เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > Main Category > ห้องรับแขก

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 14-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


ทำน้ำใช้จากน้ำท่วม



ทางศปภ.เตือนชาวกรุงเทพฯ ว่าอาจต้องทนกับสภาพน้ำท่วมขังนานนับเดือน ดังนั้น ความรู้ในการเตรียมน้ำใช้ช่วงน้ำท่วมจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเรียนรู้ไว้

โดยเริ่มต้นจากการเตรียมอุปกรณ์ ได้แก่
1.โอ่ง ถังพลาสติก หรือภาชนะรองรับน้ำ จำนวน 2 ใบ
2.สารส้มก้อน
3.สารฆ่าเชื้อโรค คลอรีนชนิดน้ำ 2% (หยดทิพย์)

ด้านขั้นตอนการผลิตน้ำสะอาด ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน คือ

1.เตรียมน้ำลงในภาชนะรองรับน้ำใบที่ 1 โดยเลือกใช้น้ำจากแหล่งน้ำในบริเวณที่สะอาด ห่างจากแหล่งสุขาหรือโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

2.แกว่งสารส้มในน้ำจนกระทั่งสังเกตเห็นตะกอนเริ่มจับตัว ซึ่งอาจใช้เวลามากน้อยต่างกันไปตามปริมาตรและลักษณะของน้ำ โดยแกว่งที่ความลึกประมาณ 2/3 ส่วนของความลึกน้ำจากผิวน้ำ

3.หลังจากแกว่งสารส้ม จะต้องทิ้งน้ำไว้จนกระทั่งตะกอนตกลงสู่ก้นถัง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรืออาจตั้งทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นจึงตักหรือถ่ายน้ำส่วนใสเข้าสู่ภาชนะบรรจุใบที่ 2 น้ำที่ผ่านขั้นตอนนี้จะมีลักษณะใสแต่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อโรค

4.การเติมสารเพื่อฆ่าเชื้อโรคลงในภาชนะรองรับน้ำใบที่ 2 โดยเติมสารฆ่าเชื้อโรคคลอรีนชนิดน้ำ 2% (หยดทิพย์) ในปริมาณ 1 หยด ต่อน้ำ 1 ลิตร กวนผสมและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้สารฆ่าเชื้อโรคออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม น้ำใสที่ได้อาจยังไม่เหมาะสมต่อการบริโภคเนื่อง จากน้ำที่ผ่านการผลิตขึ้นเองอาจไม่มีการควบคุมคุณภาพที่ดีเพียงพอ

ส่วนคำเตือนสำหรับน้ำยาหยดทิพย์คือ เก็บให้พ้นมือเด็ก อย่าให้เข้าตาและสัมผัสผิวหนัง ห้ามรับประทานโดยตรง หากสารละลายหยดทิพย์ถูกมือให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาด ถ้าสารละลายหยดทิพย์เข้าตาต้องรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้งแล้วรีบไปพบแพทย์ และเก็บรักษาสารละลายหยดทิพย์ในที่มืด

ขอขอบคุณข้อมูลจากกลุ่มอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




จาก ....................... ข่าวสด คอลัมน์หมุนก่อนโลก วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 16-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


ทำกิจกรรมอะไรดีกับลูกในช่วงน้ำท่วม ....................... โดย ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ



ช่วงนี้ไม่เพียงแต่คุณแม่คุณพ่อต้องเครียดกับภาวะน้ำท่วม เด็กๆก็เกิดความเครียดด้วยเช่นเดียวกัน การให้โอกาสเด็กๆได้แสดงออกและระบายความรู้สึกออกมาจะช่วยบรรเทาอาการเครียดของเด็กได้ ด้วยเหตุผลดังนี้

• การให้เด็กได้เล่าเรื่องหรือพูดเรื่องที่เกิดขึ้นหลายๆครั้ง จะช่วยให้เด็กได้เรียงลำดับเหตุการณ์ ได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น หรือคิดหาทางควบคุมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ในภาวะที่สับสน และหาทางออกไม่ได้

• การได้ระบายความกลัว หรือความเครียดออกมาบางครั้งจะช่วยลดความวิตกกังวลและลดความไม่สบายใจได้

• การได้ยินเรื่องราวจากเพื่อนคนอื่นๆ จะช่วยให้เด็กๆรู้ว่ามีเพื่อนคนอื่นตกอยู่ในสภาพเดียวกับเรา ไม่ว่าจะเป็นความกลัวหรือความวิตกกังวล

• การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กๆกับเพื่อนๆกับคุณพ่อคุณแม่ หรือกับคุณครู เด็กๆจะเป็นการได้แบ่งปันเรื่องราว และความรู้สึก


กิจกรรมที่จะช่วยลดความเครียดให้เด็กๆได้มีดังนี้

เด็กอนุบาลและเด็กประถม

1. หาอุปกรณ์หรือของเล่นที่ให้เด็กได้มีโอกาสได้เล่นบทบาทสมมติในสภาวะน้ำท่วมจะช่วยให้เด็กๆมีประสบการณ์และมีความรู้ ความเข้าใจในสถานการณ์น้ำท่วมมากขึ้น อุปกรณ์ดังกล่าวคือ ไม้บล็อก ถุงจำลองทราย รถตักทราย รถพยาบาล รถทหาร เรือ ถุงยังชีพ ยา อาหารแห้ง เป็นต้น การให้เด็กๆได้เล่นหุ่นมือ ตุ๊กตา หรือเล่นบทบาทสมมติจะช่วยให้เด็กได้มีโอกาสพูดและระบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นอีกด้วย

2. กิจกรรมการให้เด็กได้ออกกำลังทางด้านร่างกายถือว่าเป็นวิธีช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้

3. ทำงานศิลปะ ให้เด็กๆวาดภาพน้ำท่วม งานศิลปะถือเป็นงานสร้างสรรค์ที่ให้เด็กๆได้แสดงออก ให้เด็กๆวาดภาพอะไรก็ได้ที่อยู่ในใจและอยากวาด อาจตั้งหัวข้อ หรือตั้งคำถามให้เด็กๆเป็นแนวทางให้เด็กๆมีโอกาสพูดคุยถึงรูปที่วาด จัดเด็กเป็นกลุ่มเล็กๆ เปิดโอกาสให้ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน การได้พูดคุยถึงความรู้สึกกลัวที่เกิดขึ้นจะช่วยให้เด็กๆได้ระบายออกถึงความเครียดและความกลัว

4. เล่านิทานหรือเรื่องสั้นเกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมให้เด็กๆฟัง

5. จัดทำโครงงานในหัวข้อ มีอะไรเกิดขึ้นในบ้านของเรา ที่โรงเรียน ในชุมชนของเรา หรือเราจะทำอย่างไรเมื่อมวลน้ำใหญ่ไหลมา ภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปส่งผลอย่างไรต่อโลก เป็นต้น

6. เด็กๆสามารถวาดรูป เขียน หรือเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกเขาจำได้ดี และตอบคำถาม เช่น มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนัก มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเขื่อนมีน้ำมากเกินกำหนด เราจะช่วยครอบครัว คนเฒ่า คนแก่ เด็กและคนเจ็บได้อย่างไร เมื่อน้ำท่วมบ้าน การจัดเตรียมอาหารและเครื่องใช้ในระหว่างเกิดอุทกภัย โรคและอันตรายต่างๆเมื่อเกิดเมื่อน้ำท่วม พร้อมทั้งการระวังตัวและการป้องกัน เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการเกิดอุทกภัยครั้งนี้ มีอะไรที่เป็นข้อดีที่เราได้เรียนรู้ในการเกิดน้ำท่วมคราวนี้บ้าง

การพูดคุยสนทนา การฟังคำตอบและคำถามของเด็กๆ จะช่วยในการประเมินความเข้าใจและความรู้สึกของเด็กๆได้ สิ่งที่สำคัญคือจบบทสนทนาด้วยความคิดทางบวก เสริมแรงให้กำลังใจ และให้สัมผัสแห่งความปลอดภัย และการเตรียมตัวในครั้งต่อไป ให้เด็กๆสรุปเองโดยมีผู้ใหญ่เป็นผู้เสริมแรง และตะล่อมให้ตรงประเด็น ตัวอย่างความคิดทางบวก เช่น

• ความรู้สึกที่ได้มีความใกล้ชิดกับครอบครัว
• ได้พบเพื่อนใหม่ และผู้ที่ตกสถานการณ์เดียวกัน
• เรียนรู้ทักษะใหม่ สัมผัสแห่งความรับผิดชอบ การแก้ปัญหาอย่างฉลาด
• การผนึกกำลังของชุมชนในการช่วยกันแก้ปัญหา
• การให้ความช่วยเหลือดูแลแก่ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก


ชั้นประถมปลาย

1. ทำสมุดภาพโครงงาน ให้เด็กๆได้มีโอกาสได้รวบรวมความคิดและข้อมูลต่างๆ จัดหาวิธีแก้ไขอย่างเป็นระเบียบ

2. ให้เด็กๆได้เล่นเกมอุทกภัย โดยคิดกฎกติกาเอง คิดวิธีการจบเกมเอง เพื่อพัฒนาสัมผัสในการแก้ปัญหาและความรู้สึกปลอดภัย

3. ใช้หนังสือภาพระบายสี หรือหนังสืออื่นๆ ที่เกี่ยวกับอุทกภัย เสริมแรงให้เด็กวาดรูป เขียน หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์


กิจกรรมสำหรับชั้นมัธยม

เราอาจใช้หลักการพื้นฐานเดียวกันและต่อยอดความคิดสำหรับใช้กับเด็กโต เช่น

1. ใช้ศิลปะ ดนตรี คำกลอน ในการบรรยายความรู้สึกและประสบการณ์ เด็กอาจจะทำเป็น Power Point สมุดภาพ สมุกบันทึกความทรงจำ เล่นเป็นละคร หรืออัดวีดีทัศน์ไว้ สะสมผลงานต่างๆของเด็ก อาจจัดพิมพ์ หรือจัดแสดงกันในชั้นเรียน ที่งานโรงเรียน หรือที่ชุมชน เป็นต้น

2. จัดกลุ่มสนทนา อภิปรายความคิด โต้วาที ให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นได้แสดงออกถึงความรู้สึก ให้เด็กรู้ว่าความรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คำว่าอุทกภัยและ วาทภัยมีความหมายว่าอย่างไร สิ่งที่สำคัญคือให้เราได้รับบทเรียนอะไรบ้างโดยที่ไม่ว่าเรื่องจะจบลงด้วยความคิดทางบวกหรือเป็นความคิดทางลบก็ตาม

กิจกรรมต่างๆเหล่านี้คุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูสามารถทำร่วมกับเด็กๆได้ จะช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวลรวมทั้งความกลัวของลูกได้ สิ่งที่สำคัญคือการให้ความรักและความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อช่วยให้ทุกคนผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้ด้วยดี




จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 17-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


ธรรมชาติของไฟฟ้า รู้ไว้ไม่ตาย



ในภาวะน้ำท่วมอันตรายหนึ่งที่มองไม่เห็นและอาจนำไปสู่การเสียชีวิตคือ อันตรายจากไฟฟ้าโดยเฉพาะไฟฟ้าที่รั่วไหลอยู่ใต้ผิวน้ำ

ในภาวะน้ำท่วมอันตรายหนึ่งที่มองไม่เห็นและอาจนำไปสู่การเสียชีวิตคือ อันตรายจากไฟฟ้าโดยเฉพาะไฟฟ้าที่รั่วไหลอยู่ใต้ผิวน้ำ

รายงานการเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพจากน้ำท่วมของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ระบุว่าสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในภาวะน้ำท่วมของคนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมาจากไฟฟ้าดูด ซึ่งต่างจากต่างจังหวัดที่เสียชีวิตจากการจมน้ำ

ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า แต่ละคนมีการตอบสนองต่อกระแสไฟฟ้าต่างกัน ขึ้นกับสาเหตุหลายอย่าง เช่น เพศ วัยการฝึกฝน และประสบการณ์ที่เคยได้รับ อย่างไรก็ตาม เราอาจกำหนดเป็นช่วงของความรู้สึกได้โดยประมาณดังนี้

1 มิลลิแอมป์ (1 ใน 1000 แอมแปร์) เริ่มรู้สึก อาจรู้สึกจั๊กจี้ หรือรู้สึกเหมือนโดนเข็มเล็กๆ สะกิด โดยทั่วไปไม่เป็นอันตราย ยกเว้นคนที่มีภาวะหัวใจผิดปกติอยู่แล้ว

5 มิลลิแอมป์ เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นกระแสที่ยังปลอดภัยอยู่ หากสูงกว่านี้จะเริ่มอันตราย แทบทุกคนจะรู้สึกอย่างชัดเจนว่ามีกระแสไฟ อาจรู้สึกชาๆ แต่ยังคงควบคุมอวัยวะได้

10-20 มิลลิแอมป์ กล้ามเนื้อที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน จะเกิดการหดตัวแบบควบคุมไม่ได้ นั่นคือถ้ากำมือจับวัตถุที่ไฟรั่ว ก็จะไม่สามารถปล่อยมือได้นั่นเอง

100-300 มิลลิแอมป์ กล้ามเนื้อจะหดตัวอย่างแรงถึงฉีกขาดได้ ถ้าอยู่ในภาวะนี้นานจะเป็นอันตรายถึงชีวิต

6 แอมแปร์ กล้ามเนื้อจะหดตัวสุด หากสัมผัสชั่วขณะจะกลับสู่สภาพเดิม เหมือนถูก reset จึงใช้ในการกระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นอีกครั้งในคนไข้ที่หัวใจหยุดเต้น

"หากใช้กระแสไฟฟ้าขนาดนี้กับคนใกล้ตายหัวใจหยุดเต้น ก็อาจปลุกให้ฟื้นได้ หรือในทางกลับกัน หากใช้กับคนที่ปกติ ก็อาจจะทำให้ตายได้นั่นเอง" ผศ.พงษ์ อธิบายเพิ่ม

สิ่งที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับไฟฟ้าคือตัวกระแสไฟฟ้า จึงควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดกระแสไฟฟ้าผ่านร่างกาย ดังนี้

1. สังเกตบริเวณที่จะเข้าไป ว่ามีสายไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าจมน้ำอยู่หรือไม่ ถ้ามีหรือไม่แน่ใจให้ตัดกระแสไฟบริเวณนั้น แต่มีข้อสังเกตว่า ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่รั่วในน้ำ หรือที่ทำอันตรายต่อร่างกายได้นั้นเป็นปริมาณที่ไม่มากเลย ดังนั้น เครื่องตัดกระแสไฟฟ้าทั่วไปที่ไม่ใช่เครื่องตัดไฟรั่วจะไม่ตัดกระแสโดยอัตโนมัติ จึงอย่าหวังว่าเครื่องตัดไฟจะทำงาน ให้ตัดด้วยมือเพื่อความแน่ใจเสมอ

2. ถ้าไม่แน่ใจ ให้ทดสอบด้วยเครื่องตรวจวัดไฟรั่ว ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือตรวจวัดแบบทุ่นลอยน้ำ และตรวจโดยใช้ไม้แหย่ เครื่องตรวจที่เป็นแบบทุ่นลอยน้ำจะสามารถตรวจไฟรั่วจากสายไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แช่อยู่ในน้ำได้ แต่ถ้าขั้วไฟฟ้าที่รั่วจมอยู่ลึกๆ เช่น ปลั๊กตัวเมียที่จมอยู่ในน้ำ อาจไม่สามารถตรวจได้ เพราะกระแสไฟฟ้าที่รั่วจะวนอยู่รอบๆขั้วเท่านั้น ต้องใช้แบบไม้แหย่

ถ้าเป็นไม้ที่สร้างจากไขควงวัดไฟ ต้องระวังว่าไฟอาจไม่สว่างเพราะบริเวณที่เป็นอันตรายจะอยู่ใกล้ๆขั้วไฟฟ้าเท่านั้น ประกอบกับมีน้ำล้อมรอบ อาจจะทำให้ไขควงสว่างได้ยาก

3. กรณีที่เครื่องใช้ไฟฟ้าจมน้ำ และต้องการทดสอบว่าไฟรั่วหรือไม่ ไขควงวัดไฟเป็นตัวเลือกที่ดี และถ้าพบว่ามีไฟรั่ว ควรติดป้ายเตือนและหลีกเลี่ยงบริเวณรอบๆ

4. ถ้าน้ำไม่ลึกมาก รองเท้าบูตยางจะช่วยได้มาก เพราะยางเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี ไฟฟ้าผ่านได้ยาก การนั่งเรือที่เป็นฉนวน เช่น เรือไฟเบอร์หรือเรือไม้ก็ช่วยได้มากเช่นกัน ตรงข้ามกับเรือที่เป็นโลหะก็ปลอดภัยสำหรับคนที่อยู่บนเรือ แต่ไม่ปลอดภัยสำหรับคนที่อยู่ในน้ำและจับหรือเข็นเรืออยู่

5. ถ้าต้องการสัมผัสโลหะที่แช่น้ำอยู่ แต่กลัวว่าจะมีไฟรั่วโดยที่มองไม่เห็นหรือตรวจไม่พบ เช่น ลูกบิดประตูที่เป็นโลหะ หรือกรอบประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ให้ใช้หลังมือสัมผัสก่อน เพราะตามธรรมชาติเมื่อกล้ามเนื้อได้รับกระแสไฟฟ้า จะเกิดการหดตัว เมื่อเราใช้หลังมือสัมผัสและเกิดไฟฟ้ารั่วผ่าน ก็จะเป็นการชักมือหนีออกจากแหล่งที่ไฟรั่วนั้น แต่หากใช้ด้านหน้ามือไปสัมผัส เมื่อกล้ามเนื้อมือหดตัวก็จะกำแน่นขึ้น และอาจทำให้เสียชีวิตได้

ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องตรวจวัดไฟรั่วหลายแบบที่นำมาแจกจ่าย แต่เครื่องวัดทุกแบบก็มีข้อจำกัด ควรทำความเข้าใจการใช้งานก่อน และใช้ด้วยความระมัดระวัง

ขอให้ทุกท่านโชคดี และขอเป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นภัยจากไฟฟ้าและน้ำท่วมไปโดยเร็ว




จาก ....................... กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์สุขภาพ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 17-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


กปน.จัดทำคู่มือ "ข้อแนะนำการใช้น้ำประปาในภาวะน้ำท่วม"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประปานครหลวง (กปน.) ห่วงใยผู้ใช้น้ำที่ประสบปัญหาน้ำท่วมในขณะนี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้น้ำประสบปัญหาในการใช้น้ำประปา กปน. จึงมีข้อแนะนำ ดังนี้

1. กรณีที่พักอาศัยของท่าน มีถังพักน้ำใต้ดินและถูกน้ำท่วม ควรหยุดใช้น้ำจากถังพักน้ำชั่วคราว แล้วเปลี่ยนไปใช้น้ำประปาจากท่อภายในที่ต่อตรงจากหลังมาตรวัดน้ำแทน เนื่องจากน้ำที่ท่วมขังอาจไหลลงไปปะปน หรือซึมเข้าไปในถังพักน้ำ ทำให้น้ำมีสภาพไม่เหมาะสมต่อการใช้ หากน้ำยังท่วมไม่ถึงถังพักน้ำของท่าน ควรเตรียมป้องกันถังพักน้ำไว้ล่วงหน้า

2. ควรระมัดระวังไม่ใช้เครื่องสูบน้ำ (ปั๊มน้ำ) จากระบบท่อที่จมอยู่ใต้น้ำเพราะหากมีท่อแตกรั่วซึ่งมองไม่เห็น เครื่องสูบน้ำ (ปั๊มน้ำ) จะดูดสิ่งสกปรกเข้าสู่ระบบท่อได้

3. กรณีก๊อกจมอยู่ในน้ำ สามารถใช้สายยางที่สะอาดต่อจากก๊อกแล้วยกแขวนให้สูงขึ้น จะสามารถใช้น้ำได้ตามปกติ

4. น้ำประปาที่ กปน.ผลิตและสูบจ่ายเข้าสู่ระบบท่อประปา ได้ผ่านการตรวจสอบจากนักวิทยาศาสตร์ของ กปน. และสถาบันที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตน้ำท่วม หน่วยงานด้านสาธารณสุข อาทิ กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบและน้ำประปา และยืนยันว่าน้ำประปาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก ไม่เป็นอันตรายเพราะไม่มีสารพิษและเชื้อโรค

5. ขณะนี้ กปน. ได้เพิ่มปริมาณคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค จึงอาจมีกลิ่นคลอรีนในน้ำประปาที่บ้าน ท่านสามารถลดกลิ่นคลอรีนได้โดยรองน้ำประปาใส่ภาชนะเปิดฝาและตั้งทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที กลิ่นคลอรีนจะระเหยไป หรืออาจนำไปต้มก่อนดื่ม

6. กรณีจำเป็นต้องอพยพออกจากที่พักอาศัย โปรดปิดประตูน้ำ (วาล์ว) ที่มาตรวัดน้ำเพื่อป้องกันกรณีท่อรั่วภายในบ้าน ทำให้สูญเสียน้ำประปาโดยไม่จำเป็น

7. ท่านสามารถแจ้งและขอรับคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ "ศูนย์บริการประชาชน" โทร.1125 ตลอด 24 ชั่วโมง




จาก ....................... ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 19-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


น้ำท่วมนาน อาหาร เรื่องสำคัญสำหรับเด็ก


วิกฤติมหาอุทกภัยครั้งนี้กินเวลากลับเรามานานเกือบ 3 เดือน ปัญหาที่ตามมานอกจากชาวบ้านจะต้องอพยพไม่มีที่อยู่อาศัย การเดินทางต่างๆก็ถูกตัดขาด โชคดีหน่อยที่ในช่วงนี้ตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ขยายวันเปิดเรียน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

อีกปัญหาที่ตามมาระหว่างน้ำท่วมคือในเรื่องของโรคที่มากับน้ำและอาหาร โดยเริ่มต้นไปที่เรื่องโรคซึ่งคนทุกเพศทุกวัยต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเด็ก ที่ไม่มีความรู้ในการป้องกันและดูแลรักษาตัวเอง เป็นหน้าที่ผู้ปกครองจะต้องใส่ใจดูแล คือเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการกิน

โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า โรคที่มีความเสี่ยงการเกิดโรคสูงที่สุดขณะน้ำท่วมรวมไปถึงหลังน้ำลดด้วย คือ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน และปัญหาด้านสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมจากของเสียต่างๆ ดังนั้นชุมชนและประชาชนควรมีความรู้ในการป้องกันโรคอย่างถูกวิธี มิฉะนั้นจะส่งผลต่อการเกิดโรคระบาดต่างๆตามมาได้ง่าย

ทั้งนี้ จากรายงานเฝ้าระวังพิเศษโรคจากโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศในสถานการณ์อุทกภัย พบอัตราป่วยของประชาชนอันดับแรก คือ โรคอุจจาระร่วงถึง 3,146 ราย สาเหตุสำคัญมาจากโรคอาหารเป็นพิษที่เป็นโรคติดต่อทางอาหาร น้ำ ที่พบได้บ่อย เพราะประชาชนไปรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป

ในอาหารที่ปรุงสุกๆดิบๆจากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว และไข่เป็ด ไข่ไก่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนมที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ

นอกจากนี้อาจพบในอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านานๆ แล้วไม่ได้แช่เย็นไว้ หรือไม่ได้อุ่นให้ร้อนเพียงพอก่อนรับประทาน สาเหตุของอาหารเป็นพิษมีมากมาย และอาการของอาหารเป็นพิษก็มีหลากหลายตามไปด้วย อาจแบ่งชนิดของอาหารเป็นพิษได้หลายแบบ เช่น ตามชนิดของเชื้อ ตามสารพิษ หรือพิษในอาหาร หรือตามอาการเจ็บป่วย

ภาวะอาหารเป็นพิษมักจะไม่มีอาการรุนแรง และอาการจะเป็นไม่นาน ผู้ป่วยอาจมีเพียงอาการท้องเสียแค่สอง-สามวัน อาจมีไข้ต่ำๆ หรือบางคนไม่มีไข้เลยก็ได้ อาจเพียงรู้สึกปวดมวนท้องบ้างเล็กน้อย หากติดเชื้อบางชนิดทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ซึ่งถ้าถ่ายมากจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ได้ และบางรายอาจมีอาการรุนแรง เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ข้อและกระดูก ถุงน้ำดี กล้ามเนื้อหัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตจะทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการถ่ายเหลวเป็นเนื้อปนน้ำไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อทันที แต่หากมีอาการถ่ายเหลวตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป หรือมีถ่ายเป็นน้ำ 1 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน ให้ดื่มสารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส จะช่วยป้องกันและรักษาภาวะขาดน้ำ แต่เมื่อถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดจะต้องรีบไปพบแพทย์ทันที

โรคอาหารเป็นพิษเป็นโรคที่ประชาชนสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขอนามัยในการรับประทานอาหาร การเก็บอาหาร และการปรุงอาหาร รวมทั้งล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง จึงขอแนะนำง่ายๆ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษ คือ เลือกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างปลอดภัย เช่น นมที่ผ่านกระบวนการพาสเจอไรซ์ ผักผลไม้ควรล้างด้วยน้ำปริมาณมากๆให้สะอาดทั่วถึง ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน และรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ

รวมทั้งล้างมือให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นก่อนการปรุงอาหาร ก่อนรับประทาน และโดยเฉพาะหลังการเข้าห้องน้ำ ดูแลความสะอาดของพื้นที่สำหรับเตรียมอาหาร ล้างทำความสะอาดหลังการใช้ทุกครั้ง เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ ใช้น้ำสะอาดในการปรุงอาหาร

นอกจากนี้ยังมีความเป็นห่วงสำหรับกรณีเด็กว่าจะขาดอาหารช่วงน้ำท่วมที่กินระยะเวลานานหรือไม่ โดยอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ยังออกมาเตือนพ่อแม่ในภาวะน้ำท่วมให้ดูแลเด็กด้านอาหารและโภชนาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หากประสบภัยน้ำท่วมในระยะยาวนานจะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญาและอารมณ์ในระยะยาว และยากที่จะฟื้นกลับคืนปกติได้

นายสง่ากล่าวว่า ในภาวะน้ำท่วมติดต่อกันยาวนาน กลุ่มเด็กอายุแรกเกิด-5 ขวบ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพและภาวะโภชนาการมากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่ร่างกายและสมองมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งจำเป็นต้องได้รับสารอาหารจากอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วน เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายทุกมื้อ และการเจริญเติบโตของเซลล์ทุกเซลล์ เม็ดเลือด กระดูกและกล้ามเนื้อของเด็กไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ ไม่ว่าจะเป็นภาวะน้ำท่วมหรือภาวะวิกฤติใดๆ

การที่เด็กเล็กได้รับอาหารไม่เพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพติดต่อกันเพียง 2-4 สัปดาห์ ก็จะมีผลทำให้ร่างกายเด็กพร่องสารอาหารที่สำคัญหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุ จะนำไปสู่การขาดสารอาหาร อาการที่แสดงออกมาให้เห็นในระยะสั้นคือ การเจริญเติบโตของร่างกายไม่เต็มตามศักยภาพ น้ำหนัก ส่วนสูง ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน รูปร่างผอมใน ที่สุดภูมิต้านทานก็จะต่ำ เจ็บป่วยง่าย

โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทั้งหลาย หากไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการฟื้นฟูแก้ไข จะเพิ่มความรุนแรงและเกิดผลเสียต่อการเจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญาเด็กในอนาคต กล่าวคือเด็กจะตัวเตี้ย ผอม และไอคิวต่ำ

นายสง่าแนะต่อไปอีกว่า แม่ที่มีลูกอายุต่ำกว่า 6 เดือน และกำลังให้ลูกกินนมแม่อยู่ นับว่าลูกโชคดีมากในภาวะวิกฤติเช่นนี้ จงให้ลูกกินนมแม่ต่อไปเป็นปกติ แต่แม่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงความกังวล ความเครียด เพราะหากแม่เครียดอย่างต่อเนื่องจะทำให้ฮอร์โมนที่สร้างน้ำนมหลั่งออกมาน้อย จะมีผลทำให้น้ำนมไหลน้อยหรือหยุดไหลได้

ส่วนแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตนเองต้องพึ่งนมผสมนั้น ต้องรีบเคลื่อนย้ายทั้งแม่และลูกให้มาอยู่ในสถานที่ที่สามารถเข้าถึงนมผสมสำหรับทารกให้ได้ ไม่แนะนำให้นั่งรอขอความช่วยเหลือจากภายนอก ถ้าชุมชนใดมีแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองหลายๆ คนอาจรวมกลุ่มกัน แบ่งปันนมตนเองให้ลูกเพื่อนบ้านในลักษณะเป็นแม่นม แต่ต้องมั่นใจว่าแม่นมเหล่านั้นต้องไม่ติดเชื้อเอชไอวี

สำหรับเด็กเล็กถึง 1 ขวบ เป็นวัยที่ต้องได้รับอาหารอื่นนอกจากนมแม่เสริมอีกทางหนึ่ง เพราะลำพังนมแม่แม้ว่าคุณค่าทางโภชนาการจะยังพร้อมมูลอยู่ แต่ปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเด็กที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงต้องเริ่มให้ข้าวบดผสมน้ำแกงจืด ไข่แดงต้มสุกสลับกับเนื้อปลา หมู ไก่และตับสัตว์ และผสมผักใบเขียว ฟักทอง แครอต มะเขือเทศต้มสุกผสมลงไป โดยเด็กอายุ 6-8 เดือน กินอาหารเหล่านี้ทดแทนนมแม่ได้ 1 มื้อ

ส่วนเด็ก 8-10 เดือน กินทดแทนนมแม่ได้ 2 มื้อ พอครบ 11-12 เดือน กินทดแทนนมแม่ได้ 3 มื้อ หากแม่มีความจำเป็นต้องใช้อาหารทารกกึ่งสำเร็จรูปต้องมั่นใจว่าเด็กได้โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ จากผักและเนื้อสัตว์พอ ควรบดผสมลงไปด้วย แต่อย่าลืมให้ลูกกินนมแม่ควบคู่กันไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น

ส่วนเด็กอายุ 1-5 ขวบ นับเป็นกลุ่มที่น่าห่วงเช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าเด็กวัยนี้ร่างกายและสติปัญญายังต้องการสารอาหารที่มีคุณค่าไปหล่อเลี้ยงให้เติบโตสมวัย แต่เด็กเหล่านี้มักจะถูกละเลย เพราะพ่อแม่คิดว่าเขาโตแล้ว และช่วยเหลือตนเองได้ ประกอบกับพ่อแม่ไม่มีเวลา มัวแต่ไปแก้ปัญหาน้ำท่วมและสาระวนอยู่กับลูกคนเล็ก จึงปล่อยให้ลูกกินตามมีตามเกิด

ดังนั้นพ่อแม่ต้องใส่ใจดูแลอาหารลูกเป็นพิเศษ ต้องแบ่งปันอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เด็กเล็กกินก่อน อาหารที่มีคุณค่าในภาวะน้ำท่วมคงหนีไม่พ้นไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่เจียว ไข่น้ำ หมูทอด ไก่ทอด ปลาทูนึ่งและปลากระป๋อง สามารถดัดแปลงปรุงได้สารพัดเมนู เมนูเหล่านี้ควรปรุงด้วยเกลือและน้ำปลาเสริมไอโอดีน แต่อย่าลืมต้องให้เด็กดื่มนมรสจืดวันละ 2-3 กล่อง เป็นอาหารเสริม ต้องดูแลอาหารว่างของเด็ก ไม่ควรปล่อยให้ลูกกินแต่น้ำอัดลมและขนมกรุบกรอบทั้งวัน

ในภาวะน้ำท่วม พ่อแม่เครียดจัด ไม่มีเวลาเล่นกับลูก จึงพลอยทำให้ลูกเครียดไปด้วย จงตั้งสติและหาเวลาโอบกอดลูก นั่งเล่านิทานให้ลูกฟัง พูดคุยเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำท่วม การเล่นกับลูก เสียงหัวเราะของลูก เป็นการผ่อนคลายความเครียดในบ้านได้ในระดับหนึ่ง และช่วยพัฒนาการของลูกได้ด้วย

"น้ำท่วมบ้าน แต่อย่าให้น้ำท่วมสติ ถ้ามีสติจะเกิดปัญญาที่จะดูแลบุตรหลานด้านอาหารและโภชนาการ อย่าให้น้ำท่วมไปสร้างตราบาปโดยปล่อยให้ลูกหลานขาดสารอาหารซึ่งยากที่จะฟื้นกลับคืนสู่ภาวะปกติได้" นายสง่ากล่าวทิ้งท้าย.




จาก ....................... ไทยโพสต์ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 19-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


คู่มือคำนวณ "ค่าใช้จ่าย" วัสดุ-ค่าแรงฟื้นฟูบ้าน


เป็นความเสียหายครั้งใหญ่จากมหาอุทกภัยที่ว่ากันว่าหนักที่สุดในรอบ 50 ปี เชื่อว่าภาพที่อยู่อาศัยและโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากต้องอยู่ในสภาพ จมบาดาล จะยังคงเป็นภาพติดตาคนไทยไปอีกพักใหญ่

แต่วิกฤตก็ย่อมมีวันจบ หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย กรุงเทพฯ ปริมณฑล และอีกหลายจังหวัด จะต้องเข้าสู่โหมด "ซ่อมแซม" ขนานใหญ่ โดยก่อนหน้านี้ "อิสระ บุญยัง" นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรประเมินว่า น่าจะมีบ้านจัดสรรถูก น้ำท่วมกว่า 100,000 หลัง และถ้านับรวมถึงบ้านปลูกสร้างเอง (นอกหมู่บ้านจัดสรร) และตึกแถว น่าจะมีบ้านทั่วประเทศถูกน้ำท่วมสูงถึง 500,000 หลัง

"ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจราคาวัสดุหลัก-ค่าแรงที่จะต้องใช้ซ่อมแซมบ้าน หลังน้ำลด และนำมาประมาณการค่าใช้จ่ายซ่อมบ้าน โดยพบว่าในกรุงเทพฯ ปริมณฑลส่วนใหญ่ถูกน้ำท่วมสูงตั้งแต่ "หน้าแข้ง" จนถึง "หน้าอก" หรือตั้งแต่ระดับกว่า 0.30-2.00 เมตร ซึ่งกรณีที่ท่วมขังตั้งแต่ 2-4 สัปดาห์ขึ้นไปก็มักจะสร้างความเสียหายให้กับส่วนต่าง ๆ อาทิ พื้น ผนัง ประตู หน้าต่าง สวิตช์ไฟ ฯลฯ หรือแม้กระทั่งสนามหญ้าจึงควรสำรวจและเร่งซ่อมแซมทันที


"พื้นไม้-สี-วอลเปเปอร์" ไม่สู้น้ำ

"พื้น" ถือเป็นพื้นที่ส่วนแรกที่จะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ไม่ว่าน้ำจะท่วมแค่ไม่กี่เซนติเมตรก็ตาม วัสดุมักหนีไม่พ้น 1) กระเบื้อง 2) ไม้ลามิเนตหรือไม้ปาร์เกต์ และ 3) หินอ่อนหรือหินแกรนิต

ในจำนวนวัสดุ 3 ตัวนี้ "กระเบื้อง" สามารถทนการแช่น้ำได้นาน แต่อาจเกิดความเสียหายได้กรณีที่มีน้ำท่วมขังใต้พื้นดินเป็นจำนวนมาก และเกิดแรงดันตามร่องจนทำให้แผ่นกระเบื้องล่อนเสียหายก็จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่

"ไม้ลามิเนต-ไม้ปาร์เกต์" ไม่สามารถ ทนน้ำได้ หากถูกน้ำท่วมไม่กี่ชั่วโมงมีโอกาสหลุดล่อนหรือเกิดเชื้อราภายใน เนื้อไม้ได้ จึงควรรื้อออกและปูใหม่

ส่วน "หินอ่อน-หินแกรนิต" สามารถทนน้ำได้ แต่หากแช่น้ำเป็นเวลานาน จะเกิดรอยด่าง สามารถแก้ไขโดยใช้เครื่องขัดซึ่งมีค่าแรงค่อนข้างสูง เฉลี่ยตารางเมตรละ 400-500 บาท

ถัดมาคือ "ผนัง" วัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่มี 2 แบบ 1) ทาสี และ 2) ติดวอลเปเปอร์

กรณีทาสีปัญหาที่ตามมาหลังน้ำท่วมประมาณ 2 สัปดาห์คือ คราบตะไคร่-เชื้อรา และสีหลุดล่อน การซ่อมแซมต้องใช้แปรงขัดตะไคร่และเชื้อราออก ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง 3-4 สัปดาห์จึงทาสีใหม่ และควรจะต้องทาสีผนังภายในและเพดานทุกด้านเพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างระหว่างสีเก่าและใหม่ ส่วนผนังภายนอกหากน้ำไม่ได้ท่วมสูงอาจขัดตะไคร่และเชื้อราออกก็เพียงพอ

ซึ่งกรณีที่จะซื้อสีมาทาเองในตลาดมีตั้งแต่ราคาถังละ 900-3,500 บาท (ขนาดถัง 5 แกลลอน) มีหลักการคำนวณคือ สีถังใหญ่ขนาด 5 แกลลอน จะทาได้พื้นที่ 30 ตารางเมตร และจะต้องทาทั้งหมด 2 ครั้ง ส่วนบ้านหลังไหนที่ติด "วอลเปเปอร์" ก็ต้องบอกว่า...งานเข้า เพราะนอกจากจะเป็นรอยด่างยังมีความเสี่ยงเกิดเชื้อราสูง จึงควรรื้อทิ้งทำความสะอาดทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์จึงค่อยทาน้ำยาฆ่าเชื้อราและปิดวอลเปเปอร์ใหม่


"ประตู-หน้าต่างไม้" เสี่ยงบวม

นอกจากพื้นแล้ว รายการต่อมาคือ "ประตูไม้" เป็นวัสดุอีกตัวที่มีโอกาส เสียหายจากการบวมทำให้เปิด-ปิดลำบาก ถึงแม้มีน้ำท่วมขังภายในบ้านเพียงเล็กน้อย นอกจากการเปลี่ยนบานประตูใหม่ซึ่งมีราคาหลากหลาย ตั้งแต่ประตูไม้อัดเริ่มต้นบานละ 1,000 บาท ประตูไม้เต็งราคาประมาณบานละ 4,000 บาท ไปจนถึงประตูไม้สักราคาบานละ 10,000-15,000 บาท หากไม่เน้นเรื่องความสวยงามมากนักอาจใช้วิธีไสหรือเลื่อยไม้ส่วนที่บวมออกก็ได้

ส่วนถ้าระดับท่วมสูงเกินกว่า 0.80 เมตร "หน้าต่างไม้" ก็มีโอกาสถูกน้ำและบวมได้ การซ่อมแซมคือเปลี่ยนหรือไส-เลื่อยส่วนที่บวมออกเช่นเดียวกัน


"สวิตช์ไฟ-สนามหญ้า" อย่าละเลย

จากพื้นและผนัง หากบ้านถูกน้ำท่วมตั้งแต่ 0.80-1.00 เมตร สวิตช์ไฟมักเป็นจุดที่เสียหายถูกน้ำเข้า การแก้ไขเบื้องต้นให้สับคัตเอาต์ เปิดฝาครอบสวิตช์ออก และทำความสะอาดแผงสวิตช์ให้แห้งและทิ้งไว้ 3-5 วัน

หากที่บ้านมีคัตเอาต์หรือเซฟ-ที-คัทให้ทดลองเปิด-ปิดสวิตช์ดู หากไม่สามารถใช้งานได้ก็ต้องเปลี่ยนแผงสวิตช์ใหม่ ซึ่งมีราคาตั้งแต่ชุดละ 100-500 บาทแล้วแต่ยี่ห้อ และค่าแรงอีกจุดละประมาณ 100 บาท

