนติเมตร

ปัจจัยที่เหลือคือ อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทำให้น้ำแข็ง และธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายรวดเร็วกว่าในอดีต ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งมีการคำนวณแล้วว่ามีอัตราเฉลี่ยทั่วโลกประมาณ 3 มิลลิเมตรต่อปี นอกจากนี้ การก่อสร้างเขื่อนบริเวณต้นน้ำ ซึ่งส่งผลให้ตะกอนไหลลงสู่พื้นที่ชายฝั่งน้อยลง เช่น เขื่อนเจ้าพระยา, เขื่อนภูมิพล, เขื่อนสิริกิติ์ หลังสร้างเขื่อนที่ต้นน้ำทำให้อัตราการงอกของแผ่นดินเหลือ 4.5 เมตรต่อปีเท่านั้น จากเดิมที่มีการงอก 60 เมตรต่อปี ตะกอนที่หายไปเพราะเขื่อนกักเก็บไว้ ส่งผลกัดเซาะหนักกว่าเดิม

ในส่วนของความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลง “ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์” นั้น รศ.ดร.ธนวัฒน์ ระบุว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเมืองชายฝั่งของบ้านเรา โดยยกตัวอย่าง กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจากแผ่นดินทรุดและภาวะโลกร้อน ส่งผลต่อเมืองใหญ่แห่งนี้ เกิดปรากฏการณ์น้ำหนุนสูง มีน้ำทะเลเข้าท่วมถึงระดับหน้าอก ชาวบ้านในพื้นที่ก็พยายามปรับตัวไม่ทิ้งพื้นที่

“ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 3 มิลลิเมตรต่อปี แต่จาการ์ตา 8 มิลลิเมตรต่อปี ขณะที่ประเทศไทยระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์เพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นอัตราที่มากสุดในโลกแห่งหนึ่ง ปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูงแบบนี้จะเห็นบ่อยขึ้นในบ้านเรา ขณะนี้แถบสมุทรปราการเจอปัญหาเดียวกัน แต่ยังไม่รุนแรงเท่าจาการ์ตา ซึ่งชุมชนริมชายฝั่งอย่างจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาคร ที่จะเผชิญสภาพอย่างนี้ จะเตรียมรับมือยังไง”

ทุกวันนี้ผลกระทบหลายอย่างปรากฏจากวิกฤติระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง ขึ้น โดยเฉพาะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่รุนแรงมากในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ทุกหน่วยงาน นักวิชาการ ตลอดจนชุมชนพยายามหามาตรการ และวิธีการที่เหมาะสมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ทำให้เกิดโครงการรูปแบบต่างๆหลั่งไหลลงสู่พื้นที่

เมื่อเร็วๆนี้ มีแนวคิดจะก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมแบบประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยใช้ข้อมูลสตรอมเสิร์ช (Strom Surge) ที่จะพัดเข้ากรุงเทพฯ ทำให้น้ำทะเลท่วมเข้ามา 30 กิโลเมตร และข้อมูลระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นของแผนที่นาซา ที่จะทำให้น้ำทะเลท่วมตั้งแต่ 4-12 เมตร โดยประเด็นนี้ในทัศนะของ รศ.ดร.ธนวัฒน์ ให้ความเห็นว่า การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่แบบเนเธอร์แลนด์ นอกจากจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อพื้นที่ชายฝั่งที่มีความอ่อนไหวสูงแล้ว เขื่อนยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหาดโคลน ทำให้หาดโคลนหายไป ซึ่งหาดโคลนถือเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์วัยอ่อนที่สำคัญที่สุดของอ่าวไทย เพราะมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีความสำคัญเป็นแหล่งห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศบกและทะเล

อีกทั้งยังเป็นที่ทำมาหากินของชุมชนประมงพื้นบ้านไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนที่ประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและจับสัตว์น้ำตามชายฝั่งทะเล รวมไปถึงอาจจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายถิ่นของปลาทู ขณะเดียวกันยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่จัดโดยชุมชนและวิถีชุมชนประมงพื้นบ้าน นับเป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันปัญหาคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะลงไปพัฒนาต้องมีความเข้าใจในพื้นที่ และเชื่อมโยงระบบนิเวศกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน โดยใช้ข้อมูลที่ต้องทำการศึกษาอย่างจริงจัง

"ผลกระทบจากความผิดปกติของระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น เริ่มปรากฏให้เห็นในพื้นที่ชายฝั่งแล้ว และสิ่งที่นักวิชาการคาดการณ์ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 10 - 20 ปีข้างหน้า ภาคประชาชนจะแตกตื่นหรือเตรียมรับมือก่อนสถานการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นจริง ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกหน่วยงานต้องตระหนัก แม้หลายคนจะมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่การรู้เท่าทันทำให้เราปรับตัวและวางแผนเพื่อความอยู่รอดได้ เพราะภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อนคงไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป" รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย



จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 25 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 27-03-2017
moon1245
ข้อความนี้ถูกลบโดย สายน้ำ.
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:13


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger