![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
10 บัญญัติขจัดโรคน้ำท่วม ![]() หากแม้นคันกั้นน้ำและประตูน้ำคือด่านป้องกันเมืองจากมวลน้ำมหาศาลแล้วไซร้ ตัวท่านก็คือด่านกั้นโรคที่สำคัญที่จะป้องกันมวลเชื้อโรคจำนวนมหาศาลที่จ้องจะผ่านเข้าสู่ร่างกายไปอยู่ทุกขณะ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เผย 10 บัญญัติขจัดโรคในช่วงน้ำท่วม เริ่มจากบัญญัติข้อแรก 'อย่าเพิ่งตัดเล็บเท้าหรือเล็บมือช่วงน้ำท่วม' รวมถึงการตะไบเล็บด้วยในกรณีที่ต้องแช่น้ำท่วมอยู่บ่อยครั้ง เพราะจะเป็นการเปิดช่องให้เชื้อน้ำเน่าพากันแห่เข้าเท้าราวกับเป็นศูนย์อพยพชั้นดี บัญญัติข้อถัดมา 'อย่าให้มีหวัดหรือรีบรักษาภูมิแพ้คัดจมูกให้หาย' ไม่เช่นนั้นมีสิทธิ์กลายเป็นปอดบวม ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างได้ถ้าต้องเปียกติดน้ำอยู่นาน ต่อด้วยบัญญัติข้อสาม 'เริ่มเป็นหวัด ให้กินยากันไว้ก่อน' ใช้ยาสามัญอย่าง ยาแก้แพ้คลอเฟนิรามีนก็ได้ครับ ช่วยให้หลับได้แล้วหวัดที่เป็นน้อยอาจหายได้เลยครับ บัญญัติข้อสี่ 'เลี่ยงนอนทั้งหัวเปียก' และเมื่อผมเปียกแล้วต้องสระผม เพราะความเย็นจากศีรษะส่งให้โพรงจมูกเย็นเป็นที่แบ่งตัวดีของไวรัสหวัด ให้สังเกตว่าเรามักเป็นหวัดเมื่อหัวเย็นครับ ในบัญญัติข้อห้า 'ลดการนอนเปิดแอร์' บ้านเรามีเด็กติดแอร์เยอะครับ เพราะคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ต้องเปิดแอร์ให้ลูกนอน ตอนน้ำท่วมอากาศชื้นอยู่แล้ว การเปิดแอร์จะทำให้อุณหภูมิศีรษะต่ำลงเป็นที่อาศัยของเชื้อหวัดดีกว่าปกติ ตามด้วยข้อหก 'ให้งีบหลับพักผ่อนบ้าง' จะเป็นกลางคืนหรือกลางวันก็ได้ ให้พักกันเข้าไว้ถ้าไม่อยากพลาดข่าวด่วนอาจสลับเวรกันนอนได้ ขอให้คิดว่าจะได้ตื่นมามีแรงสู้ต่อในวันรุ่งขึ้นครับ ส่วนบัญญัติประการที่เจ็ด 'งดการกินมากสิ่ง' ยิ่งกินหลากหลายมากในตอนน้ำท่วมก็ยิ่งเพิ่มสิทธิ์ป่วยมากขึ้น เพราะความเสี่ยงในการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียอย่าง อี.โคไล จากน้ำสกปรกมีมากในช่วงนี้ครับ นอกจากนี้ บัญญัติข้อแปดให้ 'พักสมองด้วยการลองพักเสพสื่อน้ำท่วมเป็นระยะ' กำหนดเวลารับข่าวต่อวันเป็นรายชั่วโมง เพื่อลดความเครียดสะสมจากการจมอยู่กับข่าวที่น่าหดหู่ และข้อเก้า 'ล้างมือล้างเท้าเป็นประจำ' เพราะเป็นทางด่วนนำเชื้อน้ำท่วมเข้าตัวที่สำคัญ แค่ล้างมือ-เท้าอย่างเดียวยังไม่พอขอให้ซับแห้งทุกครั้ง จะได้ไม่ดูดเชื้อโรคเข้ามาเกาะง่าย บัญญัติสุดท้าย 'ล้างปากแปรงลิ้นและแปรงฟันทุกวัน' ไม่ว่าจะติดน้ำนานแค่ไหนเพราะช่องปากเป็นปราการด่านสำคัญที่รับเชื้อเข้าทางเดินอาหาร,เข้าหลอดเลือดและเข้าหัวใจได้ แต่ที่สำคัญนอกเหนือจากบัญญัติทั้งหมดที่กล่าวมา นพ.กฤษดา เน้นเพิ่มว่า 'อย่าลืมรัก' คือความเมตตาที่มีให้กัน หากมองตากันด้วยสายตาแห่งรักที่คิดว่าจะช่วยอะไรกันได้บ้าง จะเห็นสายน้ำงามได้แม้ในห้วงทุกข์สาหัส. จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 31 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
เกาผื่นยุงกัดระวังติดเชื้อรุนแรง เตือนเกาผื่นคัน บริเวณยุงกัด ระวังติดเชื้อรุนแรง แนะใช้ผ้าสะอาดบางๆ รองก่อนเกา หวั่นช่วงน้ำท่วมมือมีเชื้อโรคมากกว่าปกติ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้มีหลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมขังประชาชนเสี่ยงต่อการถูกยุงกัดและเกิดผดผื่นคันได้ง่าย จึงฝากเตือนว่าเมื่อถุงยุงกัดบางรายอาจมีความไวต่อยุงที่กัด มีอาการคันและเกาทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง ขณะที่มือที่ใช้เกามีเชื้อโรคจะส่งผลให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจากแผลที่ เกิดจากการเกา จนกลายเป็นการติดเชื้อและแผลลุกลามกลายเป็นแผลที่มีขนาดใหญ่หรือเป็นหนอง ทั้งนี้ข้อแนะนำในการเกิดแผลจากการเกาผดผื่นคัน นั้นหากแผลเกิดหนังตื้นๆให้รีบรักษา เพราะหากปล่อยไว้จนติดเชื้อลงถึงชั้นลึกของผิวหนังจะเกิดผิวหนังอักเสบ ทำให้เกิดปัญหาที่ส่วนชั้นลึกของผิวหนังและมีโอกาสรุนแรงกลายเป็นการติด เชื้อในกระแสเลือดได้ นพ.สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า หลังจากโดนยุงกัดหรือลุยน้ำ ถ้าเกิดเป็นตุ่มให้ทาคาลามายด์เพื่อลดอาการคัน โดยไม่ต้องเกา หากทนไม่ไหวจะต้องเกาควรหาผ้าสะอาดบางๆรองก่อนใช้มือเกาลดอาการคัน หรือกรณีคันมากก็รับประทานยาแก้แพ้ แต่ถ้าเกิดแผลแล้วให้ทำความสะอาดแผลก่อน ซับให้แห้งแล้วใช้ยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม เช่น เบตาดีนทา หรือใช้เจลแอลกอฮอลืเช็ดแผลอย่าชะล่าใจและปล่อยทิ้งไว้ เนื่องจากในช่วงน้ำท่วม มือหรือผิวหนังส่วนต่างๆของร่างกายมีโอกาสได้รับเชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อมมากกว่าในเวลาปกติทั่วไป เมื่อเกิดอาการคันจึงไม่ควรเกา เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 31 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ซ่อมได้...เมื่อหนังสือเปียกน้ำ น้ำท่วมกรุงเทพฯ และเมืองรอบข้างครั้งนี้ ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน อยู่บ้านราคาหลักแสนหรือหลักสิบล้าน ก็เดือดเนื้อร้อนใจไปทั่วๆกัน หนึ่งในการรับมือน้ำท่วมคือต้องขน "ของมีค่า" ขึ้นที่สูงให้หมด และคำว่าของ "มีค่า" ที่ไม่ได้มีความหมายเพียงมีราคาของแต่ละคนก็คงแตกต่างกันแน่ๆ และของมีค่าของคนรักการอ่าน ก็น่าจะรวมไปถึง "หนังสือ" ด้วยแน่ๆ ข้อพิสูจน์สำคัญก็มาจากคนรอบข้างนี่ล่ะ ที่เวลาถามไถ่ถึงสถานการณ์ก็มักจะมีคำตอบมาว่าขนหนังสือที่รักที่บางเล่มก็เป็นพิมพ์ครั้งแรก บางเล่มก็ไม่มีวางขายอีกแล้ว หรือบางเล่มก็เก่าแก่จนแทบจะเป็นมรดกของชาติได้เลย ไปไว้ในที่สูงๆเรียบร้อย บางคนถึงกับว่าไม่เสียดายอะไรเท่าหนังสือ... แต่ถึงวันนี้คงไม่มีความแน่นอนอะไรอีกแล้ว เพราะที่ว่าออกมาบอกกันว่าเฝ้าระวังก็แปลว่าท่วมแน่ๆ ส่วนที่ว่าท่วมแน่ๆ ก็หมายถึงท่วมสูงกว่าที่คาดการ หรือถ้าพูดว่าเอาอยู่ ก็แปลว่าขนของเลย ว่าไปแล้วก็คล้ายๆรหัสลับเหมือนกันนะเนี่ย เพราะงั้นหนังสือที่เก็บไว้สูงๆแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าจะรอดปลอดภัยไม่มีเปียก แต่ถ้าเกิดเหตุขึ้นจริง อย่าเพิ่งตระหนกตกใจไป เพราะยังพอมีวิธีแก้ไขอยู่บ้าง ถ้าหากว่าไม่ถึงขั้นจมน้ำจนกระดาษเปื่อย หรือลอกกระดาษหลุดเป็นแผ่นๆ แยกตามระดับการเปียก ถ้าหนังสือเปียกไม่มาก อันดับแรกให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ซับน้ำส่วนเกินออกก่อน ห้ามขัดถูหรือเช็ดแรงๆ หรือพยายามแกะ หรือแซะเอาโคลนออกด้วยแปรง หรือของแข็ง และก็ไม่ควรใช้สบู่ ยาขจัดคราบสกปรก ผงซักฟอก ครีมน้ำยาต่างๆเด็ดขาด เพราะจะเป็นอันตรายและเพิ่มความเสียหายแก่หนังสือมากขึ้น จากนั้นก็เอามือลูบกระดาษให้เรียบก่อนที่จะเอาไปวางแช่ในช่องแช่แข็งตู้เย็นประมาณ 1 วัน ซึ่งจะแห้งช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับระดับความเปียกและความหนาของหนังสือ โดยวางให้ส่วนที่เปียกอยู่ด้านบน ก่อนจะหาอะไรมาทับซักนิด แล้วจะได้หนังสือที่มีแผ่นกระดาษเรียบๆ เหมือนเดิม และถ้ามีหลายเล่ม ห้ามวางซ้อนกันเด็ดขาด ไม่งั้นพอแห้งแล้วปกจะติดกัน คราวนี้จะเป็นปัญหายิ่งกว่าหนังสือเปียกซะอีก อ้อ ที่สำคัญคือ อย่าเอาของกลิ่นแรงๆแช่พร้อมหนังสือนะ เพราะกระดาษมีคุณสมบัติในการดูดกลิ่น ไม่งั้นอาจจะได้หนังสือกลิ่นทุเรียนออกมา ซึ่งสาเหตุที่กระดาษเรียบได้นั้น ก็เพราะว่าเมื่อกระดาษเปียกน้ำเจอความเย็น โมเลกุลของน้ำจะขยายตัว ช่องว่างในกระดาษจะมีการเรียงตัวใหม่ กระดาษก็เลยเรียบเนียนเหมือนเดิมนั่นเอง ในกรณีที่ตู้เย็นแช่ผักกักตุนอาหารไว้เต็มจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้หนังสือ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะมีวิธีซักแห้งมาเสนอ โดยมีอุปกรณ์สำคัญที่นอกเหนือจากผ้านุ่มๆ สะอาดๆ ก็คือ แป้งเด็กที่ไม่มีสีและกลิ่น โดยเริ่มจากนำผ้าสะอาดมาซับน้ำจากกระดาษทีละแผ่นๆ ที่ค่อยๆคลี่ออกจากกัน จากนั้นก็โรยแป้งเด็กลงบนกระดาษทุกหน้าที่เปียก โดยเกลี่ยให้เสมอกัน ก่อนที่จะนำไปไว้ที่แห้งๆ แล้วนำของที่มีน้ำหนักมากๆ ทับลงไปให้เรียบไปกับพื้นผิวที่วาง ทิ้งไว้ประมาณ 2-7 วัน จะช้าเร็วก็ขึ้นกับว่าเปียกมากน้อย และปริมาณความชื้นในอากาศ ซึ่งทั้งหมดต้องรีบทำทันที อย่าทิ้งไว้นาน เพราะถ้าแช่น้ำนานๆ ต่อให้เทวดาเหาะลงมาก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเชื้อราจะสามารถเติบโตได้ภายในเวลา 24 ชั่วโมง ว่าแล้วก็ชักคิดถึงอีบุ๊ก ถ้ามีการเก็บหนังสือเก่าๆหายากไว้ในอีบุ๊กก็คงจะดี แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่น่าจะทำได้อย่างเดียวก็คือทำใจ ความรู้นอกกายไม่ตายหาใหม่ได้ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าชีวิตหายไปละกัน สร้างกำลังใจทั้งตัวเองและคนรอบข้างให้เข้มแข็ง วันนี้ผ่านไปแล้วพร้อมกับสายน้ำที่กำลังไหลริน พรุ่งนี้ต่างหากที่สำคัญ และมีอะไรมากมายที่ต้องจัดการหลังน้ำผ่านไป จริงไหม จาก ....................... มติชน วันที่ 30 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
เตือนอย่าเกาแผล เสี่ยงติดเชื้อง่าย จาก ..................... ไทยรัฐ วันที่ 31 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
วิตกจริตทำจิตใจร้าย 'ไทยตื่นน้ำ' ธรรมดาแต่อย่าฝังลึก ![]() กลางกระแสวิกฤติน้ำท่วม ในเมืองไทยก็เกิดภาพดีๆมากมาย อย่างภาพแห่งจิตอาสาของคนไทยเพื่อคนไทย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ภาพความแตกตื่นโกลาหล รวมไปจนถึงภาพไม่ดีอันไม่น่าพึงประสงค์ ก็ไม่น้อย!! อาจกล่าวได้ว่า...ไทยกำลังอยู่ในยุค ’ตื่นน้ำ“ ก็เป็นธรรมดา...ทว่า ’บางอย่างก็ไม่น่าเลย...“ ’ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เรามองได้ว่าสังคมมีภาพใหญ่ 2 ภาพซ้อนกัน ทั้งในแง่บวก และแง่ลบ“...ที่ปรึกษาฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ระบุถึงภาพปรากฏการณ์ต่างๆในวิกฤติน้ำท่วม พร้อมทั้งบอกอีกว่า...มุมดีๆเรื่อง จิตอาสา-จิตสาธารณะ เป็นเรื่องดีมาก ขณะที่การแตกตื่นข่าว กักตุนอาหาร เอารถไปจอดบนทางด่วนซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากเหตุที่ไม่คาดคิด ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น “แง่ลบ เรื่องความขัดแย้ง การทำลายคันดินคันทราย สะท้อนให้เห็นถึงการดูแลแก้ไขน้ำในระดับจังหวัดและระดับเขตที่ต่างคนต่างทำ ไม่มีความเป็นเอกภาพ การจัดการทำได้ไม่ดี ไม่ปรึกษาหารือ ไม่ช่วยเหลือกันและกัน ที่สุดก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นธรรมดา” ...ศ.ดร.อดิศร์ ระบุ และยังบอกด้วยว่า...ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งดีและไม่ดี สะท้อนชัดว่าเราไม่ได้มีการเตรียมตัว วางแผน ประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป ให้ความสำคัญเรื่องอุทกศาสตร์ต่ำมาก และมีปัญหาเรื่องการจัดการน้ำโดยรวม ที่สำคัญสภาพภูมิประเทศของไทยในปัจจุบันไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนที่มากได้ สะท้อนถึงป่าต้นน้ำของเราที่ถูกทำลายจนไม่มีที่ชะลอความแรงและความเร็วของน้ำฝน ที่ปีนี้มีมากกว่าเดิม 3 เท่าตัว ด้าน รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายบริการวิชาการ และวิจัย และอาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า...ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงน้ำท่วม โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ทั้งการแตกตื่นข่าว ทะเลาะเบาะแว้ง ห่วงรถ ก็เป็นปรากฏการณ์ที่สมกับเหตุ คนเห็นภาพน้ำท่วมหลายจังหวัดไล่มาเรื่อยๆ จึงกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตนบ้าง เรื่องต่างๆก็จึงเกิดขึ้น อย่างเรื่องรถก็เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะต้องห่วง เพราะรถมิดทั้งคันไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งต้องเสียค่าซ่อมหลายแสน คงไม่มีใครอยากจ่าย การแตกตื่นข่าวสารที่เกิดขึ้น ก็เพราะข่าวจริงของรัฐบาลเชื่อไม่ค่อยได้ เพราะบอกว่าควบคุมได้ ป้องกันได้ แต่ไม่จริง ขณะที่ข่าวลือที่บอกว่ามาแน่ ท่วมแน่ กลับจริง คนจึงเชื่อข่าวลือมากกว่า และเพราะความรุนแรงของน้ำครั้งนี้มีมาก จึงไม่แปลกที่คนจะปริวิตกเดือดเนื้อร้อนใจถึงขนาดทะเลาะกัน พึ่งรัฐไม่ได้ ก็ต้องพึ่งตัวเอง เมื่อพึ่งตัวเอง ก็ต่างคนต่างทำ ความโกลาหลอลหม่านต่างๆก็เกิดให้เห็น “การรื้อกระสอบทราย พังคันดิน ในระดับชาวบ้าน ถือว่าไม่แปลก เพราะเครียด ฝั่งเราเปียก อีกฝั่งแห้ง ที่ทำเพราะอยากบรรเทาความเดือดร้อนของชีวิตตัวเองมากกว่าที่จะคำนึงถึงภาพรวม ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ภาพนักการเมืองท้องถิ่นพาชาวบ้านไปพังกระสอบทรายอีกด้าน เป็นเรื่องที่ไม่น่าดู ไม่ควรทำ”…รศ.พรชัย ระบุ พร้อมทั้งกล่าวถึงเรื่องจิตอาสาว่า...เป็นเรื่องดี เป็นอีกมุมดีของพลังโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้ได้เห็นว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ได้ถูกใช้แค่ประท้วงรัฐบาล คราวนี้เราได้เห็นเด็กวัยรุ่นอายุไม่มาก ที่บ้านก็ยังไม่ปลอดภัย แต่ก็ออกมาช่วยคนอื่น เพราะการบอกข่าวกันในโซเชียลเน็ตเวิร์ก นี่เป็นพลังด้านดีอีกด้านที่ควรขยายความต่อ นอกจากมุมมองของนักวิชาการ 2 ราย ดังที่ว่ามาแล้ว ทาง ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ก็วิเคราะห์และแบ่ง คนไทยกลางวิกฤติน้ำท่วม ได้น่าพิจารณา โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่ม ซึ่งโดยสังเขปคือ... กลุ่มที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่ตั้งสติ เตรียมพร้อมรับมือ แต่ไม่ได้ตื่นกลัวหรือทำให้แตกตื่น, กลุ่มที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่ผวา วิตกกังวล แตกตื่นหรือตื่นตูม จิตเตลิดตลอดเวลา, กลุ่มที่ต้องทำตามหน้าที่ เก็บเรื่องราวของตัวเองไว้ก่อน ยึดภาระรับผิดชอบเป็นหลัก กลุ่มที่เข้าช่วยเหลือเผื่อแผ่ แบ่งปัน แม้บุคคลที่ช่วยจะไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือเป็นคนที่ไม่ชอบหน้า, กลุ่มที่ร่วมด้วยช่วยกัน แม้จะทุกข์ก็ช่วยประคับประคองกันและกัน ช่วยอะไรได้ก็จะช่วย ทำอะไรได้ก็จะทำ, กลุ่มที่มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ หาเรื่องตำหนิได้เสมอ สนุกกับการทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก ไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้นมีแต่จะนั่งดูและพูดถึงคนอื่นในด้านลบ, กลุ่มที่เอาตัวเองให้รอด คนอื่นเป็นอย่างไรไม่สนใจ ถ้ามีใครเข้ามาช่วยก็จะขอบคุณ แต่ถ้าใครรุกล้ำก็จะเดือดดาล หากตัวเองเป็นอะไรไปหรือต้องประสบชะตากรรม จะไม่ยอมและจะพยายามให้คนอื่นเป็นอย่างตนเองด้วย ทั้งนี้ จาก 7 กลุ่มที่ว่ามา กลุ่มใดถือว่าดี-ถือว่าไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มใดมองก็ย่อมมองออก แต่ ’ประเด็นสำคัญจริงๆ“ อยู่ตรงที่ ดร.จิตรา ทิ้งท้าย คือ... ’สำคัญมากในช่วงนี้สำหรับทุกคนทุกกลุ่มคือ กายต้องรอดต้องไม่เจ็บป่วย ใจต้องแกร่งคือจิตไม่ตก รู้จักตื่นตัวแทนการตื่นกลัว ตั้งสติให้ได้แทนสติแตก มองปัญหาว่าสามารถคลี่คลายได้เสมอ เพื่อให้สามารถมองไกลไปถึงวันข้างหน้าได้“. จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
เปิดคู่มือ เอาตัวรอดจากสัตว์มีพิษที่มากับน้ำ แนะต้องมีสติตลอดเวลา นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ในช่วงที่มีน้ำท่วมในหลายพื้นที่ พบสถิติการเข้ารักษาฉุกเฉินที่พบบ่อย คือ การถูกสัตว์มีพิษที่มากับน้ำกัด ทั้ง ปลิง ตะขาบ แมงป่อง และงู ซึ่งเฉพาะ งู มีทั้งงูเหลือม งูเขียว งูเห่า โดยงูมีพิษแบ่งได้เป็นเป็น 3 ชนิด คือ - ชนิดเป็นพิษต่อระบบประสาท พบใน งูเห่า งูจงอาง ผลคือเกิดอัมพาต ลืมตาไม่ได้ และอาจหยุดหายใจจนเสียชีวิตได้ - ชนิดที่ 2 คือเป็นพิษต่อเลือด ได้จากงูแมวเซา งูเขียวหางไหม้ ผู้รับพิษจะมีเลือดออกตามที่ต่างๆ อาเจียนเป็นเลือดไม่หยุด เพราะพิษจะส่งผลให้เลือดไม่แข็งตัว และ - ชนิดเป็นพิษต่อกล้ามเนื้อ ได้จาก งูทะเล เป็นอัตรายต่อกล้ามเนื้อ วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากถูกสัตว์มีพิษ โดยเฉพาะงูกัด ก่อนที่ทีมแพทย์ฉุกเฉินจะเข้าไปถึงพื้นที่ คือประชาชน ต้องตั้งสติก่อนเป็นอันดับแรก ดูให้แน่ว่าเป็นงูที่มีพิษหรือไม่ หากแน่ใจเป็นงูมีพิษผู้บาดเจ็บมีเวลาครึ่งชั่วโมงกว่าพิษจะเริ่มแสดงอาการ สิ่งแรกที่ต้องทำคือรีบล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำหรือแอลกอฮอล์ แต่ห้ามกรีดแผล ดูดแผล ใช้ไฟจี้ ดื่มสุรา หรือกินยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของแอสไพรินโดยเด็ดขาด เพราะจะเพิ่มการติดเชื้อที่แผลมากขึ้นจนเนื้อรอบบริเวณตาย หรือไปเสริมฤทธิกับพิษงูให้รุนแรงมากขึ้น จากนั้นให้ผู้บาดเจ็บนอนนิ่งๆ จัดส่วนที่ถูกงูกัดให้อยู่ระดับต่ำกว่าหัวใจ ห้ามเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น เพื่อชะลอการดูดซึมพิษงูเข้าสู่ท่อน้ำเหลืองและเส้นเลือดดำไหลเวียนเข้าหัวใจ หาไม้ดามบริเวณที่ถูกงูกัดแล้วใช้ผ้าพันให้แน่นพอประมาณเหนือแผลงูกัดประมาณ 5-15 เซนติเมตร รีบนำผู้ถูกงูกัดส่งสถานบริการสาธารณสุขที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว หากระหว่างนำส่งผู้บาดเจ็บหยุดหายใจให้กดนวดหัวใจ จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล หากผู้บาดเจ็บอยู่คนเดียว ควรโทรหาสายด่วน 1669 ตั้งแต่ถูกงูกัดแล้วปฐมพยาบาลตัวเองระหว่างรอเจ้าหน้าที่เข้าถึงพื้นที่ จาก ....................... มติชน วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
ทำอย่างไรเมื่อถูกคราบสารเคมีในน้ำ ![]() ผู้ประสบอุทกภัยบางพื้นที่บ่นว่าน้ำที่เอ่อท่วมนั้นสกปรก มีสีและกลิ่นไม่พึงประสงค์ บางคนบอกมีคราบมันๆลอยรวมอยู่ด้วย ทำให้ไม่สบายใจเมื่อต้องลงไปลุยน้ำ 'เกร็ดความรู้' วันนี้เตรียมวิธีเบื้องต้นในการกำจัดสารพิษสารเคมีที่ปะปนมากับน้ำ หากสัมผัสถูกทางผิวหนัง ให้ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ออก รีบล้างตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำสะอาดทุกซอกทุกมุมของร่างกาย โดยให้ล้างด้วยวิธีรดหรือราด อย่าเข้าไปแช่ตัวในอ่างเพราะสารเคมีจะเจือปนและกลับมาเกาะผิวหนังอีก กรณีที่รู้แน่ชัดว่าคราบมันๆ เป็นน้ำมันหรือไฮโดรคาร์บอน ควรล้างตัวพร้อมถูสบู่อ่อนๆ ด้วย โดยให้ชำระล้างร่ายกาย 10 นาที หรือจนกว่าผิวหนังจะหายลื่นมัน ขณะที่เสื้อผ้าชุดที่เปื้อนคราบมันๆ ไม่ควรนำมาใช้ใหม่ หากจำเป็นต้องใช้ จะต้องซักทำความสะอาดหลายครั้ง ทว่าน้ำต้องสงสัยพวกนั้นกระเด็นเข้าตา ควรล้างตาทันทีโดยใช้ได้ทั้งน้ำอุ่น น้ำสะอาด หรือน้ำเกลือ เทไหลผ่านตาเบาๆ ในขณะที่นอนตะแคงข้าง ล้างนาน 15-20 นาที อย่างไรก็ตาม หากมีอาการแสบร้อนที่ผิวหนัง ตาลืมไม่ขึ้น ควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด. จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|