ส่วนถ้าเป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่สนามหญ้าในรั้วบ้าน หญ้าที่ถูกแช่น้ำนาน 2-4 สัปดาห์มีโอกาสจะตายได้ หากไม่สามารถระบายน้ำออกได้ทันก็จำเป็นต้องปูหญ้ากันใหม่ โดยเฉลี่ยการปูหญ้าจะเป็นการเหมาพร้อมค่าแรงเริ่มต้นตารางเมตรละ 100 บาทขึ้นไป

นอกจากนี้ ยังมีงาน "รั้วไม้" ที่อาจจะเกิดสีลอกล่อนหรือเป็นตะไคร่สามารถ ขัดออกและซื้อสีทาไม้มาทาเองได้ มีราคาเริ่มต้นกระป๋องละ 300-1,000 บาท

เบ็ดเสร็จหากน้ำท่วมบ้านในระดับ 0.30-0.50 เมตร ก็จะมีค่าใช้จ่ายซ่อมแซมเริ่มต้น 30,000-110,000 บาท (ขึ้นกับวัสดุที่เปลี่ยนใหม่) ส่วนถ้าท่วมระดับ 1.00-2.00 เมตร ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 65,000-145,000 บาท





จาก ....................... ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 21-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


เตือนรื้อหลังคา-ฝ้า ระวังรับแร่ใยหินแนะลดฝุ่นทำให้เปียกก่อนซ่อมบ้าน



สสส.-คคส.เตือน รื้อกระเบื้องมุงหลังคาบ้าน ฝ้า เพดาน กระเบื้องปูพื้นหลังน้ำลด ระวังได้รับแร่ใยหิน เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ พร้อมออกคู่มือให้ความรู้ แนะวิธีป้องกันลดฝุ่นด้วยการทำให้เปียก ใส่หน้ากากที่เหมาะสม แนะเลือกวัสดุใหม่ อย่าลืมดูคำเตือนบนสินค้า

รศ.ดร วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 60 ปีที่ผ่านมา มีพื้นที่ได้รับผลกระทบเกือบ 60 จังหวัดทั่วประเทศไทย น้ำท่วมใหญ่ในปีนี้ ทำให้บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายอย่างมาก ซึ่งหลังจากน้ำลดจะต้องมีการซ่อมแซม สิ่งที่ควรระวังนอกจากเรื่องโรคที่มากับน้ำ ยังต้องให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ ที่ต้องซ่อมแซม โดยพบว่า กระเบื้องมุงหลังคา ฝ้า และกระเบื้องปูพื้นจำนวนมาก มีส่วนผสมของแร่ใยหิน หรือ แอสเบสตอส เป็นส่วนประกอบ การรื้อถอนทุบทำลาย และขนย้าย ทำให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นแตกกระจาย ทำให้อนุภาคของแร่ใยหินที่อยู่ในวัสดุก่อสร้างฟุ้งกระจายเข้าสู่ปอดได้ ซึ่งเป็นสาเหตุเกิดโรคอันตรายร้ายแรง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด หรือ เมโสเทลิโอมา รวมทั้งสามารถทำให้เกิดโรคผังผืดปอดอักเสบที่เรียกว่า แอสเบสโตซีสได้

“การรื้อถอน ซ่อมแซมบ้านเรือน อาคารสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีวัสดุที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ จำเป็นต้องมีวิธีการป้องกัน เพื่อไม่ให้ผู้รื้อถอนได้รับอันตรายจากแร่ใยหิน หรือ แอสเบสตอส โดยมีมาตรการสำคัญ คือ 1.ผู้รื้อถอนต้องสวมใส่หน้ากากป้องกันที่เหมาะสม เพราะละอองจากแร่ใยหินมีขนาดอนุภาคที่เล็กมาก หน้ากากโดยทั่วไปไม่สามาถป้องกันได้เพียงพอ 2.ป้องกันไม่ให้เกิดอนุภาคหรือฝุ่นละอองในระหว่างที่มีการรื้อถอน การทุบทำลาย หรือ การขนย้าย โดยอาจทำให้วัสดุที่ต้องรื้อถอนเปียกก่อนเพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง และ 3.คัดแยกเศษวัสดุที่มีแร่ใยหินโดยใส่ถุงเฉพาะ ป้องกันไม่ให้เกิดการแตกหักที่จะทำให้ฟุ้งกระจายเป็นอันตรายและป้องกันไม่ ให้มีการนำมาใช้อีก” รศ.ดร.วิทยา กล่าว

รศ.ดร.วิทยา กล่าวว่า สำหรับการเลือกซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมบ้านเรือน ควรเลือกซื้อวัสดุที่ไม่มีแร่ใยหิน เช่น กระเบื้องหลังคา ฝ้า กระเบื้องปูพื้น ผู้ซื้อดูได้จากการที่กระเบื้องหลังคา ฝ้า กระเบื้องปูพื้น ที่มีแร่ใยหิน โดยจะต้องแสดงคำเตือนบนสินค้าว่า “ระวังอันตราย ผลิตภัณฑ์นี้มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ การได้รับสารนี้เข้าสู่ร่างกาย อาจก่อให้เกิดมะเร็งและโรคปอด” ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. กำหนดไว้ หากผู้ขาย ไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือ จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ ทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้ผลิต หรือ ผู้นำเข้า หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ดร.วันทนี พันธุ์ประสิทธิ์ ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดทำคู่มือให้ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการรื้อถอนกระเบื้องซีเมนต์มุงหลังคา ฝ้าเพดาน ฝากั้นห้อง กระเบื้องยางปูพื้น ที่มีวัสดุแร่ใยหินเป็นองค์ประกอบ ผู้ที่สนใจและประชาชนที่ต้องการรื้อถอนอาคาร หรือซ่อมแซมบ้านเรือน สามารถดูข้อมูลได้ที่ www.thaihealthconsumer.org/ และ www.noasbestos.org




จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:48


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger