![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
คัน 'หู' คู่โรค ![]() อาการคันหูไม่เข้าใครออกใคร ความทรมานขึ้นอยู่กับคันมากคันน้อย ถ้าคันพอสังเขปเป็นรสชาติชีวิต แต่ถ้าคันยิกลิงเข้าก็เอาเรื่อง “มุมสุขภาพ” วันนี้ “นพ.กฤษดา ศิรามพุช” ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกเล่าถึง อาการ “คัน” ยิ่งถ้าเป็นอวัยวะที่มีซอกหลืบเยอะอย่าง “หู” ก็มักตีคู่มากับการเกา และขั้นกว่าคือมีเครื่องมือช่วย นั่นคือ “ไม้แคะหู” อุปกรณ์คู่มือยิ่งเกายิ่งมัน ยิ่งคันก็ยิ่งเกา และยิ่งเละ เพราะการลากไม้แคะไปในท่อหูอ่อนๆ แต่ละครั้งจะทำให้เกิดรอยแผลเล็กๆ ขึ้นมากมายโดยเราไม่รู้ตัว ปรากฏการณ์เจ็บๆคันๆยันหูอื้อจำต้องมีผู้ร้ายที่ต้องหาให้เจอ เพราะบางทีถ้าเผลอไปคันเอาสุ่มๆจะเป็นเรื่องเนื่องด้วยหูเป็นอวัยวะซับซ้อนไม่ได้ใช้กั้นสมองอย่างเดียว หากแต่ช่วยในการทรงตัวให้เรายืนอยู่ติดพื้นได้ ถ้าเกิด “หูพัง” หรือ “หูดับ” จากเส้นประสาทขึ้นมาแล้วจะมีผลต่อการเดินดินของเรามากเลย ซึ่งนับไปมาแล้วก็มีผู้ร้ายใกล้หูอยู่มากพอดู เริ่มจาก “แคะหูถี่” มีตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาคือ “ไม้แคะหู” ถ้าเป็นไม้ธรรมดาก็ยังพอว่า แต่ถ้าหาไม้ไม่ได้แล้วจำต้องใช้ของใกล้ตัวอย่าง “เส้นผม” หรือ “ไม้จิ้มฟัน” แล้วละก็มีสิทธิ์ “หูป่วย” ได้เร็วขึ้น โดยเป็นได้ตั้งแต่รูหูอักเสบไปจนถึงแก้วหูทะลุหนองทะลัก วิธีแก้คืออย่าแคะหูถี่ไป โดยเฉพาะหลังอาบน้ำหูแฉะใหม่ๆ ไม่ควรแคะทันทีและถ้ามีอาการเจ็บๆคันๆ ก็อาจต้องให้คุณหมอช่วยส่องดูสักนิด เพราะอาจมีเชื้อราแพร่พันธุ์อยู่ ![]() “มีอุบัติเหตุ” นอกจากการถูกกระทบกระแทกหูอย่างแรงจากการตกตึก, รถชน, ถูกสัมผัสบ้องหูด้วยหลังมือ แล้วอุบัติเหตุร้ายที่ทำลายหูที่สำคัญคือ “เสียง” ครับ เสียงที่ดังเกิน 70 เดซิเบล (บ้านอยู่ติดถนนก็ใช่แล้ว) ก็เริ่มทำลายการได้ยินของหู ถ้าดังมากเกิน 100 เดซิเบลจะทำลายประสาทหูชั้นในจนทำให้หูดับอย่างถาวรได้ การใช้หูฟังก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะหูฟังชนิดเสียบเข้าไปลึกล้ำแทบถึงก้านสมอง ต้องพักหูบ้าง “ว่ายน้ำบ่อย” ฉลามน้อยฉลามใหญ่แต่ไม่ใช่ฉลามบกมักมีปัญหา “หูแฉะ” เพราะแคะหูหลังว่ายน้ำ และน้ำนั่นเองที่เป็นตัวทำให้ “หูเปื่อย” โดยเฉพาะท่อหูส่วนนอก นักว่ายน้ำเป็นกันมาก เรื่อง “หูส่วนนอกอักเสบ (External Otitis)” จนฝรั่งตั้งชื่อให้โรคนี้ว่าเป็นโรคหูนักว่ายน้ำ(Swimmer’s ear) อาการที่ว่าอาจเป็นในคนที่เพิ่งว่ายน้ำใหม่ๆก็ได้ เกิดจากหูเปียกแล้วมือไม่อยู่สุขไปแคะเข้า และ “ร้อยภูมิแพ้” แก้ไม่ยากหาก “คุมแพ้” ให้อยู่หมัด อาการภูมิแพ้สามารถขึ้นไปจมูก, ลูกตา และหูได้ทำให้คันยุบยิบเชียว ท่านที่ขึ้นเครื่องบินจะสังเกตได้ว่าเวลาเครื่องขึ้นหรือลงจะมีเสียงเด็กร้องฟีเจอริ่งเข้ามาด้วยเสมอ เพราะอาการตันที่ท่อหูจากภูมิแพ้ทำให้เจ็บปวดมากเวลาเครื่องบินเปลี่ยนระดับจากความดันอากาศข้างใน ให้คุมโรคแพ้ด้วยการออกกำลังกับกินอาหารต้านแพ้จะช่วยได้มาก ที่สำคัญการ “แก้ด้วยยา” ยาไม่ใช่ทางออกของร้อยโรคเสมอไป ยากินหลายอย่างที่ทำลายหูโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อกลุ่มแบคทีเรียทางเดินปัสสาวะและทางเดินอาหาร หรืออย่างยาฆ่าเชื้อ “วัณโรค” อย่างสเตร็ปโตมัยซินฉีดแล้วก็ทำให้ประสาทหูเสียได้ บางรายมีเสียงวิ้งๆหึ่งๆ น่ารำคาญเหมือนมีสถานีวิทยุหรือวงมโหรีไม่ได้รับเชิญอยู่ในหัว ฟังมากๆ พาลจะเป็นโรคประสาทเอา บางครั้งแม้หยุดยาแล้วอาการก็ยังไม่หายเพราะประสาทหูเสียถาวรไปแล้ว อยากขอวอนให้ใช้ยาตามความจำเป็น. จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 5 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
หายปวดฟันทันใจ 'เกลือสมุทร-สารส้ม' ![]() สูตรสามัญประจำบ้านบรรเทาอาการปวดฟันทุเลาลงในเวลาไม่ช้า ทำอย่างไรให้เกลือสมุทรกับสารส้มให้สรรพคุณแก้ปวดฟัน? เวลามีอาการปวดฟัน ทรมานอย่าบอกใคร ผู้ที่เคยมีประสบการณ์คงเข้าใจความรู้สึกนั้นดี 'มุมสุขภาพ' สรรหาสูตรยาภูมิปัญหาชาวบ้าน เสมือนเป็นยาแก้ปวดฟันแบบเฉพาะหน้ายามที่ยังไม่สามารถพบทันตแพทย์ได้ สูตรนี้ให้เตรียมเกลือสมุทรเอาไปตำให้ละเอียด 1/2 ช้อนชา และสารส้มที่นำไปตำละเอียดเช่นเดียวกันอีก 1/2 ช้อนชา ได้แล้วใส่ถ้วยเพื่อผสมให้เข้ากัน จากนั้นล้างมือให้สะอาด ก่อนใช้นิ้วป้ายส่วนผสมแล้วทาเข้าไปในช่องปากตรงบริเวณที่รู้สึกปวดฟัน ช่วยลดอาการปวดฟันได้ในไม่ช้า หากเกรงว่าส่วนผสมจะกระจายตัวเร็วเกินไป ให้ห่อเกลือสมุทรและสารส้มละเอียดนั้นด้วยสำลีแผ่นบางหุ้มผ้าก๊อส เอาใส่ปากกัดเบาๆไว้ให้ตรงบริเวณที่ปวดฟันก็ได้เช่นกัน แม้สารส้มจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะส่วนใหญ่ก็นิยมใช้สารส้มแกว่งน้ำเพื่อให้สิ่งสกปรกตกตะกอน แล้วนำนำมาไปดื่มไปใช้ แต่หากกินสารส้มในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้บางคนเกิดแพ้พิษของสารส้ม ซึ่งจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ซึม อย่างไรก็ตาม หลังบรรเทาอาการปวดด้วยสูตรเกลือสมุทรกับสารส้มแล้ว ควรไปพบทันตแพทย์ตรวจหาสาเหตุของการปวดฟันและรับการรักษาให้ตรงจุด. จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 21 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
จะทำอย่างไรเมื่อมีความเสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางพันธุกรรมธาลัสซีเมีย (ตอน 1) โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย คือ โรคพันธุกรรมระบบเลือดที่พบบ่อยในประเทศไทย เกิดความผิดปกติในการสังเคราะห์โปรตีนโกลบิน ซึ่งเป็นโครงสร้างของเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่าย โดยปกติเม็ดเลือดแดงจะทำหน้าที่นำออกซิเจนที่ได้รับจากการหายใจไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง ไต กล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายอยู่ในสมดุลปกติ ดังนั้น เมื่อเม็ดเลือดแดงแตกจะส่งผลให้ร่างกายซีด เนื่องจากสารเหลืองจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงจะออกมาในกระแสเลือด ทำให้ตัวเหลือง ตาเหลือง ร่างกายอ่อนเพลีย ถ้าเป็นมาก ตับ ม้าม จะทำงานหนักมากขึ้นในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงทดแทนที่ขาดไป และอาจมีภาวะหัวใจล้มเหลวจนถึงแก่ชีวิตได้ โรคธาลัสซีเมียถือได้ว่าเป็น “โรคประจำถิ่น” เป็นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย สามารถ่ายทอดต่อกันได้ภายในครอบครัวโดยทั่วไป ผู้ที่มีพันธุกรรมของโรคธาลัสซีเมียแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ 1.ผู้ที่มียีนแฝง (พาหะ) ผู้ที่มีพันธุ์ (ยีน) ของโรคธาลัสซีเมียแฝงอยู่จะไม่แสดงอาการ ดังนั้นผู้ที่เป็นพาหะจะมียีนผิดปกติเพียงข้างเดียว และยังคงมียีนที่ปกติเหลือเพียงพอที่จะทำหน้าที่ทดแทนยีนที่ผิดปกติได้ สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ ซึ่งคนที่มียีนแฝงจะมีลักษณะหน้าตาปกติ และมีสุขภาพปกติเหมือนบุคคลทั่วๆ ไป ในประเทศไทยพบได้ประมาณร้อยละ 40 ของประชากรทั้งหมด หมายความว่าประชากรไทย 60 ล้านคน จะมีผู้ที่มียีนผิดปกติเหล่านี้ถึง 24 ล้านคน 2.ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย โรคธาลัสซีเมียมีระดับความรุนแรงที่หลากหลาย ตั้งแต่ซีดเล็กน้อยหรือปานกลาง จนกระทั่งซีดมากและเรื้อรัง ตับและม้ามโต ต้องรับเลือดเป็นประจำ บางรายไม่เคยมีอาการเลย แต่เมื่อต้องประสบภาวะเจ็บป่วย มีไข้ติดเชื้อ บุคคลเหล่านี้จะมีอาการซีดลง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย ในขณะที่บางชนิดทารกที่เป็นโรคนี้อาจเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือตั้งแต่แรกเกิดไม่เกิน 1 วัน ในประเทศไทยพบผู้เป็นโรคนี้ประมาณร้อยละ 1 ของประชากร หรือประมาณ 6 แสนคน โอกาสเสี่ยงและการถ่ายทอดของโรคธาลัสซีเมีย โรคธาลัสซีเมียถ่ายทอดแบบพันธุ์ด้อย กล่าวคือ หากมีความผิดปกติเพียงยีนเดียวจะไม่ปรากฏอาการ แต่หากมีความผิดปกติของยีนทั้ง 2 ข้าง จึงจะแสดงอาการ ซึ่งมีโอกาสเกิดโรคได้ทั้งเพศหญิงและเพศชายเท่าๆ กัน แบ่งได้เป็น 4 กรณี ดังต่อไปนี้ กรณีที่ 1 ถ้าท่านและคู่ของท่านเป็นพาหะหรือมียีนแฝงทั้ง 2 คน ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียร้อยละ 25, มียีนแฝงร้อยละ 50 และเป็นปกติร้อยละ 25 กรณีที่ 2 ถ้าท่านหรือคู่ของท่านมียีนแฝงคนใดคนหนึ่งและอีกคนปกติ ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสมียีนแฝงร้อยละ 50 และเป็นปกติร้อยละ 50 กรณีที่ 3 ถ้าท่านหรือคู่ของท่านเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียคนใดคนหนึ่งและอีกคนปกติ ในการตั้งครรภ์ทุกครั้ง ลูกของท่านทุกคนมีโอกาสมียีนแฝง หรือเท่ากับร้อยละ 100 กรณีที่ 4 ถ้าท่านหรือคู่ของท่านเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียคนใดคนหนึ่งและอีกคนมียีนแฝง ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียร้อยละ 50 และมียีนแฝงร้อยละ 50 ข้อมูลจาก ดร.นพ.โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 23 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ตาบวมทำไงดี ![]() มีหลายคนสงสัยว่าทำไมบางวันตื่นนอนขึ้นมาตาถึงบวม หรือบางทีร้องไห้มากๆ ก็ตาบวมเหมือนกัน จะเป็นสัญญาณอันตรายอะไรหรือไม่ แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร เผื่อต้องออกจากบ้านไปทำธุระข้างนอกจะได้ไม่อายใคร เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย และหัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า อาการตาบวมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เกิดจากน้ำที่เป็นส่วนประกอบของเลือดซึมออกมาคั่งที่บริเวณเนื้อเยื่อรอบเปลือกตา เป็นอาการที่ไม่รุนแรง และเป็นความผิดปกติของแต่ละบุคคลซึ่งไม่เหมือนกัน คนที่มีอาการดังกล่าวควรได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงว่า เกิดจากอะไร สาเหตุของตาบวมที่พบบ่อย เช่น 1. ภูมิแพ้ แพ้ฝุ่น แพ้อาหารทะเล แพ้เกสรดอกไม้ อาจทำให้ตาบวมได้ โดยในคนที่เป็นภูมิแพ้นั้นมักจะมีอาการตาบวมในตอนเช้า 2. อาการตาบวมอาจมีสาเหตุมาจากไตทำงานบกพร่อง หรือหัวใจบีบตัวไม่เต็มที่ ทำให้เกิดการบวมบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ในตอนเช้าจะบวมที่หน้า ตอนเย็นบวมที่ขา หรือตอนนอนหน้าบวม ตาบวม กรณีเช่นนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดหาสาเหตุที่แท้จริง 3. อาจเป็นธรรมชาติของคนๆนั้นที่ตาบวมง่าย ส่วนปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการตาบวม เช่น การนอนดึก การร้องไห้ เป็นต้น การดื่มน้ำมากๆ ไม่มีผลทำให้ตาบวมแต่อย่างใด วิธีแก้ปัญหาอาการตาบวม ถ้าอาการบวมเกิดจากภูมิแพ้ หรือการแพ้ ก็ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดการแพ้ กรณีนี้แพทย์อาจให้ยาแก้แพ้คนไข้ไปรับประทานด้วย ส่วนอาการบวมจากไตทำงานบกพร่อง หรือหัวใจทำงานไม่เต็มที่ก็ต้องไปรักษาที่ต้นเหตุ ปกติอาการตาบวมมักจะเป็น 2 ข้าง แต่ถ้าตาบวมข้างเดียวร่วมกับการอักเสบส่วนใหญ่จะเป็นตากุ้งยิง ทั้งนี้แพทย์อาจแนะนำให้คนไข้ประคบด้วยความเย็นเพื่อลดอาการตาบวม ด้วยการใช้เจลแช่เย็นประคบรอบดวงตา ซึ่งความเย็นจะดึงน้ำกลับเข้าสู่เส้นเลือด ทำให้อาการบวมลดลง นอกจากนี้อาจแนะนำการนอน เช่น ไม่นอนหัวราบ เวลานอนควรหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นกว่าปกติ ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตว่า ให้ใช้แตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นๆ วางที่เปลือกตา หรือนำถุงชาที่ชงรับประทานแล้วไปแช่เย็นแล้วนำถุงชานั้นมาวางทาบบนเปลือกตา หรือ นำผ้าสะอาดชุบน้ำเย็น มาวางทาบที่บริเวณดวงตานั้น รศ.นพ.ศักดิ์ชัย บอกว่า หลักสำคัญคือ เป็นการใช้ความเย็นลดอาการบวมจากเปลือกตานั่นเอง สรุปว่าตาบวมนอกจากจะเป็นธรรมชาติของแต่ละคนแล้ว อาจเกิดจากภูมิแพ้ ไตหรือหัวใจทำงานผิดปกติก็ได้ ดังนั้นหากใครที่มีอาการตาบวมเป็นประจำไม่ควรนิ่งนอนใจควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง จะได้รักษาตรงจุด. จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์ x-ray สุขภาพ วันที่ 25 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
จะทำอย่างไรเมื่อมีความเสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางพันธุกรรมธาลัสซีเมีย (ตอน 2) ท่านจะทราบได้อย่างไรว่า "มียีนแฝง (เป็นพาหะ)" หรือเป็น “โรคธาลัสซีเมีย” 1. การซักประวัติครอบครัว 2. การวินิจฉัยโดยการเจาะเลือด ซึ่งเป็นการตรวจเลือดพิเศษที่เฉพาะเจาะจงในเรื่องโรคธาลัสซีเมีย คำแนะนำสำหรับผู้ที่มียีนส์แฝง (เป็นพาหะ) ของโรคธาลัสซีเมีย ผู้ที่เป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย มีโอกาสจะถ่ายทอดโรคไปสู่ลูกหลานได้ จึงควรวางแผนก่อนมีบุตรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการมีลูกเป็นโรคนี้ ดังนั้น จึงควรพาคู่สมรสไปรับการตรวจเลือดก่อนจะมีบุตร ถ้าคู่สามีภรรยามียีนส์แฝงทั้งคู่ ไม่ได้มีข้อห้ามในการแต่งงานกันหรือมีบุตร คู่สมรสสามารถที่จะมีครอบครัวได้ตามปกติ แต่ก่อนตั้งครรภ์ ต้องทำการปรึกษาแพทย์ให้เรียบร้อย เพื่อทำการวินิจฉัยและคัดเลือกบุตรที่ความเป็นปกติมากที่สุด คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย สำหรับผู้ที่เป็นธาลัสซีเมียแล้ว การดูแลรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยได้แก่ ซีดมาก อ่อนเพลีย ติดเชื้อง่าย หัวใจทำงานหนัก เป็นนิ่วในถุงน้ำดี ม้ามโต และการดูแลรักษาสามารถทำได้โดยการรับเลือดเมื่อมีอาการซีดมาก และใช้ยาขับเหล็กในกรณีที่เหล็กในเม็ดเลือดแดงแตกออกมามีปริมาณมากและจับกับอวัยวะต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของธาลัสซีเมียที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลด้วย การรักษาให้หายขาดทำได้วิธีเดียว คือ การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ในกรณีนี้ควรทำในผู้ป่วยที่อายุยังน้อย ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยธาลัสซีเมีย 1.ควรรับประทานผักสด ไข นม หรือนมถั่วเหลืองเป็นประจำ 2.ดื่มน้ำชาหลังอาหารเพื่อลดการดูดซึมธาตุเหล็ก 3.ควรตรวจฟันทุก 6 เดือนเนื่องจากฟันจะผุง่าย 4.งดการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา 5.หลีกเลี่ยงการทำงานหนักและการเล่นกีฬาที่รุนแรง 6.ถ้ามีอาการปวดท้องที่บริเวณชายโครงขวารุนแรง มีไข้และเหลืองมากขึ้น อาจเกิดจากถุงน้ำดีอักเสบ ควรรีบพบแพทย์ 7.ในรายที่ตัดม้ามแล้วจะมีการติดเชื้อได้ง่าย เมื่อมีไข้สูงต้องทานยาลดไข้และยาปฏิชีวนะทันที แล้วรีบพบแพทย์ ดังนั้น กล่าวโดยสรุป คือ เมื่อมีความเข้าใจเรื่องโรคธาลัสซีเมียเป็นอย่างดี การเป็นพาหะหรือเป็นโรคไม่ใช่สิ่งน่ากลัวหรืออันตรายอีกต่อไป ถ้ายังมีข้อสงสัยกับเรื่องเหล่านี้ การขอรับคำปรึกษาทางพันธุกรรมจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญเป็นหนทางที่ดีที่สุด ความตระหนักในเรื่องการวางแผนครอบครัวของคู่สมรสที่เป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคธาลัสซีเมียใหม่ในประชากรไทย และทำให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงเป็นพลเมืองที่มีคุณค่าต่อไป ข้อมูลจาก ดร.นพ.โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 26 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
ผิวคล้ำใช่ว่าจะรอด (ยูวี) ![]() รังสียูวีจากแสงแดด ตัวการเร่งการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวสาว แต่จะจริงแค่ไหนที่ว่า รังสียูวีแผลงฤทธิ์ทำร้ายสาวผิวขาวมากกว่าสาวผิวคล้ำ รังสียูวีในแสงแดดแบ่งเป็น "ยูวีเอ" และ "ยูวีบี" โดยยูวีเอพบมากในแสงแดดช่วงเช้าและเย็น ส่วนยูวีบีจะพบมากในช่วงแดดจัดระหว่างวัน รังสียูวีบีจะทำให้ผิวแสบร้อนและไหม้ เป็นรอยแดง ขณะที่ยูวีเอจะส่งผลต่อเม็ดสี (Pigmentation) เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง โรคแพ้แดด และอาจทำลายลึกถึงระดับดีเอ็นเอ "40 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์มองเพียงแค่ยูวีบี เพราะเห็นผลที่เกิดกับผิวหนังได้ชัดและทันตา" โดมินิค โมยาล ผู้เชี่ยวชาญด้านยูวีและการปกป้องผิวจากแสงแดด ศูนย์วิจัยลอรีอัล ประเทศฝรั่งเศส และประธานคณะผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากแสงแดด ของสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางแห่งภูมิภาคยุโรป กล่าว ผลจากการวิจัยล่าสุดกลับชี้ชัดว่า รังสียูวีเอ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีสัดส่วนในแสงแดดมีมากถึง 95% ให้ผลเสียต่อผิวหนังที่รุนแรง หยั่งรากลึกกว่ารังสียูวีบีหลายเท่า โดยจะทำร้ายเซลล์ผิวทีละน้อย อย่างสะสมไปเรื่อยๆ ที่สำคัญ สำหรับคนผิวคล้ำ ที่มักคิดว่า แสงแดดและรังสียูวีที่ทำให้ผิวคล้ำ ไม่มีผลต่อพวกเธอนั้น คงต้องคิดใหม่ เพราะยิ่งผิวคล้ำ ความชะล่าใจที่จะอยู่กลางแดดมีมาก โอกาสที่รังสียูวีเอจะทำลายผิวให้เกิดร่องริ้วรอย ตลอดจนมะเร็งผิวหนังในระยะยาวย่อมมากตาม "คนที่มีสีผิวคล้ำ จะมีเซลล์เม็ดสีเมลานินมาก ยูวีเอก็จะยิ่งกระตุ้นให้เม็ดสีเหล่านั้นทำงานมากขึ้น ความคล้ำยิ่งมากและคงอยู่นานกว่าเดิม และยูวีเอยังทำลายภูมิคุ้มกันของผิว เพิ่มโอกาสให้แพ้แสงแดดอีกด้วย" ผู้เชี่ยวชาญด้านยูวีกล่าว ผู้เชี่ยวชาญมีคำเตือนให้กับสาวเอเชียว่า โซนเอเชียมีรังสียูวีเอที่เข้มข้นกว่าโซนยุโรป 2 เท่าในช่วงฤดูหนาว และจะมากกว่าเป็น 4 เท่าในช่วงฤดูร้อน ดังนั้น สาวเอเชียจึงต้องการการปกป้องจากรังสียูวีเอมากกว่า สำหรับการปกป้องผิวจากรังสียูวี ผลิตภัณฑ์ป้องกันแดดเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่จะเลือกอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกโดยอ่านข้อมูลจากฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ โดยให้ความสำคัญกับค่าเอสพีเอฟ (SPF) ที่เป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีบี ร่วมกับค่าพีพีดี (ppd) ที่เป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีเอ การป้องกันรังสียูวี สัดส่วนระหว่างค่าพีพีดีและเอสพีเอฟต้องไม่ต่ำกว่า 1:3 เช่น หากครีมกันแดดเอสพีเอฟ 60 ต้องมีค่าพีพีดีไม่ต่ำกว่า 20 โดยทั่วไปผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับค่าเอสพีเอฟ ยิ่งสูงยิ่งดี โดยไม่สนใจค่าพีพีดี ทั้งๆ ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน โมยาล อธิบายว่า มีการวิจัยทดสอบเปรียบเทียบระหว่างผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟเท่ากัน 2 ชิ้น แต่ชิ้นแรกมีค่าพีพีดีมากกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ และชิ้นที่ 2 มีค่าพีพีดีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ นำไปทาบนผิว แล้วใช้แสงยูวีในความเข้มข้นระดับต่างๆ ผลปรากฏชัดว่า ผิวที่ทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าพีพีดีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ ปรากฏรอยดำคล้ำได้เร็วกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดีมากกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ "แม้ยูวีบีจะทำให้ผิวไหม้เป็นรอยแดงทันทีเมื่อสัมผัสแดดนาน แต่ยูวีเอสามารถแสดงผลทันทีเมื่อผิวสัมผัสรังสียูวีเป็นเวลา 1-1.30 ชั่วโมง โดยผิวจะคล้ำลงเพราะยูวีเอกระตุ้นการทำงานของเมลานินที่ทำให้เกิดสีผิวคล้ำลง และความคล้ำจากยูวีเอยังคงอยู่นานถึง 4-12 เดือน ขณะที่ผิวไหม้แดงจากยูวีบีคงอยู่เพียง 1-2 วันเท่านั้น" ฉะนั้น การเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด จึงต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและกิจกรรมระหว่างวันที่แตกต่างออกไป หากเป็นหน้าหนาวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดี 12-13 แต่หากเป็นหน้าร้อนต้องมีค่าพีพีดีอยู่ที่ 25-28 แต่หากเป็นผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับแสงแดด ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดีสูงที่สุดที่มีจำหน่ายอยู่คือ 42 "แม้จะอยู่ในอาคาร อาจจะเลี่ยงยูวีบีได้ แต่หากอยู่ใกล้กระจกหรือหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งขับรถ คงหนียูวีเอไม่พ้น เพราะรังสียูวีเอสามารถทะลุกระจกเข้ามาได้ ดังนั้น การป้องกันผิวด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดจึงจำเป็น เพื่อผิวที่สดใส สุขภาพดี" คำแนะนำทิ้งท้ายจากผู้เชี่ยวชาญด้านรังสียูวี จาก ...................... กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ สุขภาพ วันที่ 27 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
7 ข้อตีแตกทุกปัญหาสิว ![]() ข้อแรก หาสาเหตุของการเกิดสิวให้ได้ ไม่ต้องแปลกใจที่ทำตามวิธีการรักษาสิวที่คนอื่นใช้ได้ผลแต่วิธีนั้นกลับไม่ได้ผลกับเรา เพราะสิวที่เกิดจากต่างสาเหตุก็ต้องรักษาต่างวิธี เช่นสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนสามารถรักษาได้ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก แต่หากเกิดสิวแบบเป็นตุ่มแดงและอักเสบ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีตัวยาแรงขึ้น เช่น ยาทาที่มีส่วนผสมของเบนซิลเปอร์ออกไซด์ ที่จะช่วยลดปริมาณไขมันที่ผิวหนัง และละลายสิ่งสกปรกอุดตันตามรูขุมขนแต่ไม่ควรทายามากไปหรือโปะหนาๆ ลงบนบริเวณที่เป็นสิว เนื่องจากจะทำให้ผิวแห้ง วิธีทายาที่จะช่วยรักษาสิวและไม่ทำร้ายผิวคือทาบางๆ บริเวณที่เป็นสิวเท่านั้น ข้อต่อมาคือ ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างฉลาก หากซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาสิวเองโดยที่ไม่ได้ไปพบแพทย์ผิวหนังโดยตรง ต้องอดทนทำตามคำแนะนำข้างฉลากอย่างเคร่งครัด เพราะอาจไม่เห็นผลทันทีที่ใช้เหมือนยารักษาสิวที่ออกให้โดยแพทย์ แต่จะให้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่วางขายตามเคาน์เตอร์จะเห็นผลชัดเจนเมื่อใช้ 6-8 สัปดาห์ หากเกินกว่านี้แล้วไม่เห็นผลจึงควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ใหม่ ข้อที่สาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้กับผิวหน้าหรือใกล้ๆผิวหน้าเป็นออยล์-ฟรีและนอน-คอมิโดเจนิคหรือไม่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งอาจเกิดเพราะการแต่งหน้าโดยใช้รองพื้นหนาๆ หรือกลบด้วยคอนซีลเลอร์มากๆ ผลิตภัณฑ์บำรุงผมเช่น ครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันก็อาจทำให้เกิดสิวได้ ดังนั้นจึงควรชโลมครีมลงบนปลายผมเท่านั้น ข้อสี่ หากรักษาสิวด้วยตัวเองแล้วไม่หายผลสักที ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง เพราะจะประหยัดเงินและเวลามากกว่า เนื่องจากแพทย์จะวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องถึงสาเหตุแห่งการเกิดสิวและให้ตัวยาที่รักษาสิวได้อย่างตรงจุด รวมถึงให้คำแนะนำในการใช้ยาที่ไม่ทำร้ายผิวด้วย ข้อที่ห้า หากเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน ซึ่งสังเกตง่ายๆ คือมักเป็นสิวช่วงมีประจำเดือน สามารถรักษาได้โดยการทานยาคุมกำเนิด หรือยาที่ควบคุมระดับฮอร์โมน แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน ข้อหก สิวแบบซีสติค ซึ่งมีลักษณะเป็นถุงภายในมีหนอง และมักจะทิ้งรอยแผลเป็น หากรักษาแล้วไม่ได้ผลไม่ว่าจะทานยาแก้อักเสบหรือฉีดยา การทานโรแอคคิวเทน 6-8 สัปดาห์สามารถแก้ปัญหาสิวชนิดนี้ได้ แต่ควรทานภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกรอย่างใกล้ชิด เพราะยาชนิดนี้มีผลข้างเคียงคืออาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหรืออาจทำให้ทารกพิการได้ หากใช้ในหญิงที่มีโอกาสตั้งครรภ์ ข้อสุดท้าย ขจัดสิวบริเวณอกและแผ่นหลังด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายหรือครีมที่มีส่วนผสมของเบนซิลเปอร์ออกไซด์ แต่มีข้อเสียคือมักจะทำให้เสื้อผ้าเป็นรอยด่าง หรืออาจรักษาสิวบนใบหน้า แผ่นอกหรือหลังด้วยการทำเลเซอร์ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาสิวได้ดี แต่ข้อเสียคือราคาแพง จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 28 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|