![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
เรียนรู้จากภัยพิบัติ ผู้บริหารของกรมอุตุนิยมวิทยามีความเห็นต่อสภาพอากาศที่ทำให้เกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงหลายจังหวัดภาคใต้ว่า เป็นความผิดปกติของฤดูกาล กล่าวคือความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนที่แผ่มาถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือและอ่าวไทย ทำให้หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมภาคใต้ฝั่งตะวันออกและอ่าวไทยมีกำลังแรง มีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยฝนที่ตกในช่วง 28-30 มีนาคม มีปริมาณมากถึง 1,000 มม.เศษ อันเป็นระดับที่เกินขีดความสามารถของระบบระบายน้ำและแหล่งน้ำที่มีจะรองรับไหว พื้นแผ่นดินที่จะรองรับน้ำก็ลดลง เพราะถูกใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจรูปแบบต่างๆ พื้นที่ป่าโดนแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ขาดต้นไม้ใหญ่รากลึกที่จะช่วยซับน้ำและตรึงผืนดินไว้ จึงเกิดการถล่มทลายของหน้าดินหลายพื้นที่ ความผิดปกติที่เกิดขึ้น คงโทษสิ่งใดไม่ได้ นอกจากทบทวนและยอมรับว่า ความรู้ทางด้านอากาศของเรายังไม่พอ ประสบการณ์ต่อภัยธรรมชาติจากความผิดปกติที่นานครั้งจะเกิดยังน้อยจนขาดความตื่นตัว หรือคิดเอาเองว่าจะไม่เกิด ผลที่ตามมาก็คือเครื่องมือและการเตรียมการไม่พร้อม นับแต่เรือท้องแบนเพื่อสำรวจ นำความช่วยเหลือไปสู่แหล่งประสบภัยไม่พอ หน่วยบรรเทาสาธารณภัยพลเรือนมีขีดความสามารถไม่ถึง ต้องพึ่งพากำลังและยุทโธปกรณ์จากกองทัพ ตั้งแต่การนำเรือรบฝ่าคลื่นลมรับนักท่องเที่ยวที่ติดเกาะ การนำเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงพลมาอพยพราษฎรหนีน้ำป่า จึงควรพิจารณาด้วยว่าหากกองทัพถูกตัดงบประมาณและไม่สามารถช่วยเหลือได้ ราษฎรผู้ประสบภัยจะเป็นอย่างไร สิ่งที่รัฐควรดำเนินการเร่งด่วน ควบคู่กับการบรรเทาภัยและการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย ก็คือมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ หน่วยเฝ้าระวัง เตือนภัยธรรมชาติ ศึกษาและประมวลข้อมูลทางวิชาการเพื่อสรุปสาเหตุ เสนอแนวทางการป้องกันในระยะต้นเพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบ และวางแผน จัดเตรียมอุปกรณ์ พร้อมกับฝึกซ้อมการหนีภัยให้ทั่วถึง พร้อมกันนั้นก็จัดสรรงบประมาณให้สถาบันการศึกษาทำวิจัยเพื่อรับมือหรือแก้ไขในระยะยาว ที่จะปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความเสียหายและภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้น มีสาเหตุหลักมาจากการขาดความจริงจังในการรักษาทรัพยากรป่า การละเลยต่อการขยายพื้นที่สวนยางพาราและสวนปาล์ม การยินยอมให้ขยายชุมชนรุกเข้าไปในพื้นที่ลาดเชิงเขา จนผืนแผ่นดินขาดคุณสมบัติในการรักษาสภาพหน้าดินจนถล่มทลายทำความเสียหาย การใช้มาตรการกำหนดพื้นที่ทางเกษตรกรรมมิให้ไปบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อรักษาธรรมชาติจึงต้องเคร่งครัด ทั้งนี้ ต้องดำเนินการก่อนที่ฤดูฝนจะมาถึง เพราะพื้นที่เสี่ยงภัยคล้ายภาคใต้ได้ขยายตัวไปสู่ภาคอื่นๆแล้ว. จาก .................. เดลินิวส์ วันที่ 4 เมษายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
รอยเลื่อนนครนายก เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9.0 ริกเตอร์ ในเขตโทโฮกุ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิโถมซัดเกาะญี่ปุ่น มียอดผู้เสียชีวิตและสูญหายกว่า 28,000 ราย เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ เสียหาย สารกัมมันตรังสีชนิดพลูโทเนียมรั่วไหล กระจายไปยังประเทศใกล้เคียง รวมทั้งประเทศในทวีปยุโรป และอเมริกา ถ้าลมเปลี่ยนทิศมาทางตะวันตกเฉียงใต้ ก็อาจถึงประเทศไทยได้เช่นกัน!! ระยะเวลาไล่เลี่ยกัน เกิดเหตุแผ่นดินไหวรอยเลื่อนน้ำมา ขนาด 6.7 ริกเตอร์ ระดับความลึก 10 ก.ม. ห่างจากเมืองเกงตุง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐฉาน ประเทศพม่า เป็นรอยเลื่อนเดียวกันกับรอยเลื่อนน้ำมาในประเทศลาว ซึ่งเคยเขยื้อนจนเกิดแผ่นดินไหวมาแล้วในปี 2550 หนังสือพิมพ์นิวไลต์ ออฟ เมียนมาร์ ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิต 75 ราย บาดเจ็บ 125 ราย ทั้ง 2 ครั้ง ส่งผลต่อประเทศไทยเหมือนกัน คือ บ้านเรือน โบราณสถาน ถนน เสียหาย มีผู้เสียชีวิต ทั้งหมดที่ยกมา เกิดจากรอยแตกในเปลือกโลก หรือรอยเลื่อน (faults) ซึ่งเป็นชนวนเหตุของการเกิดแผ่นดินไหว มีอานุภาพรุนแรงจนมวลมนุษย์ไม่อาจคาดเดาความเสียหายที่ตามมาได้ ยังไม่ทันเบาใจ ประเด็นรอยเลื่อนก็สร้างความหวาดหวั่นให้คนไทยอีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนภาคกลางโดยเฉพาะเมืองกรุงที่ตั้งอยู่บนชั้นดินอ่อน จะน่าวิตกกว่าภาคใดๆในประเทศ เมื่อมีรายงานจาก นายปัญญา จารุศิริ หัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เปิดเผยหลังดูภาพถ่ายจากดาวเทียมว่า พบรอยเลื่อนใหม่ อยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ นั่นก็คือ รอยเลื่อนนครนายก เป็นรอยเลื่อนที่พาดผ่าน จ.นครนายก ลงมากรุงเทพฯ ไปสุดที่จ.สมุทรปราการ มีความสัมพันธ์กับรอยเลื่อน แม่ปิง ที่พาดผ่าน จ.นครสวรรค์ จ.กำแพงเพชร ในแนว ทิศตะวันตกเฉียงเหนือถึงตะวันออกเฉียงใต้ ยาว 50-100 ก.ม. พร้อมระบุ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวที่รอยเลื่อนนี้ จะกระทบภาคกลางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี อุทัยธานี และลพบุรี เตรียมนำข้อมูลเสนอ ทส. เพื่อสำรวจและเพิ่มแนวรอยเลื่อนที่มีพลังของประเทศไทยจาก 13 จุด เป็น 14 จุด กระทั่งล่าสุด นายเลิศสิน รักษาสกุลวงศ์ ผอ.สำนักธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อมและธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากร ธรณี ทส. ต้องออกมายืนยันว่า ประเทศไทยมีรอยเลื่อนเพียง 13 จุดเท่านั้น ซึ่งรอยเลื่อนเหล่านี้มีโอกาสทำให้เกิดแผ่นดินไหวไม่เกิน 6.9 ริกเตอร์ ส่วนรอยเลื่อนนครนายก และรอยเลื่อนองครักษ์ หลังจากติดตามมา 3 ปี มั่นใจว่า รอยเลื่อนองครักษ์เป็นรอยเลื่อนที่ไม่มีพลัง ขณะที่รอยเลื่อนนครนายก มีความมั่นใจ 75 เปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นรอยเลื่อนไม่มีพลัง เนื่องจากไม่มีลักษณะเหมือนรอยเลื่อนที่มีพลัง เช่น ลักษณะแม่น้ำที่บิดเบี้ยว มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ใกล้รอยแตกร้าว แต่ก็ต้องจับตาต่อไป สำหรับรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย 13 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.รอยเลื่อนแม่จันและแม่อิง 2.รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน 3.รอยเลื่อนเมย 4.รอยเลื่อนแม่ทา 5.รอยเลื่อนเถิน 6.รอยเลื่อนพะเยา 7.รอยเลื่อนปัว 8.รอยเลื่อนอุตรดิตถ์ 9.รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ 10.รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ 11.รอยเลื่อนท่าแขก 12.รอยเลื่อนระนอง 13.รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย จาก .................. ข่าวสด คอลัมน์ที่ 13 วันที่ 5 เมษายน 2544
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ความจริงจากภัยพิบัติ ..... คนไทยทำกันเอง จาก .................. ไทยรัฐ วันที่ 6 เมษายน 2544
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
วิกฤติกัมมันตภาพรังสีกับการเตรียมรับมือของไทย ........................ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ธวัช ชิตตระการ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่น ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล อีกทั้งส่งผลกระทบให้เตาปฏิกรณ์ ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดทำให้สารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลและแพร่กระจายไปหลายพื้นที่นั้น ขอแยกแยะสถานการณ์ของสารกัมมันตภาพรังสีที่หลายคนกำลังวิตกกังวลอยู่ออกเป็น 6 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่ 1 สารกัมมันตรังสีและกัมมันตภาพรังสีคืออะไร ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสารกัมมันตรังสีและกัมมันตภาพรังสีที่รั่วออกมาจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง ซึ่งกรณีนี้พบว่ากว่าที่จะได้พลังงานนิวเคลียร์ออกมานั้น เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ (U-235) จะต้องจับเอาอนุภาคนิวตรอนเข้าไปรวมกับนิวเคลียสของ U-235 กลายไปเป็น U-236 ซึ่งในภาวการณ์ขณะนั้น U-236 ไม่เสถียรเอามากๆ ก็จะแตกตัวออกมาเป็นสองเสี่ยงใหญ่ๆ (เราเรียกว่าผลผลิตฟิสชัน) พร้อมกับปลดปล่อยพลังงานจลน์ออกมาประมาณ 200 MeV ต่อฟิสชัน พลังงานจลน์ส่วนนี้ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานความร้อนที่นำเอาไปต้มน้ำ ให้เดือดกลายไปเป็นไอ แล้วไปหมุนกังหันในเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาให้เราได้ใช้กัน นอกเหนือจากผลผลิตฟิสชันและพลังงานจลน์ที่ปลดปล่อยออกมาแล้ว ในแต่ละการแตกตัวยังได้อนุภาคนิวตรอนใหม่ออกมาเฉลี่ยประมาณ 2-3 ตัว อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา และอนุภาคแกมมาที่ถูกปลดปล่อยพร้อมๆ กับการเกิดฟิสชันแล้ว พวกผลผลิตฟิสชันที่พวกเราคุ้นหู เช่น I-131, Cs-137, Co-60 และไอโซโทปรังสีอีกมากมายก็จะถูกปลดปล่อยออกมาด้วย ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีที่มีครึ่งชีวิตอายุตั้งแต่ไมโครวินาทีไปจนถึงหลายพันล้านปี โดยไอโซโทปรังสีที่เกิดมาหลังจากการเกิดฟิสชันนั้น ตามปกติแล้วจะยังคงปะปนอยู่ภายในแท่งเชื้อเพลิง ซึ่งสามารถนำมาแยกเพื่อใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ อุตสาหกรรม และการเกษตรได้อย่างดี และส่วนใหญ่ยังสามารถแยกเอา U-235 ไปใช้ประโยชน์ด้วยการไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงแท่งใหม่ได้อีก ประเด็นที่ 2 ความสามารถในการแพร่กระจายในชั้นบรรยากาศเป็นไปในลักษณะใด/ไกลเท่าไร การแพร่กระจายในชั้นบรรยากาศนั้นขึ้นอยู่กับว่าแรงระเบิดของเตาปฏิกรณ์จะ รุนแรงมากเพียงใด ถ้ารุนแรงมากก็อาจจะส่งให้ไอน้ำและสารกัมมันตรังสีที่ปะปนออกมาขึ้นไปในชั้นบรรยากาศสูงได้ หลังจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับทิศทางและกระแสแรงลมที่จะพัดพามวลของฝุ่นกัมมันตรังสีเหล่านี้ไป ซึ่งจากแบบจำลองเบื้องต้นนั้นมีโอกาสที่จะพัดข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังฝั่งตะวันตกของรัฐแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ แต่ถ้าระยะยาวอาจจะแพร่ไปทั่วโลกได้ ประเด็นที่ 3 อันตรายจากสารกัมมันตรังสี แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ 1. ถ้าร่างกายรับเอาสารกัมมันตรังสีเข้าไปในร่างกาย จะอันตรายมาก เพราะรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากสารกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมา จะทำลายเซลล์เนื้อเยื่อที่สารกัมมันตรังสีเหล่านั้นไปสะสมอยู่เช่น I-131 เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปสะสมอยู่ที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland) ซึ่งจะปลดปล่อยรังสีแกมมาออกมา ซึ่งเซลล์ของต่อมไทรอยด์จะถูกทำลายไปตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีสารกัมมันตรังสีบางตัวที่เป็นสารพิษเช่นพลูโทเนียม (Pu) ถ้าร่างกายรับเข้าไปเพียงเล็กน้อยก็อาจจะเสียชีวิตได้ 2. ถ้าร่างกายรับรังสีจากภายนอกร่างกาย เนื้อเยื่อในแต่ละบริเวณของร่างกายจะได้รับผลกระทบแตกต่างกัน ประเด็นที่ 4 ประชาชนทั่วไป (ในไทย) จะสังเกตได้อย่างไรว่าได้รับสารดังกล่าว/เตรียมป้องกันตัวเองอย่างไร ประชาชนทั่วไป (ในไทย) โดยปกติก็จะได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์ทุกวันอยู่แล้ว ก็ขอให้ติดตามข่าวสารจากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งมีเครื่องมือวัดปริมาณรังสีในอากาศที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติติดตั้งตรวจสอบแบบ Real time ไว้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศจำนวน 8 แห่ง ประเด็นที่ 5 ถ้ามีความจำเป็นจะต้องไปในพื้นที่ ที่อาจมีการปนเปื้อนจริงๆ จะทำอย่างไร ถ้ามีความจำเป็นจะต้องไปในพื้นที่ที่อาจมีการปนเปื้อนจริงๆแล้ว ควรจะพก Pocket dosimeter ติดตัวไปด้วย เพราะจะช่วยบอกว่าในช่วงเวลาดังกล่าวเรารับโดนรังสีเข้าไปในร่างกายมากน้อยเพียงใด ใกล้กับระดับมาตรฐานที่ 50 mSv ต่อปีที่ยอมรับได้หรือยัง และเมื่อกลับมาที่เมืองไทยแล้วควรจะผ่านการวัดปริมาณรังสีทั้งร่างกาย เพื่อการเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ที่ตั้งเครื่องวัดที่สนามบินสุวรรณภูมิ (Total count dose) และถ้าเราอยู่ในข่ายเสี่ยงที่ได้รับ I-131 เข้าไปในร่างกาย ก็ควรจะพักแยก และไม่ควรพบปะครอบครัวและญาติประมาณ 1-2 อาทิตย์ ประเด็นที่ 6 ความเป็นไปได้ที่อาหารนำเข้าจากญี่ปุ่นจะมีสารปนเปื้อนหรือไม่ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ แต่ก็ต้องเชื่อระบบทั้งของญี่ปุ่นและฝ่ายไทยที่น่าจะมีมาตรฐานสูงพอที่จะตรวจวัดว่าจะมีสารอาหารถูกปนเปื้อนก่อนนำเข้าประเทศหรือไม่ โดยเฉพาะนมผงเลี้ยงเด็กนั้นสำคัญที่สุด เพราะภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กจะน้อยกว่าผู้ใหญ่มาก อย่างไรก็ตาม ถ้ามีข้อสงสัยก็น่าจะส่งให้หน่วยวิจัยฟิสิกส์นิวเคลียร์ ภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยหลักๆ ได้ช่วยตรวจสอบ ก็เป็นเรื่องที่สามารถดำเนินการได้ จาก .................. กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 6 เมษายน 2544
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้! ภัยจากธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์ ![]() จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.จนถึง 8 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว พบว่าอุทกภัยระลอกล่าสุดที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ทำให้หลายพื้นที่ใน 10 จังหวัดได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี ตรัง ชุมพร พังงา นราธิวาส สตูล สงขลา และ กระบี่ มีประชาชนเดือดร้อน 6 แสนกว่าครัวเรือน หรือ 2 ล้านกว่าคน เสียชีวิตประมาณ 60 ราย สาเหตุของพายุฝน-อุทกภัยร้ายแรงในภาคใต้หนนี้ นักวิชาการชี้ว่า นอกจากปรากฏ การณ์ 'ลานิญ่า-โลกร้อน' จะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว การกระทำของมนุษย์เองก็มีส่วนทำให้ภัยน้ำท่วม-น้ำป่า-ดินถล่มภาคใต้รุนแรงกว่าปกติด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำลายป่าธรรมชาติ สร้างสิ่งกีด ขวางทางน้ำ ตัดถนน หรือใช้พื้นที่ผิด ประเภท! นายธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนว่า สืบเนื่องจากปรากฏการณ์ "เอลนิโญ่" เมื่อปลายปีพ.ศ.2552 ถึงต้นปีพ.ศ.2553 ทำให้เกิดภัยแล้งอย่างหนักในขณะนั้น ต่อมาเดือนก.ค.2553 ก็เริ่มเข้าสู่ปรากฏการณ์ "ลานิญ่า" ในระยะแรกยังไม่เห็นผลกระทบมากนัก จนเมื่อเข้าสู่เดือนต.ค.เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมในภาคกลาง และภาคอีสาน เมื่อเข้าสู่เดือนพ.ย.-ธ.ค.2553 ปรากฏการณ์ลานิญ่าทำให้เกิดฝนตกหนักในภาคใต้ และส่งผลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ขณะที่ภาคกลางหนาวเย็น ซึ่งการคาดการณ์ด้วยโมเดลพยากรณ์อากาศก่อนหน้านี้ปรากฏการณ์ลานิญ่า จะหมดลงในเดือนมี.ค.2554 แต่จากโมเดลล่าสุด ลานิญ่ามีผลต่อสภาพอากาศของประเทศไทยไปอีก 2 เดือน คือสิ้นสุดเดือนพ.ค.2554 หลังจากนั้นจะเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลตามปกติ นายธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า สภาพอากาศแปรปรวนเป็นผลกระทบจากการเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่นนั้น คิดว่าไม่เกี่ยวกัน เป็นเพียงการคาดการณ์ของแต่ละบุคคลมากกว่า น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้! ภัยจากธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์ ![]() อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ไปภัยพิบัติจะอยู่ใกล้ตัวมากขึ้น การเตรียมการแจ้งข้อมูลข่าวสารจึงเป็นเรื่องสำคัญ ขอให้ประชาชนติดตามคำแจ้งเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ด้าน นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการจัดการน้ำแบบบูรณาการ (ประเทศไทย) และสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กลุ่มในภาคฐานทรัพยากร กล่าวว่า จากการติดตามข่าวพบว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุเป็น 2 กระแส กระแสหนึ่งบอกว่าเกิดจากมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนพัดเข้าสู่ประเทศไทย เหมือนมรสุมทั่วไป ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนัก อีกกระแสบอกว่าเป็นผลกระทบจากสึนามิในญี่ปุ่น ทำให้กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศ แต่ถ้าดูข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาและคำบอกเล่าของคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป พบว่า อากาศไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ที่ผ่านมาในช่วงเม.ย.-พ.ค.จะพบเพียงพายุฤดูร้อนในแถบ จ.เชียงราย แต่ขณะนี้กลับมาเกิดที่ภาคใต้ ทั้งหมดนี้น่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศของโลก (โลกร้อน) ซึ่งคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นชั่วคราวหรือถาวร อย่างไรก็ตาม "สิ่งกีดขวางทางน้ำ" เช่น ถนน สะพาน ก็ทำให้สถานการณ์ในบางพื้นที่เลวร้ายยิ่งขึ้น บางแห่งเมื่อเกิดน้ำท่วมก็ลงทุน "ยกถนน" ให้สูงขึ้น แต่ไม่สนใจขยายความกว้างของสะพาน เพราะต้องการประหยัดงบฯ ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ทั้งๆที่ถ้าคำนวณปริมาณน้ำในภาคใต้ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ น้ำน่าจะลดได้เองใน 1-2 วัน แทนที่จะทุ่มงบฯ กับการยกระดับถนน น่าจะลงทุน "ขยายสะพาน" จะดีกว่า ส่วนที่บางคนตกใจว่า ทำไมน้ำถึงท่วมสนามบิน ถ้าสังเกตจะเห็นว่า "สนามบินนครศรีธรรมราช" เป็น "หนองน้ำ" มาก่อน และบริเวณโดยรอบก็เป็นป่าเสม็ด รวมไปถึงบริเวณมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ก็เป็นที่สาธารณะที่ชาวบ้านสงวนไว้เป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ ไม่เหมาะแก่การทำการเกษตร ส่วนกรณีศึกษาเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ทั้งน้ำท่วม น้ำป่า และดินถล่ม ในพื้นที่ต.กรุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.จนถึงช่วงต้นเดือนเม.ย. ที่ผ่านมานั้น พล.ต.ดร.นพรัตน์ เศรษฐกุล อาจารย์ประจำสำนักวิศวกรรมศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญปฐพีธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อธิบายเจาะลึกถึงสาเหตุว่า พื้นที่ดังกล่าวมีลักษณะเหมือนอยู่ในกระทะ โดยมีภูเขาล้อมรอบอยู่ ภูเขาเหล่านั้นเป็นหินแกรนิตและหินดินดานที่ผุแล้ว เนื่องจากพื้นที่ทางใต้จะมีฝนตกอยู่ตลอดเวลา และในบริเวณเทือกเขาหลวงมีความลาดชันสูง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเกิดฝนตกติดต่อกันและค่อนข้างหนัก ทำให้หินที่ผุพังที่อยู่ตามยอดเขาไม่สามารถที่จะอุ้มน้ำไว้ได้ จากนั้นเมื่อมีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก จึงค่อยๆกัดเซาะเศษหินที่ผุพังที่อยู่ข้างบนยอดเขาลงมาก่อน จนเกิดการรวมตัวของน้ำ เศษหิน เศษดิน และต้นไม้ต่างๆ จากยอดภูเขาที่ได้ล้อมรอบพื้นที่นั้นไหลรวมกัน จนทำให้กระแสน้ำไหลทะลักเข้าสู่หมู่บ้านในพื้นที่ ต.กรุงชิง อย่างรุนแรงและรวดเร็ว ปัจจัยอีกประการที่ทำให้น้ำท่วมหนักใน อ.นบพิตำ พล.ต.ดร. นพรัตน์ ชี้ว่า ปัจจุบันต้นไม้ป่าธรรมชาติค่อนข้างจะเหลือน้อย เพราะส่วนใหญ่คนที่อยู่บริเวณนั้นจะโค่นป่าเพื่อเอาพื้นที่ไปใช้ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ต้นยางพารา และยังมีการใช้พื้นที่ในลำน้ำ ถมทางน้ำบ้าง ด้านข้างก็มีถนนยกระดับสูงขึ้นมา ตามปกติแทนที่น้ำจะไหลตามธรรมชาติของมัน แต่การที่มีคนเข้าไปใช้พื้นที่ดังกล่าวก็ทำให้การไหลของน้ำเผชิญกับอุปสรรคกีดขวาง เกิดดินถล่ม ส่งผลให้หลายหมู่บ้านในพื้นที่ประสบปัญหาภัยพิบัติ ทำให้สะพานขาด ชาวบ้านถูกตัดขาดจากพื้นที่รอบนอก สําหรับแนวทางแก้ปัญหา พล.ต.ดร.นพรัตน์ ระบุว่า ปัญหาจากภัยธรรมชาติ เราไม่สามารถทราบได้ล่วงหน้า แม้ตอนนี้จะมีหน่วยงานทางราชการที่เกี่ยวข้องนำ "กระบอกตวงน้ำฝน" มาวัดไว้ว่า ถ้าหากปริมาณน้ำฝนมีมากกว่า 100 มิลลิเมตรภายใน 3 วัน จะต้องรายงานให้ศูนย์ป้องกันภัยพิบัติทราบ แต่เนื่องจากชาวบ้านไม่ได้มีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพื้นที่นั้นๆ วิธีที่จะช่วยได้ดี คือ เราต้องชี้แนะให้กับชุมชน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านตามยอดเขา หรือหมู่บ้านที่อยู่ในบริเวณจุดเสี่ยง ให้ทราบว่าพื้นที่ที่อยู่อาศัยมีความเสี่ยงอย่างไรเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น มีวิธีการป้องกันอย่างไร ด้วยการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพาชาวบ้านขึ้นไปสำรวจบนเขาว่า หินที่อยู่บนยอดเขาต่างๆ นั้นผุพังในระดับใดแล้ว เสี่ยงอันตรายหรือไม่ รวมทั้งให้ศึกษาถึงความลาดชันของภูเขา หรือการเก็บตัวอย่างของหินและดินด้วยการทดสอบว่าปริมาณน้ำเท่าใด ที่จะทำให้เกิดการไหลของดินและหินเหล่านั้น โดยให้ชาวบ้านเป็นผู้เตือนตัวเองจะดีกว่าที่ต้องขึ้นอยู่กับส่วนกลาง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องคอยเป็นผู้เตือนภัยให้ชาวบ้านทราบ บางทีอาจจะสายเกินกว่าที่ชาวบ้านจะรับมือได้ "ทุกคนต้องตระหนักแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงผันผวนของภูมิอากาศโลกเป็นสัญญาณเตือนที่จะต้องปรับตัวพร้อมรับกับสถานการณ์ กรณีที่เกิดขึ้นในนครศรีธรรมราชเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในขณะนี้ ได้เข้าไปหาชุมชนพบว่ายังไม่มีความรู้พื้นฐานลักษณะทางธรณีที่ชุมชนอาศัยอยู่เลย ยังยึดอยู่กับปริมาณน้ำฝนเป็นหลัก เพียงแค่รู้ว่าเมื่อฝนตกมากต้องอพยพ ชุมชนควรรู้ในเรื่องธรณีวิทยาของพื้นที่ด้วย" พล.ต.ดร.นพรัตน์ กล่าว "ลานิญ่า" เป็นคำดั้งเดิมจากภาษาสเปน มีความหมายว่า "เด็กผู้หญิง" จัดเป็นปรากฏการณ์ตรงกันข้ามกับ "เอลนิโญ่" เกิดจากความผกผันของกระแสอากาศโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตร เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อเกิดลานิญ่า อุณหภูมิบนผิวน้ำทะเลมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกจะต่ำลงอย่างผิดปกติราว 3-5 องศาเซลเซียส ทำให้ความดันฝั่งตะวันตกต่ำกว่าความดันฝั่งตะวันออก เกิดลมพายุพัดเสริมลมสินค้าทิศตะวันออกพัดพาน้ำและอากาศที่หนาวเย็นไปยังทิศตะวันตก ด้วยระดับน้ำทะเลซีกตะวันตกที่เพิ่มสูงกว่าสภาวะปกติ ประกอบกับลมสินค้าตะวันออกเฉียงใต้ที่หอบน้ำฝนพัดผ่านมา ทำให้ "ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ซึ่งประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคนี้ด้วย ต้องเผชิญกับฝนตกหนัก น้ำท่วม และหน้าดินพังทลายอยู่บ่อยครั้ง แต่ข้อดีของลานิญ่า คือ น้ำเย็นใต้มหาสมุทรจะยกตัวขึ้นแทนที่กระแสน้ำอุ่นบนพื้นผิวน้ำ ทำให้เกิดธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ ฝูงปลาชุกชุม จาก .................. ข่าวสด วันที่ 12 เมษายน 2544
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
ยุค'ธรรมชาติเอาคืน' 'พายุฤดูร้อน' ภัยปกติที่จะไม่ปกติ!! ![]() โลกยุคปัจจุบันกำลัง ’เอาคืนมนุษย์“ ที่ทำลายธรรมชาติ ทำลายโลก ’อย่างกราดเกรี้ยว“ ซึ่งแม้แต่ประเทศที่เจริญรุดหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน ฯลฯ ต่างก็ไม่อาจต้านทานความกราดเกรี้ยวนี้ได้ และสำหรับประเทศไทยที่ก็มีการทำลายธรรมชาติไปไม่น้อย ทั้งจากการพัฒนาสังคมเมือง การทำธุรกิจระดับครัวเรือน บริษัท ประเทศ และการทำลายธรรมชาติเพื่อผลประโยชน์อย่างผิดกฎหมาย ปัจจุบันก็เกิดภัยธรรมชาติระดับรุนแรงให้เห็นๆกันอยู่ ทั้ง ภัยน้ำท่วม ภัยดินถล่ม ภัยแล้ง ภัยพายุ ล่าสุด ’พายุฤดูร้อนระดับรุนแรง“ ก็กำลังน่ากลัว ถ้าไม่ระวังกันให้ดีคงต้องมีการสูญเสียกันมาก!! ทั้งนี้ ว่ากันถึง “พายุฤดูร้อน” ที่ตอนนี้มีการประกาศเตือนให้คนไทยระวัง ทาง ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักสื่อสารทางวิชาการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และประธานชมรมคนรักมวลเมฆ ให้ความรู้ความเข้าใจไว้ในเว็บไซต์ http://gotoknow.org/blog/weather/ และเว็บไซต์ http://cloudloverclub.com โดยสังเขปมีดังนี้คือ... ช่วงฤดูร้อนระหว่างที่อากาศบ้านเรากำลังร้อนอบอ้าว ถ้าบังเอิญความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากจีนแผ่ลงมาปกคลุมไทย ก็จะมีลมซึ่งแห้งและเย็นพัดเข้าสู่ไทย ’เนื่องจากอากาศผู้รุกรานซึ่งแห้งและเย็น มีลักษณะต่างจากอากาศเจ้าบ้านซึ่งร้อนและชื้นอย่างมาก จึงทำให้อากาศในบริเวณที่ปะทะกันแปรปรวนอย่างรุนแรงฉับพลัน เปรียบง่ายๆก็คือเมฆฝนฟ้าคะนองเสมือนม็อบขนาดใหญ่ซึ่งมีพลังกดดันรัฐบาลมหาศาล ถ้าเกิดที่ไหนก็มั่นใจได้เลยว่า ทั้งพายุ ฝนตกหนัก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า จะกระหน่ำบริเวณนั้นแบบรวมมิตร เผลอๆ อาจมีลูกเห็บแถมด้วย“ ดร.บัญชา ยังระบุไว้อีกว่า.. อากาศเย็นซึ่งหนักกว่าอากาศร้อนและชื้น จะพยายามจมลงต่ำ แต่ไม่อาจทำได้อย่างทั่วถึง ผลก็คืออากาศเย็นนี้กดทับอยู่เหนืออากาศร้อน ซึ่งจะยกตัวหนีสูงขึ้นในบางบริเวณ มีผลทำให้เกิดเป็นเมฆฝนฟ้าคะนอง และเกิด “พายุฤดูร้อน” ซึ่งใกล้ๆพื้นดินนั้น เนื่องจากอากาศยกตัวขึ้นรุนแรง จึงมีอากาศไหลเข้าแทนที่อย่างรวดเร็ว จึงเกิดเป็นพายุ ซึ่งอาจมีความเร็วลมถึง 149 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับ “ลางบอกเหตุก่อนเกิดพายุฤดูร้อน” นั้น ที่สังเกตได้ง่ายๆ คือ อากาศจะร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ โดยลมค่อนข้างสงบ ใบไม้ไม่ค่อยกระดิก แต่ถ้าแหงนดูท้องฟ้าจะมืดมัว ทัศนวิสัยไม่ดี และมีเมฆทวีขึ้น ต่อมาจะเริ่มโหมโรง คือลมจะเริ่มพัดแรงในทิศใดทิศหนึ่ง และมีลมกระโชกเป็นครั้งคราว พอท้องฟ้ามีเมฆเต็ม ก็จะตามด้วยฟ้าแลบ และฟ้าคะนองในระยะไกล และช่วงรุนแรงสุดก็จะกระหน่ำซัมเมอร์เซลแบบรวมมิตร ซึ่งโดยปกติจะกินเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และถล่มในพื้นที่แคบๆ ราว 10-20 ตารางกิโลเมตร “เมื่อพายุพัดผ่านไปแล้ว อากาศจะเย็นลงเพราะฝนตก และท้องฟ้าจะสุดแสนสดใส เรียกได้ว่าพายุฤดูร้อนนี่ก็มีนิสัยคล้ายๆกับคนโกรธง่ายหายเร็ว” ...ดร.บัญชา ระบุถึงอาการของพายุฤดูร้อน ที่สำคัญคือตอน ’โกรธ“ ที่จะสร้างความเสียหาย และพายุฤดูร้อนมักจะมี ’ฟ้าผ่า-ลูกเห็บ“ ด้วย!! สำหรับ “ลูกเห็บ” นั้น ทำอันตรายคน สัตว์ พืช สิ่งของต่างๆได้ ลูกเห็บมักเกิดในสภาพอากาศที่มีเมฆฝนฟ้าคะนอง ในก้อนเมฆนี้จะมีกระแสอากาศที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งจากการที่เม็ดน้ำขนาดเล็กถูกกระแสอากาศไหลขึ้นพาขึ้นไป พอสูงใกล้ยอดเมฆก็จะพบอุณหภูมิที่ต่ำมากๆ ทำให้แข็งตัวเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดเล็ก ซึ่งกระแสอากาศยังสามารถพยุงก้อนน้ำแข็งนี้ให้เคลื่อนขึ้นได้อีก และอาจจะพบหยดน้ำเย็นยิ่งยวด (supercooled droplet) ซึ่งจะเกาะผิวก้อนน้ำแข็งและแข็งตัวเคลือบก้อนน้ำแข็ง เกิดเป็นชั้นน้ำแข็ง เมื่อก้อนน้ำแข็งที่สะสมเคลือบน้ำแข็งนี้ถูกพัดขึ้นหมุนวนอยู่ในก้อนเมฆหลายๆรอบเข้า ก็จะเกิดการสะสมชั้นเคลือบน้ำแข็งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเมื่อมีน้ำหนักถึงจุดหนึ่ง กระแสอากาศไหลขึ้นพยุงไว้ไม่อยู่ ก็จะตกลงมา ’ลูกเห็บที่คนไทยรู้จักกันดีพอสมควรนั้น มีลักษณะเป็นก้อนน้ำแข็งขนาด 5-150 มิลลิเมตร หรือ 0.5-15 เซนติเมตร โดยลูกเห็บขนาด 150 มิลลิเมตรอาจมีน้ำหนักมากถึงราวครึ่งกิโลกรัม เจ้าลูกเห็บนี่ชอบมาพร้อมพายุฤดูร้อน เป็นผลิตภัณฑ์อันดับต้นๆของพายุที่ควรรู้จักไว้“ ...ดร.บัญชา ระบุ ทั้งนี้ กับการ “ป้องกันภัยพายุฤดูร้อน” ซึ่งจะมีทั้ง ฝนหนัก ลมแรง ฟ้าผ่า และอาจมี ลูกเห็บ ด้วยนั้น ที่มีการแนะนำกันไว้ก็คือ... ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนให้แข็งแรง เตรียมป้องกันภัยให้สัตว์เลี้ยงและพืชผลการเกษตร ติดตั้งสายล่อฟ้าสำหรับสิ่งปลูกสร้างสูงๆ ติดตามข่าว-คำเตือนสภาวะอากาศ งดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดขณะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ไม่ใส่เครื่องประดับโลหะและไม่อยู่กลางแจ้งขณะมีฝนฟ้าคะนอง ’พายุฤดูร้อน“ จริงๆก็เป็นเรื่องปกติทางธรรมชาติ แต่ปัจจุบันเรื่องปกตินี้อาจ ’รุนแรงมาก-ไม่ปกติ“ ไม่กลัว-ไม่ป้องกัน...บ้านพังยับ หรือถึงตายได้!!. จาก .................. เดลินิวส์ คอลัมน์ สกู๊ปหน้า 1 วันที่ 22 เมษายน 2544
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
ชี้ไทยพ้น 'ดินไหว'ใหญ่ ไม่ประมาท-เสริมแกร่งบ้านเมือง ![]() แม้โศกนาฏกรรมแผ่นดินไหว-สึนามิใหญ่ถล่ม 'ญี่ปุ่น' จะผ่านพ้นมาเกือบ 2 เดือน แต่หลังจากนั้นในทวีปเอเชียและเขตแปซิฟิกก็ยังเกิดแผ่นดินไหวเกิน 5-6 ริกเตอร์อยู่หลายจุด โดยครั้งล่าสุดวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมาเพียงแค่วันเดียว มีถึง 3 ประเทศ กับอีก 1 เกาะต้องเผชิญธรณีพิโรธ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาะไต้หวัน นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือเหตุไม่คาดฝัน และรู้เท่าทันมหันตภัยธรรมชาติดังกล่าว คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดสัมมนาหัวข้อ 'เราพร้อมรับภัยแผ่นดินไหวและสึนามิอย่างไร' ที่อาคารเจริญวิศวกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อไม่นานมานี้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและสึนามิพร้อมผู้สนใจเข้าร่วมคับคั่ง นายสุวิทย์ โคสุวรรณ ผู้อำนวยการส่วนวิจัยรอยเลื่อนมีพลัง กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ 'ทส.' ให้คำจำกัดความ 'รอยเลื่อนมีพลัง' ว่า เป็นการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ซึ่งยังคงเคลื่อนตัวเข้าหากัน มุดซ้อนเกยกัน และบางแผ่นแยกออกจากกันตลอดเวลา การเคลื่อนไหวนี้จะปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของการสั่นไหว ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า แผ่นดินไหว "โชคดีของประเทศไทยที่รอยเลื่อนมีพลังของเราเป็นรอยเลื่อนแบบแขนง ซึ่งเป็นสาขาของรอยเลื่อนใหญ่อย่างรอยเลื่อนสะแกงในประเทศพม่า หรือรอยเลื่อนเทียนเมียนฟูในประเทศลาว ดังนั้น โอกาสเกิดแผ่นดินไหวจึงเป็นขนาดกลาง และมีโอกาสเกิดแค่ 5-6 ริกเตอร์เท่านั้น ไม่เหมือนประเทศญี่ปุ่นที่อยู่บริเวณรอยเลื่อนขนาดใหญ่ จึงทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8-9 ริกเตอร์ได้" นายสุวิทย์กล่าว นายสุวิทย์ระบุด้วยว่า ที่ระดับความแรง 5-6 ริกเตอร์ บ้านเมืองจะสั่นไหว อาคารที่ไม่ได้เตรียมการรับมือดีพออาจเกิดการแตกร้าว แต่หากเกิดบริเวณป่าเขาจะได้รับผลกระทบน้อย ![]() สำหรับ 'รอยเลื่อนที่มีพลัง' ของไทยมีทั้งหมด 13 แห่ง ครอบคลุม 22 จังหวัด คือ 1.รอยเลื่อนแม่จัน 2.แม่ฮ่องสอน 3.พะเยา 4.แม่ทา 5.ปัว 6.เถิน 7.อุตรดิตถ์ 8.เมย 9.ท่าแขก 10.ศรีสวัสดิ์ 11.เจดีย์สามองค์ 12.ระนอง และ 13.คลองมะรุ่ย ตำแหน่งที่เกิดในประเทศไทยส่วนมากอยู่บริเวณป่าเขาทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ "กรมทรัพยากรธรณีวิทยาศึกษาย้อนหลังไป 50 ปี พบว่า วันที่ 22 เม.ย.2526 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดขนาด 5.9 ริกเตอร์ บริเวณ จ.กาญจนบุรี และรองลงมาคือ วันที่ 17 ก.พ. 2518 แผ่นดินไหวขนาด 5.6 ริกเตอร์ ที่ จ.ตาก" นายสุวิทย์กล่าว ผอ.ส่วนวิจัยรอยเลื่อนมีพลัง กรมทรัพยากรธรณีฯ อธิบายต่อไปว่า รอยเลื่อนในประเทศไทยไม่แรงพอที่จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ 'สึนามิ' เพราะอยู่บนพื้นดิน ไม่ได้อยู่ในพื้นทะเล การเกิดสึนามิเกิดจากแผ่นเปลือกโลกมุดซ้อนเกยกันทำให้น้ำทะเลถูกแทนที่ด้วยแผ่นดิน ส่งผลให้เกิดคลื่นใต้น้ำ ซึ่งจะมาผุดสูงเมื่อใกล้ถึงฝั่งกลายเป็นภัยที่เตือนภัยยากและเกิดบ่อยครั้ง คลื่นยักษ์สึนามิจึงมักเกิดบริเวณตะเข็บรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก เช่น รอยต่อของอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ หรือชิลี "คาบเวลาการเกิดซ้ำของแผ่นดินไหวรุนแรงจากรอยเลื่อนขนาดใหญ่ในประเทศไทยมีระยะเวลายาวนานมาก ราว 1,000 ปี" "ดังนั้น สำหรับประชาชนไทยจึงไม่ควรหวาดวิตกเกินเหตุ แต่หากเกิดการเคลื่อนของรอยเลื่อนบริเวณเกาะสุมาตรา หรือหมู่เกาะนิโคบาร์ มหาสมุทรอินเดีย อาจก่อให้เกิดคลื่นสึนามิมาถึงไทยได้ และจังหวัดที่น่าจะได้รับผลกระทบ คือ ภาคใต้ติดชายฝั่งอันดามัน" นายสุวิทย์ชี้ ขณะเดียวกัน นายบุรินทร์ เวชบันเทิง ผู้อำนวยการส่วนเฝ้าระวังและติดตามแผ่นดินไหวและสึนามิ กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ 'ไอซีที' กล่าวว่า ประเทศไทยมีสถานีเตือนภัยแผ่นดินไหวอยู่ 40 สถานีทั่วประเทศไทย การวิเคราะห์ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ต้องใช้สถานีวัดไม่ต่ำกว่า 4 สถานี ซึ่งได้รับแรงสะเทือน จากนั้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์จะเลือกลักษณะของความสั่นสะเทือนนั้นๆ เพื่อคำนวณว่าตำแหน่งศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่ไหน "เครื่องมือจะบันทึกตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ฉะนั้นเราจะทราบว่ามีการเกิดแผ่นดินไหวเมื่อไหร่ ศูนย์กลางอยู่ที่ไหน ลึกเท่าไหร่ ตำแหน่งที่อยู่บนระนาบของผิวโลกอยู่ตรงส่วนไหน" ผอ.ส่วนเฝ้าระวังและติดตามแผ่นดินไหวและสึนามิ อธิบาย และยืนยันว่า ความพร้อมในการตรวจวัดแผ่นดินไหวของไทยอยู่ในมาตรฐานโลก ด้าน ศ.ดร.ปณิธาน ลักคุณะประสิทธิ์ นักวิชาการจากศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวิศวกรรมแผ่นดินไหวและการสั่นสะเทือน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเตรียมพร้อมเสริมความแข็งแรงของอาคารสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐาน โดยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องควรทยอยจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดให้มีการประเมินสภาพอาคาร ทั้งนี้ สิ่งปลูกสร้างที่ควรรีบเสริมความแข็งแรงเป็นอันดับแรก คือ 'เส้นทางคมนาคม' เพราะถือเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ในการดำเนินชีวิต รองลงมา คือ อาคารสำคัญๆ เช่น ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์บัญชาการของตำรวจ และทหาร เนื่องจากหากเกิดภัยพิบัติและอาคารเหล่านี้ถล่มลงมาจะทำให้เกิดจลาจล เพราะไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบดูแล โรงเรียนและโรงพยาบาล เนื่องจากเป็นสถานหลบภัยขณะเกิดภัยธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงระบบสาธารณูปโภค ระบบการสื่อสาร หนังสือ 'ข้อแนะนำสำหรับรูปแบบและการก่อสร้างอาคารทั่วไปที่เหมาะสมในเขตเสี่ยงภัยพิบัติสึนามิปานกลาง' ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ตำแหน่งของอาคารที่ป้องกันภัยสึนามิไม่ควรอยู่ใกล้ชายหาด หรือร่องน้ำมาก รูปทรงควรสมมาตรในแปลน ไม่มีช่องเว้าหักมุมที่ทำให้คลื่นสูงขึ้น ผังอาคารรูปวงกลมหรือแปดเหลี่ยมจะสามารถลดแรงคลื่นได้ถึงร้อยละ 20 และควรหันอาคารด้านแคบเข้าหาแนวที่คลื่นสึนามิจะปะทะเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด กำแพงของอาคารส่วนที่ปะทะคลื่นยักษ์ต้องมีช่องเปิดไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่กำแพง ก่อด้วยอิฐ หรือคอน กรีตบล็อก ความหนารวมปูนฉาบไม่เกิน 10 เซนติเมตร มีเหล็กเดือยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มิลลิเมตรยึดผนังกับเสาห่างกันไม่เกิน 40 เซนติเมตร เพื่อลดความเสียหายกับโครงสร้างตึก ด้าน 'รากฐาน' ต้องหยั่งลึกลงในชั้นดินแน่น หากเป็นรากฐานแบบแผ่ต้องฝังในชั้นดินที่แน่นและมั่นคงกว่าที่กระแสน้ำสามารถกัดเซาะได้ไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร และควรขยายตอม่อให้มีขนาดไม่เล็กกว่า 25 เซนติเมตร ขนาดเสาควรมีหน้าตัดด้านแคบไม่น้อยกว่า 20 เซนติ เมตร และระยะเรียงแนวดิ่งระหว่างเหล็กปลอกไม่ควรเกิน 15 เซน ติเมตร สำหรับเสา 20x20 เซนติเมตร และส่วนปลายยื่นของเหล็กปลอกไม่ควรน้อยกว่า 6 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลาง แม้แผ่นดินไหวจะเป็นภัยพิบัติที่ห่างไกลคนไทยอยู่บ้าง แต่การเตรียมพร้อมย่อมดีกว่าการแก้ปัญหายามเมื่อความเสียหายทำลายชีวิตและทรัพย์สินมหาศาลไปแล้ว เพราะในอดีตมีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าสึนามิใหญ่จะไม่มีทางถล่มประเทศไทย แต่สุดท้ายผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาไม่กี่ปีคงให้คำตอบไว้แล้ว! จาก .................. ข่าวสด วันที่ 26 เมษายน 2544
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|