![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
สายเลือดลูกน้ำเค็มของชาวประมงบ้านเกาะเตียบ ในอ่าวทุ่งมหา อ.ปะทิว จ.ชุมพร ทะเลเปรียบได้ดังบ้าน และขุมทรัพย์แห่งชีวิต ![]() ชาวบ้านบ้านเกาะเตียบแทบทุกหลังคาเรือนประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน การดักลอบปูม้าเป็นอีกหนึ่งอาชีพของคนที่นี่ ในวันที่อากาศปลอดคลื่นลมมรสุม เรือประมงพื้นบ้านออกไปวางลอบดักปูไว้กลางทะเลตั้งแต่เย็นวาน เช้าวันรุ่งขึ้นจึงกลับมากู้และกลับเข้าฝั่งพร้อมปูม้าและปูอื่นๆ ที่พร้อมต้มแกะเนื้อและส่งขาย วันนี้ทรัพยากรทางทะเลอย่างปูม้าใน อ่าวทุ่งมหาอุดมสมบูรณ์ ไม่นับเรื่องสภาวะอากาศช่วงมรสุมที่ชาวบ้านบอกว่าจะจับปูได้มากกว่าวันอื่นๆ ที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งคลื่นลมไม่แรง วางลอบตรงจุดไหนก็ติดปูม้าขึ้นมาทุกครั้ง นั่นเพราะชาวประมงที่นี่ตระหนักถึงการอนุรักษ์ฟื้นฟูปูม้าด้วยวิธีการที่ ยั่งยืน หลังจากเคยได้รับบทเรียนวิกฤตด้านทรัพยากรทางทะเลที่ร่อยหรอเมื่อปีพ.ศ.2544 จาง ฟุ้งเฟื้อง วัย 71 ปี ผู้เฒ่าแห่งท้องทะเลบ้านเกาะเตียบ ผู้ทำอาชีพประมงมาทั้งชีวิต ได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งดีและร้าย เคยเผชิญหน้ากับวิกฤตทรัพยากรทางทะเลในอ่าวทุ่งมหา ที่ร่อยหรอ จนกระทั่งส่งผลต่ออาชีพและรายได้ ลุงจางเล่าว่า "ปี 2544 ปูหายหมด เรียกว่าไม่มีให้เราขาย แค่มีพอบริโภคในครัวเรือน ตอนนั้นมีปัญหาเรืออวนลากเข้ามาหากินในทะเลบริเวณอ่าวทุ่งมหา เรือพวกนี้เขาใช้ลอบตาถี่ขนาด 1 นิ้ว 2 หุน เรียกได้ว่าเป็นลอบทำลายล้าง ทำให้สัตว์น้ำไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ติดอวนไปหมด อย่างปูตัวเต็มวัยก็ติดลอบ ปูตัวเล็กๆ วัยอนุบาลก็ติดมาด้วย ทำให้จำนวนสัตว์น้ำในอ่าวทุ่งมหาช่วงนั้นลดลงมาก ชาวประมงบางคนทำกินไม่ได้ก็ต้องย้ายถิ่น บางคนก็หันไปทำอย่างอื่น เดือดร้อนกันมาก" "ปี 45 ผมกับชาวบ้านก็อยู่ไม่ได้ เพราะเรามีอาชีพจับปูขาย ผมมานั่งคิดว่าเราจะมีวิธีไหนได้บ้างที่จะไม่ให้ปูหมดไปมากกว่านี้ ปูไข่นอกกระดองที่พร้อมจะวางไข่สืบพันธุ์ตัวที่เราจับมาได้ เราน่าจะลองเลี้ยงในกระชังกลางทะเลเพื่อให้ปูปล่อยไข่คืนสู่ทะเล ผมจึงหาเพื่อนสมาชิกผู้ทำอาชีพจับปูเหมือนกัน ทดลองเลี้ยงแม่ปูในกระชัง 1 ลูก หลังจากนั้นก็เพิ่มกระชังขึ้น ร่วมมือกันทำธนาคารปูขึ้น สมาชิกคนไหนจับปูมาได้ก็เอามาใส่กระชังรวมให้อาหารและเลี้ยงแม่ปูให้ปล่อย ไข่ให้หมด แล้วจึงคืนปูตัวนั้นๆ ให้เจ้าของนำไปขายต่อไป นอกจากจะทำ ธนาคารปู ผมยังรณรงค์ให้เพื่อนสมาชิกใช้ลอบตาห่างขนาด 2.5 นิ้ว มาใช้แทนลอบทำลายล้างอย่างลอบตาถี่ เพื่อเป็นมิตรต่อสัตว์น้ำทุกชนิดด้วย" ผล จากการอนุรักษ์ของลุงจางและชาวบ้านกลุ่มสมาชิกเห็นผลเป็นที่น่าพอใจ ปูม้าเพิ่มจำนวนมากขึ้น นับจากเริ่มต้นแนวคิดการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน รวมเวลากว่า 8 ปีแล้ว วันนี้ธนาคารปูม้าของลุงจากได้รับการตอบรับอย่างดี ![]() "คำขวัญของธนาคารปูคือ ฟื้นฟูคู่อนุรักษ์ รู้จักใช้อย่างยั่งยืน คำว่าฟื้นฟู หมายถึงว่าเราได้แม่ปูไข่นอกกระดองหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ไข่ลากทราย เราจะนำมาใส่กระชังเพื่อให้แม่ปูวางไข่เพื่อขยายพันธุ์ ทีนี้เมื่อได้ลูกปูเยอะๆ แล้ว เราก็ต้องดูแลให้เขาเจริญเติบโต และเราต้องใช้เครื่องมือที่เป็นมิตรกับทรัพยากร เมื่อเราได้ทำอย่างนี้แล้วได้แม่ปูไข่นอกกระดองเราก็เอามาใส่ในกระชัง เมื่อใส่กระชังแม่ปูก็วางไข่ มันจะเป็นวัฏจักร เป็นลูกโซ่หมุน เรียกว่าใช้อย่างไม่มีวันหมด ใช้อย่างยั่งยืน" ส่วนเด็กรุ่นใหม่ ลูกหลานชาวเล หลานสาวของลุงจางอย่าง น้องเมย์ ด.ญ.เฟื่องฟ้า สกุลนุ่ม วัย 12 ขวบ เด็กน้อยก็ตระหนักถึงการร่วมกันดูแลทรัพยากรท้องทะเลเช่นกัน "ตา ของหนูทำธนาคารปูมานานแล้ว โดยเอาแม่ปูไข่ไปปล่อยในธนาคารให้มันวางไข่ตามธรรมชาติ" น้องเมย์เล่ารูปแบบการอนุรักษ์ของลุงจางและชาวบ้านคนอื่นๆ ปูม้าตัวเมียสีน้ำตาลไม่สดใสสีสวยด้วย กระดองสีฟ้าเหมือนตัวผู้ แต่สีสันของไข่นอกกระดอง หรือที่เรียกว่าไข่ลากทรายดึงความสนใจของเด็กๆ ได้ น้องดาว ด.ญ.มะลิวัลย์ ฟุ้งเฟื่อง วัย 8 ขวบ ติดใจในสีสันของไข่ปูที่เป็นสีส้ม ลูกทะเลอย่างน้องทราย มีความรู้เรื่องระยะไข่ปูด้วย เด็กหญิงบอกเสียงเจื้อยแจ้วถึงลักษณะและสีสันของไข่ปูตามช่วงเวลา ก่อนที่แม่ปูจะปล่อยไข่ว่า "แม่ปูมีไข่ทั้งหมด 4 สี สีเหลืองอยู่กับเรา 2 วัน สีส้มอยู่กับเราอีก 2 วัน สีเทาอยู่กับเราอีก 2 วัน สีดำอยู่กับเราอีก 1 วัน พอจับปูมาได้แล้วเอาไปปล่อยในธนาคาร ปล่อยเพื่อให้ไข่มันหลุดก่อน เป็นลูกมัน ตอนโตมันก็จะเป็นปูม้าค่ะ" เด็ก หญิงเล่าถึงช่วงเวลาแต่ละขั้นของสีไข่ปู ในช่วงเวลา 7 วันนี้แม่ปูไข่จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเจ้าของกระชังแต่ละเจ้า เรือ ประมงแล่นออกจากฝั่งไม่ไกลนัก กระชังปูลอยอยู่กลางทะเลหลายลูก เมย์เล่ากิจวัตรของเจ้าของกระชังปูแต่ละคนให้ฟังว่า "เดี๋ยวนี้เขาจะ แยกกัน แต่บางคนก็เอากระชังไว้รวมกัน กระชังของบางคนก็อยู่ใกล้ๆ ฝั่งไม่ต้องออกไปไกล เวลาให้อาหารจะได้ไม่ต้องยุ่งยากค่ะ เวลากู้ลอบได้แม่ปูไข่มาเขาจะเอามาใส่ไว้ในกระชังของตัวเอง แล้วเขาจะเอาเหยื่อมาให้ปู อาหารที่มันชอบคือปลา แล้วก็ดูว่าตัวไหนออกไข่หมดแล้ว เขาก็จะจับไปขายต่อไปค่ะ บางคนก็เอาไปทีละตัว บางคนก็รอให้ออกไข่หมดพร้อมกันแล้วจับขึ้นไปพร้อมกันก็มีค่ะ" ไข่ปู ม้านับแสนฟองกำลังจะได้กลับคืนสู่บ้านแห่งท้องทะเล รอวันเติบโตเป็นปูม้าต่อไป เด็กๆ ลูกหลานชาวเลเข้าใจคุณค่าการมีอยู่ของทรัพยากรและข้อดีของการอนุรักษ์ที่ ยั่งยืน ข้อมูลจาก....http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=14747.0 (ขอขอบคุณไว้ ณ. ที่นี้ค่ะ)
__________________
Saaychol |
|
#2
|
||||
|
||||
|
น่าเสียดาย....ที่สองสายไม่ได้อ่านเรื่องราวของ "ลุงจาง ฟุ้งเฟื่อง ปราชญ์ชาวบ้าน นักอนุรักษ์ปูม้า แห่งอ่าวทุ่งมหา" ก่อนที่จะได้ไปทุ่งมหา มิฉะนั้นแล้ว เราจะดั้นด้นไปพบและพูดคุยกับลุงจางด้วยตัวเราเอง ซึ่งน่าจะได้ความรู้และความประทับใจมากยิ่งขึ้น...
อย่างไรก็ตาม....เราได้พบกับชายสูงอายุท่านหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งเตรียมอวนตาถี่เล็กๆอยู่บนระเบียงบ้านที่สร้างเป็นตึกใหม่เอี่ยมอย่างดีและสวยงาม เราถามท่านว่า..."อวนนี้จะนำไปทำอะไรจ๊ะ" คุณลุงเงยหน้ามามองเรายิ้มๆ แล้วตอบเราว่า "จะนำไปทำกระชังปู" จากนั้น...ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปอย่างขมักเขม่น... แม้เราจะไม่พบลุงจาง....แต่คุณลุงที่ที่เราได้พบ ก็คงจะเป็นหนึ่ง ในผู้สืบสานแนวความคิดในเรื่องการทำธนาคารปูของคุณลุงจาง...ปราชญ์ชาวบ้านแห่งอ่าวทุ่งมหาท่านนั้น.... และผลจากการสืบทอดแนวความคิดนี้ ก็ทำให้มีปูให้จับมากขึ้น นำมาซึ่งรายได้ที่สูงขึ้น จนคุณลุงท่านนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย สามารถสร้างบ้านสวยงามไว้อยู่อาศัยได้ เราอยากรู้จริงๆ.....แล้วคุณลุงจางเจ้าของความคิดธนาคารปูล่ะ ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านจะเป็นเช่นไร....
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 08-07-2010 เมื่อ 06:41 |
|
#3
|
||||
|
||||
|
จากอ่าวทุ่งมหา....เป้าหมายต่อไปของเราอยู่ที่ เนินทรายมหัศจรรย์ ที่ได้ยินมาว่าอยู่บริเวณเขตแดนระหว่างอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร กับ บ้านบางเบิด อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์...
ก่อนที่จะเลี้ยวขวาเข้าไปทางเนินทรายมหัศจรรย์ เราบังเอิญมองไปทางซ้ายมือ เห็นป้าย "สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร" ที่ร่มรื่นและสวยงาม ไม่แวะที่นี่ เห็นทีจะไม่ได้แล้วล่ะค่ะ....
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 08-07-2010 เมื่อ 06:44 |
|
#4
|
||||
|
||||
|
คุ้นๆไหมคะกับชื่อ "สิทธิพรกฤดากร" ถ้าไม่คุ้น....แล้ว "แตงโมบางเบิด" ล่ะ.....คุ้นไหมคะ.... ถ้าไม่คุ้น....มาลองอ่านเรื่องนี้ดูนะคะ.... หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร....บิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ ![]() หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร (11 เมษายน พ.ศ. 2426 - 22 มิถุนายน พ.ศ. 2514) พระโอรสในพระ เจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ที่ประสูติแต่ หม่อมสุภาพ กฤดากร ณ อยุธยา เษกสมรสกับ เจ้าหญิงศรีพรหมา ณ น่าน ทรงได้รับการยกย่องเป็น บิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ หม่อมเจ้าสิทธิพร เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ทรงพระ เยาว์ ทรงศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ที่กรุงลอนดอน เริ่มรับราชการที่กระทรวงพระคลัง เมื่อ พ.ศ. 2444 ต่อมาทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมกษาปณ์ และอธิบดีกรมฝิ่น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงขอเจ้าศรีพรหมาให้อภิเษกสมรส กับหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ หม่อมราชวงศ์อนุพร และหม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี ![]() เมื่อ พ.ศ. 2464 ทรงลาออกจากราชการ เพื่อทรงประกอบอาชีพเกษตรกรรม ณ บ้านบางเบิด อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หม่อมเจ้าสิทธิพร ได้ทรงบุกเบิกการเกษตรแผนใหม่ ณ ฟาร์มบางเบิด ทรงริเริ่มนำรถแทรกเตอร์มาใช้ในการเกษตรเป็นครั้งแรก ทรงเลี้ยงไก่พันธุ์เล็กฮอร์น สายพันธุ์ไข่ดก เป็นครั้งแรกที่บางเบิด ทรงสั่งพันธุ์แตงโมจากสหรัฐอเมริกา เพื่อปลูกจำหน่ายรู้จักกันทั่วไปในชื่อ แตงโมบางเบิด หม่อมเจ้าสิทธิพร ทรงริเริ่มทดลองปลูกยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย ซึ่งบ่มด้วยความร้อนจนเป็นผลสำเร็จ ณ สถานีทดลอง เกษตรแม่โจ้ ซึ่งต่อมากลายเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้ให้แก่เกษตรกรทางภาคเหนือ ![]() พระองค์ท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมก่อการกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช พระเชษฐา ในกบฏบวรเดช เมื่อ พ.ศ. 2476 ถูกตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต คุมขังที่เรือนจำบางขวาง แล้วย้ายไปคุมขังที่ทัณฑนิคม เกาะตะรุเตา ก่อนย้ายมาเกาะเต่า ก่อนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. 2487 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร เมื่อปี พ.ศ. 2490 และ พ.ศ. 2491 ในรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ทรงเป็นประธานคณะกรรมการข้าวระหว่างชาติ ในการประชุมเมื่อปี พ.ศ. 2492, 2493 และ 2495 ได้รับรางวัลแมกไซไซ ด้านบริการสาธารณะ เมื่อ พ.ศ. 2510 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ถึงชีพิตักษัย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2514 ข้อมูลจาก...http://th.wikipedia.org
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 08-07-2010 เมื่อ 06:50 |
|
#5
|
||||
|
||||
|
เมื่อเราเข้าไปในบริเวณสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร....เราได้เห็นรูปปั้นของ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ตั้งอยู่ ท่ามกลางสวนหย่อมที่ตัดตกแต่งไว้อย่างดี...
__________________
Saaychol |
|
#6
|
||||
|
||||
|
สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร ตั้งอยู่บนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นฟาร์มบางเบิด ของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร นักบุกเบิกการเกษตร ผู้อุทิศชีพเพื่อเกษตรกรรมและเกษตรกรไทย ในระหว่างปี พ .ศ.2463 - 2502 พระองค์ได้ทรงทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสมขึ้นที่ฟาร์มบางเบิด เพื่อเป็น แบบอย่าง และเป็นทางเลือกสำหรับอาชีพของชนชั้นกลางรุ่นใหม่ ต่อมา พื้นที่ ดังกล่าวได้ตกเป็นที่ราชพัสดุ และให้เกษตรกรเช่าใช้ประโยชน์ ปัจจุบัน สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 452 ไร่ 77.6 ตารางวา แบ่งเป็น 2 แปลง คือ พื้นที่ตั้งสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร มีเนื้อที่ 444 ไร่ 1 งาน 68.7 ตารางวา เป็นสถานที่ก่อสร้างอนุสรณ์สถานหม่อมเจ้าสิทธิพรกฤดากร สถานที่ก่อสร้างอาคารต่างๆ แปลงทดลองระะบบเกษตรที่เหมาะสมสำหรับภาคใต้ โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ คือ ปาล์ม น้ำมัน และยางพารา และพื้นที่โครงการวิจัยด้านการประมง มีเนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 8.9 ตารางวา เป็นที่ตั้งอาคารปฏิบัติการประมง ซึ่งทำงานวิจัยด้านการเพาะเลี้ยงปูม้าหรือปูทะเลเพื่อปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ เป็นหลัก ข้อมูลจาก...http://www.aerdi.ku.ac.th/department...on_history.htm (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ) รูปปั้นที่เห็นในสถานีวิจัยฯ แห่งนี้....ทำให้เราจินตนาการได้ว่า หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงมีความสุขเพียงไร ที่ได้มาประทับอยู่ที่ฟาร์มบางเบิด ท่ามกลางสวนเกษตรและสัตว์เลี้ยงที่ท่านโปรดปราน...
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 08-07-2010 เมื่อ 06:52 |
|
#7
|
||||
|
||||
|
เราขับรถไปตามถนนที่ร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่ข้างทาง.... หลังแนวไม้ด้านซ้าย เป็นอาคารที่ทำการของสถานีวิจัย และโรงเพาะชำกล้าไม้ ที่มีเยาวชนหลายคนเข้ามาศึกษางาน และมีคนงานทำงานอยู่ ส่วนด้ายซ้ายเป็นบ้านพักสีขาวทรงสูงคล้ายโรงนาฝรั่ง ตั้งอยู่บนสนามหญ้าสีเขียวขจี มีไม้เลื้อย และไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นแก่บ้านพักหลังนี้.... บ้านหลังนี้เอง ที่เคยเป็นที่ประทับของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤาดากร ในฟาร์มบางเบิด มาก่อนนั่นเอง “ฟาร์มบางเบิด” เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2463 ณ ไร่บางเบิด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร พร้อมกับศรีภรรยาและลูกน้อยอีก 2 คน เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรทรงค้นคว้าความรู้ด้านช่างและเกษตรกรรม ทรงเห็นว่าเกษตรกรรมที่พึ่งพืชเพียงอย่างเดียว คือ ข้าว นั้นย่อมได้ประโยชน์จากการใช้ที่ดินไม่สมบูรณ์ และทรงพิสูจน์ว่าพืชอื่นๆ ก็สามารถปลูกให้ได้ผลดีในประเทศเราเหมือนกัน โดยเฉพาะในที่ดอน โดยปลูกพืชหลายชนิดในลักษณะการเกษตรผสมผสาน มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทั้งด้านการปรับปรุงดิน การเลือกชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ การคัดพันธุ์ ผสมพันธุ์ การบำรุงรักษาพืชที่ปลูกและสัตว์ที่เลี้ยง การให้ปุ๋ย การใช้ยากำจัดศัตรูพืช ฟาร์มบางเบิดจึงเป็นฟาร์มแห่งแรกในประเทศไทยที่ปลูกพืชคลุมต่างๆ ด้วยการปลูกหมุนเวียนในที่ดินแห่งเดียวต่างกับปลูกพืชดอนในสมัยนั้น ซึ่งส่วนมากปลูกในไร่เลื่อนลอย และเป็นแห่งแรกที่ได้ทำการอนุรักษ์ดินไม่ให้หน้าดินถูกชะล้างไป โดยการปลูกต้นมะพร้าวไว้ตามขอบแปลงเป็นแถวยาวโค้งไปตามความสูงต่ำของระดับพื้นดิน เป็นการเริ่มงานอนุรักษ์ดินที่แท้จริง ฟาร์มบางเบิดเป็นฟาร์มแห่งแรกที่ได้ส่งพันธุ์ปศุสัตว์โดยเฉพาะไก่กับสุกรมาเลี้ยงเป็นการค้า สำหรับไก่ที่เลี้ยงเป็นพันธุ์เล็กฮอร์นขาว หงอนแดง โดยเลี้ยงเป็นฝูงใหญ่เพื่อจำหน่ายไข่ โดยส่งจำหน่ายในตลาดกรุงเทพฯ สำหรับหมูเป็นหมูพันธุ์ยอร์คเชีย ตัวย่อมกะทัดรัด โดยส่งจำหน่ายในตลาดปีนัง และยังเลี้ยงวัวนมที่มีน้ำนมดีสำหรับรีดเลี้ยงบุตร ![]() ที่นี่ยังเป็นฟาร์มแห่งแรกที่ได้นำพันธุ์แตงโมจากสหรัฐอเมริกาพันธุ์ tom watson และพันธุ์ klondike มาปลูกจำหน่ายจนมีชื่อเสียงเป็นพันธุ์ที่รู้จักกันดีในนามของ “แตงโมบางเบิด” แตงโมที่ผลิตได้จะจำหน่ายในตลาดกรุงเทพฯ และปีนัง โดยการใช้เกวียนหลายๆ เล่มขนส่ง และเป็นแห่งแรกที่ได้ทดลองผลิตยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียที่บ่มด้วยความร้อน ![]() ถั่วลิสงที่ปลูกในฟาร์มเป็นก็เป็นถั่วชนิดฝักป้อมใช้ปลูกด้วยเครื่องจักรและ เข้าเครื่องสำหรับกะเทาะเปลือกได้สะดวกดี ข้าวโพดที่ปลูกเป็นพันธุ์ที่ส่งมาจากต่างประเทศใช้เมล็ดเลี้ยงสัตว์และตัด ต้นลงดินเป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์สำหรับพืชอื่นๆ ต่อไป คนงานเป็นพวกชาวบ้านป่าแถบนั้นเอง ในระหว่างเขตของฟาร์มบางเบิดกับฟาร์มของเจ้าคุณพิพัทธกุลพงษ์มีห้วยน้ำไหล ผ่านไปลงทะเล น้ำในห้วยใสสะอาดจืดสนิทใช้บริโภคได้ และใช้น้ำในห้วยนี้สำหรับการเกษตรในฟาร์ม ซึ่งนับได้ว่าเป็นแห่งแรกที่ทำการปลูกพืชไร่และสัตว์เลี้ยงทำนองวิธีการที่ เรียกกันว่า “ไร่นาผสม” พระองค์ทรงนำเครื่องทุ่นแรง คือ เครื่องจักรเครื่องมือเข้าใช้ ในที่ๆ วัวควายทำไม่ได้ ซึ่งการนำเครื่องทุ่นแรง เช่น รถแทรกเตอร์ในสมัยนั้นหย่อนคุณภาพ ค่าใช้จ่าย และค่าสึกหรอแพงมาก พระองค์จึงทรงใช้ทั้งวิทยาการสมัยใหม่ร่วมกับภูมิปัญญาพื้นบ้านได้อย่าง เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ อีกทั้งจัดให้มีการจัดระบบการเก็บสถิติการทดลอง การบันทึกค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการฟาร์ม ซึ่งเป็นการควบคุมต้นทุนการผลิต พระองค์ทรงสนพระทัยเข้าคลุกคลีทำการทดลองวิจัยค้นคว้าหาข้อบกพร่อง และปรับปรุงจากการที่ทรงปฏิบัติจริงด้วยพระองค์เอง เมื่อปรากฎว่าได้ผลดีก็ได้นิพนธ์บทความชี้แจงถึงวิธีปฏิบัติการพร้อมด้วย สถิติตัวเลขประกอบ เพื่อเป็นวิทยาการเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ให้แก่เกษตรกรอื่นๆ ได้ทราบและปฏิบัติตาม จึงเป็นแนวความคิดให้เกิด “หนังสือพิมพ์กสิกร” โดยมีความมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่วิชาชีพทางประกอบกสิกรรมและเป็นสื่อนำความคิด เห็นในด้านนโยบายส่งเสริมการเกษตรของนักวิชาการเกษตรไปสู่ความรู้สึกนึกคิด ของผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองตลอดจนกระทั่งถึงพระเจ้าแผ่นดิน ในช่วงบั้นปลายแห่งชีวิต ท่านสิทธิพรทั้งชราและยากจนลงมากเกินกว่าจะดูแลรักษาไร่บางเบิดซึ่งมีขนาด ใหญ่ถึง 250 ไร่ ให้มีสภาพคงเดิมได้ ท่านจึงตัดสินใจขายไร่บางเบิดให้กับรัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และท่านนำเงินที่มีอยู่จาการขายไร่นี้ไปซื้อที่ดินแปลงเล็กๆ ที่หัวหินเพื่อทำการทดลองการเกษตรต่อไป ข้อมูลจาก....http://www.aerdi.ku.ac.th/department...ge/history.htm (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ) เราเห็นที่ประทับของพระองค์ท่านแล้ว ชอบมากค่ะ ถึงจะเป็นบ้านที่สร้างมาหลายปี แต่ก็ยังดูทันสมัย และน่าอยู่อาศัยเป็นที่สุด....
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 07-07-2010 เมื่อ 16:15 |
![]() |
|
|