เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 07-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก บ้านเมือง


พบวาฬโอมุระยาว3.7เมตร ลอยเกยตื้นที่ทะเลลันตา



พบวาฬโอมุระยาว 3.7 เมตร ลอยเกยตื้น บริเวณชายหาดทุ่งทะเล ต.เกาะกลาง อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ มีบาดแผลฉกรรจ์ที่กรามด้านขวา หักอาการสาหัส คาดถูกเรือชน เจ้าหน้าที่ประสาน ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งทะเลอันดามัน เข้าทำการช่วยเหลือ

ล่าสุดเสียชีวิตแล้ว เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 6 ม.ค.62 นายสุวัฒน์ สุขศิริ หน.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทุ่งทะเล จ.กระบี่ พร้อมเจ้าหน้าที่ เข้าตรวจสอบวาฬ เพศเมียไม่ทราบชนิด ขนาดใหญ่ ยาว 3.7 เมตร หลังรับแจ้ง จากชาวบ้านว่า พบวาฬดังกล่าว ลอยเกยตื้นบริเวณชายหาดทุ่งทะเล ม.3 ต.เกาะกลาง อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ สภาพอ่อนแรงไม่สามารช่วยเหลือตัวเองได้

เจ้าหน้าที่เข้าทำการช่วยเหลือ โดยประคองตัวให้อยู่ในน้ำ และนำไปใส่ในบ่อพักชั่วคราว เบื้องต้นพบบาดแผลที่บริเวณ กรามขวาหัก มีเลือดไหล คาดว่า ถูกใบพัดเรือฟัน จากนั้นประสานไปยัง จนท.กลุ่มสัตว์ทะเลหายาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งทะเล อันดามัน จ.ภูเก็ต เข้ามาตรวจสอบ อย่างละเอรยดอีกครั้ง

นายสุวัฒน์ เปิดเผยว่า จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยฯ ทราบว่า วาฬดังกล่าว เป็นวาฬโอมูระ (Omura's whale) เป็นวาฬสายพันธุ์หายากที่มีความใกล้เคียงกับวาฬบรูด้า แต่มีขนาดเล็กว่า ล่าสุดวาฬดังกล่าวได้เสียชีวิตแล้ว หลังจากที่ทีมสัตว์แพทย์ กลุ่มสัตว์ทะเลหายากฯ เข้าทำการช่วยเหลือและพยายามยื้อชีวิตได้ประมาณ 1ชม. ซึ่งหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะนำซากไปผ่าพิสูจน์ ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลอันดามันต่อไป

ในเบื้องต้นคาดว่าขณะวาฬดังกล่าวมาหากินในทะเลฝั่งเกาะลันตา อาจจะถูกเรือชน และถูกใบพัดจนได้รับบาดเจ็บบาดสาหัส ทั้งนี้ที่ผ่านมาในพื้นที่ จ.กระบี่ ยังไม่เคยพบวาฬชนิดดังกล่าวมาก่อน คาดว่าอาจจะพลัดหลงมา


https://www.banmuang.co.th/news/region/175827

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 07-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


คนกรุงฯ เสี่ยงเจอวิกฤตฝุ่น PM 2.5 อีกระลอก 7-10 ม.ค.นี้



วิกฤตฝุ่นพิษ PM 2.5 จ่ออีกระลอก กรมควบคุมมลพิษเตือน 7-10 ม.ค.นี้ เตรียมรับมือ เหตุความกดอากาศต่ำ บวกปริมาณรถยนต์วิ่งกว่าวันละ 10 ล้านคันใน กทม. ย้ำขอความร่วมมือคนกรุงฯ ลดใช้รถยนต์ส่วนตัว เพราะเป็นแหล่งต้นกำเนิดฝุ่นกว่าร้อยละ 75 วอนลดเผาพื้นที่โล่งแจ้ง

สถานการณ์ฝุ่นพิษ PM 2.5 เริ่มกลับมาเป็นปัญหาอีกระลอก ตามที่กรมควบคุมมลพิษคาดการณ์ โดยบรรยากาศจากจุดชมวิว ชั้น 84 ตึกใบหยกช่วงบ่ายวันนี้ (6 ม.ค.2563) แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ฝุ่นฟุ้งกระจายหลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร

สอดคล้องกับข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ที่พบว่า วันนี้ปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน 15 พื้นที่ อยู่อยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน จากสถานีตรวจวัดที่มี 23 แห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ย่านใจกลางเมือง


12 หน่วย ถกแผนแก้ปัญหาฝุ่นร่วมกัน

ขณะช่วงบ่ายวันนี้ (6 ม.ค.63) มีการประชุมติดตามความก้าวหน้า "การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง" โดยมีนายนายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เป็นประธานประชุม ร่วมกับ 11 หน่วยงานเกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงสาธารณสุข , กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม, กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงพลังงาน, กรุงเทพมหานคร และ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน ที่ได้ดำเนินการกันไปหลังจากตคั้งคณะอนุทำงานแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 จนถึงปัจจุบัน


3 ปัจจัยเสี่ยง เผชิญฝุ่นพิษ อีกระลอกสัปดาห์นี้

ในที่ประชุม ได้สรุปสถานการณ์ โดยมีข้อมูลพบว่า 3 ปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้ประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร และ จังหวัดต่างๆ ยังต้องเสี่ยงต่อสถานการณ์ฝุ่นพิษ PM2.5 มาจากแหล่งต้นกำเนิด 3 ส่วน คือ รถยนต์ , การเผาที่โล่แจ้ง และ สภาพความกดอากาศต่ำในสัปดาห์นี้ โดย คพ. ได้จ้างสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) วิจัยพบว่า "รถยนต์" เป็นพาหนะที่ก่อให้เกิดฝุ่นพิษมากที่สุดร้อยละ 75.4 โดยนายประลอง ระบุว่า แต่ละวันในกรุงเทพมหานคร มีปริมาณรถยนต์สัญจรผ่านกว่าวันละ 10 ล้านคัน ซึ่งปัญหาที่เคยเกิดวิกฤตฝุ่นเมื่อช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 62 ทางกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกันหลายหน่วยงาน ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหา รวมถึงการขอความร่วมมือหน่วยงานเกี่ยวข้องลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว แต่ปัจจุบันถือว่า ยังไม่สำเร็จ แม้เคยขอความร่วมมือแล้วก็ตาม



ส่วนมาตรการลดการเผาในที่โล่งแจ้ง ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 ด้วยเช่นกัน โดยที่ผ่านมา คพ.ทำหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทย ให้แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดลดการเผาไหม้ในพื้นที่โล่งแจ้ง และเคยขอให้ฝ่ายเกี่ยวข้องบังคับใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อเอาผิดกับผู้ก่อมลภาวะ ขณะที่การเผาไหม้ในกรุงเทพมหานคร ก็ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด สั่งและกำชับผู้อำนวยการเขตทั้ง 50 เขตเพื่อขอให้ช่วยกันรับผิดชอบแต่ละพื้นที่ เพื่อลดการเผาไหม้ ซึ่งปลายปีที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือด้วยดี ส่วนพื้นต่างจังหวัดก็ได้รับความร่วมมือและเอาจริงเอาจังเช่นกัน แต่ก็เริ่มมีปรากฎการณ์เผาไหม้เกิดขึ้นอีกในช่วงต้นปีมานี้ ก็ยังต้องขอความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยกันดูแลพื้นที่ของตัวเอง

ขณะที่ความกดอากาศต่ำ ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ จากการประชุมร่วมกันครั้งนี้ มีการประเมินว่า จะส่งผลทำให้ฝุ่นเกิดการสะสมในอากาศนิ่งมากขึ้น เมื่อรวมกับฝุ่นที่ประชาชนต้องเผชิญในชีวิตประจำวันจากปริมาณรถยนต์ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ จะยิ่งทำให้สถานการณ์ฝุ่นที่ขณะนี้ก็สูงเกินค่ามาตรฐานอยู่แล้วถึง 15 พื้นที่ ยิ่งเพิ่มสูงและสะสมนานขึ้นอีก ในระหว่างวันที่ 7-10 มกราคม 63 นี้


ฝุ่นโรงงานดีขึ้น - ฝุ่นก่อสร้างต้องจับตา

ส่วนส่วนปัญหาจาก "โรงงาน" ที่ 3 เดือนก่อน เคยเป็นหนึ่งในแหล่งต้นกำเนิดฝุ่นด้วยเช่นกัน แต่ล่าสุดจาการติดตามสถานการณ์ครั้งนี้ , มาตรการการลดการเผาไหม้จากโรงงานไม่ได้สร้างปัญหา ส่วนหนึ่งเท่าที่กรมโรงงานรายงาน เป็นเพราะการลดใช้เชื้อเพลิง และอีกส่วนมาจากการลดสัดส่วนกำลังการผลิตจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนักของผู้ประกอบการ แต่ก็ยังต้องอยู่ในช่วงเฝ้าระวังและแจ้งข้อมูลให้โรงงานต่างๆ เข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ปริมณฑล เช่น จ.สมุทรปราการ และ จ.สมุทรสาคร

สำหรับโครงการก่อสร้าง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ที่มีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายเส้นทาง รวมถึงงานก่อสร้างที่พักอาศัยจากการลงทุนของบริษัทต่างๆ ได้กำชับให้ผู้อำนวยการเขตในกรุงเทพมหานคร คุมเข้มการก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐาน ที่ต้องมีมาตรการป้องกันฝุ่นฟุ้งกระจายจากการก่อสร้าง ในช่วงที่ปีนี้ (2563) ยังมีความจำเป็นที่ยังต้องเดินหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า และงานก่อสร้างต่างๆ ซึ่งแต่ละบริษัทจะรับทราบหลักเกณฑ์ที่ต้องปฎิบัติตามหลักรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) อยู่แล้ว แต่ขอให้แต่ละสำนักงานเขตเข้มงวดให้มากขึ้น รวมถึงเชื่อว่า ตัว พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็มีแนวทางการลดมาตรการฝุ่นในกรุงเทพฯ ช่วงที่ผ่านมาอยู่แล้ว



ส่วนงานก่อสร้างที่ยังต้องติดตาม คือ เส้นทางพระราม 2 ช่วงเขตบางขุนเทียน เชื่อม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เนื่องจากขณะนี้ยังคงมีงานก่อสร้างส่วนต่อขยายช่องทางจราจรกว่า 11 กิโลเมตร รวมถึงปีนี้ ยังมีการก่อสร้างทางด่วนทับซ้อนแนวเส้นทางที่กำลังก่อสร้าง รวมระยะทางอีก 25 กิโลเมตร ซึ่งทางจังหวัดและกรมทรวงหลวง รวมถึงหน่วยงานเกี่ยว อาจต้องหามาตรการร่วมกันในการช่วยกันลดฝุ่นที่จะเกิดขึ้นในช่วงความเสี่ยง 7-10 ม.ค.63 นี้ด้วย รวมถึงระยะยาวที่ในพื้นที่ยังคงมีงานก่อสร้างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีนี้


ยังคุมเวลารถบรรทุก - ตรวจจับควันดำ

ส่วนมาตรการคุมเข้มเวลาสัญจรของกลุ่มรถบรรทุกที่ผ่านเส้นทางเข้ากรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะเส้นทางพระราม 2 และเส้นทางอื่นๆ ยังขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร กวดขันเวลาที่ห้ามรถบรรทุกวิ่งผ่านตามกฎหมายกำหนด เพื่อลดปริมาณการติดขัดสะสมของสภาพการจราจร รวมถึงขอให้ยังคุมเข้มมาตรการตรวจจับควันดำรถยนต์ส่วนบุคคล และ รถโดยสารสาธารณะ ที่ถือเป็นมาตรการที่ดำเนินการต่อเนื่องมา 3 เดือนแล้ว ตั้งแต่ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่นพิษ PM2.5 ซึ่งช่วงนั้นตรวจสอบควันดำได้กว่า 44,000 คัน โดยจำนวนนี้ร้อยละ 30 เป็นกลุ่มรถบรรทุก และร้อยละ 20 เป็นกลุ่มรถยนต์กระบะ


ลดวิกฤตฝุ่น ลดใช้รถยนต์ - ลดการเผา

เมินสถานการณ์ตอนนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 - 10 ม.ค.63 ค่าฝุ่นจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นอีก และจะดีขึ้นในวันที่ 11 ม.ค.63 ซึ่งหากเปรียบเทียบกับวิกฤตที่กรุงเทพฯ ต้องเผชิญฝุ่นพิษ PM2.5 เมื่อปลายปีที่แล้ว จะพบว่าประชาชนต้องเผชิญฝุ่นพิษต่อเนื่องถึง 14 วัน แต่คาดว่าปีนี้เท่าที่ประชุมร่วมกันกับหลายฝ่าย ประชาชนมีความเสี่ยงต้องเผชิญฝุ่นพิษในระยะ 7-8 วัน ซึ่งยืนยันว่า ตอนนี้ทุกหน่วยงานทำหน้าที่กันอย่างเต็มกำลัง จึงทำให้ช่วงปลายปีที่ผ่านมาสถานการณ์ฝุ่นที่วิกฤตดีขึ้นได้ แต่ตอนนี้ก็ต้องเร่งทั้งการแจ้งเตือนประชาชน และการขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันทำหน้าที่ของตัวเองในการกำกับดูแลให้เข้มงวด และต้องขอความร่วมมือประชาชนลดใช้รถยนต์ส่วนตัวเพื่อช่วยกันลดปริมาณฝุ่นด้วยเช่นกัน

ส่วนต่างจังหวัดและปริมณฑล ก็ขอให้ลดการเผาไหม้ในพื้นที่โล่งแจ้ง และหากมีปัญหาหรือพบเห็นการเผาไหม้ขอให้ติดต่อมาได้ที่กรมควบคุมมลพิษ หรือ ทางจังหวัดเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาลดฝุ่นกระทบด้านฝุ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันพรุ่งนี้ (7 ม.ค.63) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะรายงานความคืบหน้าแผนปฏิบัติการภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านฝุ่น ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย หลังจากวันนี้ได้รับฟังการรายงานข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษเมื่อช่วงเย็น รวมถึงขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลการวัดค่าฝุ่น จากแอพลิเคชั่น " Air4Thai" ของกรมควบคุมมลพิษเป็นหลัก เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน


https://news.thaipbs.or.th/content/287686

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 07-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


"กระเบนไฟฟ้า" อวดโฉมครั้งแรกหมู่เกาะสิมิลัน

ข่าวดี! เจอปลากระเบนไฟฟ้าที่หมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา ถือเป็นรายงานใหม่ที่พบในทะเลสิมิลัน คาดอาจมาจากคลื่นน้ำเย็น (IOD) ที่ส่งผลทำให้มีสัตว์ทะเลหายากปรากฎตัวหลายชนิด ด้านอาจารย์ธรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก เคยเจอเมื่อปี 2540 ที่ จ.ระนอง และกองหินริเชลิว



วันนี้ (6 ม.ค.2563) เฟซบุ๊กอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เผยข่าวดีว่า ค้นพบตัวละครลับ ปลากระเบนไฟฟ้าที่สิมิลัน โดยระบุว่าเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2562 อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ได้รับแจ้งจากกลุ่มนักดำน้ำว่า พบปลากระเบนไฟฟ้าบริเวณจุดดำน้ำ Deep six ที่ความลึก 27 เมตร ของเกาะปายู (เกาะ7) ซึ่งอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ได้มอบหมายให้นายสุธีรชัย สมทา นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลประจำอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ประสานผู้เชี่ยวชาญหาข้อมูล เพื่อจำแนกชนิดของปลากระเบนไฟฟ้าตัว

เบื้องต้นกำลังลุ้นอยู่ว่าจะใช่ปลากระเบนไฟฟ้า (Torpedo fuscomaculata) หรือไม่ เพราะถ้าเป็นปลากระเบนไฟฟ้า(Torpedo fuscomaculata) ก็จะเป็นการค้นพบสัตว์ทะเลชนิดใหม่อีกครั้งที่สิมิลัน

แต่ถ้าหากเป็นปลากระเบนไฟฟ้า(Torpedo fuscomaculata) จริงคำถามต่อมาคือมันมาอยู่ที่สิมิลันได้อย่างไร เนื่องจากปลากระเบนไฟฟ้า ส่วนใหญ่พบอยู่บริเวณมหาสมุทรอินเดีย ไปจนถึงทะเลทางแถบแอฟริกาใต้ รวมถึงทะเลในแถบมัลดีฟส์ เป็นไปได้หรือไม่ที่การค้นพบปลากระเบนไฟฟ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ IOD

สำหรับปลากระเบนไฟฟ้า เป็นปลากระเบนที่มีรูปร่างกลม จัดอยู่ในอันดับ Torpediniformes และมีอวัยวะคู่หนึ่งที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ ตั้งอยู่ทางด้านข้างของตาถัดไปถึงครีบอก ภายในมีสารเป็นเมือกคล้ายวุ้น ทำหน้าที่ในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 200 โวลต์ กระแสไฟฟ้านี้ใช้เพื่อทำให้เหยื่อสลบหรือฆ่าเหยื่อ ปลากระเบนไฟฟ้าทั้งหมดมีรูปร่างแบนกลม ตามีขนาดเล็กมาก ส่วนหางแข็งแรง และไม่มีเงี่ยงหางแหลมคมเหมือนปลากระเบนในอันดับอื่น มีลำตัวหนาและอ่อนนุ่ม มีครีบหลัง 2 ตอน

โดยทั่วไปแล้วกระเบนไฟฟ้าชนิดนี้ยังไม่มีรายงานการถูกพบได้ทั่วไปในประเทศไทย แต่ก็มีโอกาสพบได้ในทะเลอันดามัน เนื่องจากรายงานการแพร่กระจายของกระเบนชนิดนี้อยู่บริเวณมหาสมุทรอินเดีย ไปจนถึงทะเลทางแถบแอฟริกาใต้ รวมถึงทะเลในแถบมัลดีฟส์ที่เป็นที่นิยมของนักดำน้ำ

ปลากระเบนไฟฟ้ามักหมกตัวอยู่ใต้พื้นทราย สามารถทำอันตรายต่อมนุษย์ได้หากเหยียบไปถูกเข้า ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการชา หรือหมดสติ และอาจทำให้จมน้ำเสียชีวิตได้

การป้องกันและรักษา หากทราบว่าในบริเวณใดมีปลากระเบนไฟฟ้าอาศัยอยู่ ควรหลีกเลี่ยงในการลงเล่นน้ำในบริเวณดังกล่าว เนื่องจากกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาได้มากถึง 30 แอมป์ ซึ่งมากเกินพอให้เสียชีวิตได้ในทันที แต่หากพบว่ามีนักดำน้ำถูกกระเบนไฟฟ้าจนหมดสติให้รีบนำผู้ป่วยขึ้นสู้ผิวน้ำทันทีและช่วยปฐมพยาบาลให้ผู้ป่วยหายใจ (CPR) แล้วนำส่งโรงพยาบาล


นักวิชาการ ระบุอาจมาจากปรากฎการณ์ IOD

นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) โพสต์เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ว่า มีข่าวพบกระเบนไฟฟ้าที่สิมิลันน่าจะเป็นครั้งแรกที่มีรายงานที่นั่น แต่ถ้าในเมืองไทย เคยมีผู้พบโดยเฉพาะในช่วงเกิดปรากฏการณ์น้ำเย็น IOD ตอนปี 2540 ก็เคยเจอที่ระนอง และริเชลิว

กระเบนหลายชนิดมีอวัยวะสร้างกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เพื่อใช้ช่วยในการล่าเหยื่อ แต่กระเบนกลุ่มหนึ่งมีอวัยวะพวกนี้พัฒนาเป็นพิเศษ เราเรียกว่าพวก Electric Ray มีอยู่ประมาณ 60 ชนิด

กระแสไฟฟ้าที่สร้างแรงพอควร ประมาณว่าใกล้เคียงกับไฟช็อตในน้ำ แต่ไม่ใช่กระเบนเจออะไรเป็นช็อต ไม่งั้นเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว กระเบนไฟฟ้า แบ่งเป็น 2 กลุ่มง่ายๆ กลุ่มหนึ่งจะใช้ไฟฟ้าช่วยในการจับเหยื่อ อีกกลุ่มยังไม่แน่

นอกจากนี้ ยังใช้ไฟฟ้าเพื่อป้องกันตัวมีรายงานคนโดนชอตมาตั้งแต่อดีต (ในต่างประเทศ) แต่เป็นชาวประมงที่ไปจับพวกเขา ปกติกระเบนพวกนี่ไม่ว่ายไล่ช็อตใคร ต้องไปโดนหรือเข้าใกล้จนเขาตกใจ

ในเมืองไทย ไม่เคยมีรายงานว่ามีใครโดนกระเบนไฟฟ้าทำร้าย เพราะเขามีน้อยมาก นานๆ เจอทีในวาระพิเศษ เช่น คลื่นน้ำเย็นที่เกิดจาก IOD ปกติดำน้ำตื้นโอกาสเจอยากมาก หากดำน้ำลึกในช่วงนี้ เมื่อเจอก็แค่ตั้งหลักดู อย่าเข้าไปใกล้เกินเหตุหรือคิดจับต้อง แค่นั้นก็ปลอดภัย อันที่จริง จะเป็นกระเบนชนิดอื่นก็ควรทำเหมือนกัน สัตว์ทะเลยากที่จะทำร้ายเรา หากเราไม่คิดไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาเกินเหตุครับ


https://news.thaipbs.or.th/content/287681

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 07-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


มลพิษทางอากาศทำให้กระดูกมนุษย์อ่อนแอลง



ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการค้นพบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ว่า มลพิษทางอากาศส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพหัวใจ, ปอด, ดวงตา, ทารกในครรภ์ หรือแม้แต่สุขภาพจิต ล่าสุดยังพบว่าสามารถทำให้กระดูกเสื่อมจนเปราะหักง่ายก่อนวัยได้อีกด้วย

ทีมนักวิจัยนานาชาติ นำโดยสถาบันเพื่อสุขภาพโลกแห่งบาร์เซโลนา (ISGlobal) ของสเปน ตีพิมพ์ผลการศึกษาล่าสุดลงในวารสารการแพทย์ JAMA Network Open โดยระบุว่าประชากรวัยผู้ใหญ่ตอนต้นของเมืองที่มีฝุ่นละออง PM2.5 ในระดับสูง มีแนวโน้มที่สัดส่วนแร่ธาตุในกระดูกจะลดน้อยถอยลงกว่าปกติ

มีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของฝุ่น PM2.5 จากสถานที่ 23 แห่งโดยรอบเมืองไฮเดอราบัดของอินเดีย กับความหนาแน่นของแร่ธาตุในมวลกระดูกสะโพกและกระดูกสันหลังของชาวอินเดีย 3,700 คน ที่อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าว ซึ่งคนเหล่านี้มีอายุโดยเฉลี่ย 35.7 ปี

ผลปรากฏว่าพื้นที่ที่ทำการศึกษามีค่าเฉลี่ยของระดับ PM2.5 ในอากาศตลอดทั้งปีที่ 32.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าระดับปลอดภัยที่องค์การอนามัยกำหนดไว้ถึง 3 เท่า

ทีมผู้วิจัยพบว่า เมื่อฝุ่น PM2.5 เพิ่มขึ้นทุก 3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูกของประชากรทั้งหญิงและชายจะลดลง 0.011 กรัมต่อตารางเซนติเมตรในกระดูกสันหลัง และลดลง 0.004 กรัมต่อตารางเซนติเมตรสำหรับกระดูกสะโพก ทั้งยังพบว่า ผงฝุ่นเขม่าดำ (Black Carbon) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของฝุ่น PM2.5 มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับมวลกระดูกที่ลดลงด้วย

แม้จะยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่มลภาวะทางอากาศทำให้สุขภาพของกระดูกอ่อนแอลง แต่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าการอักเสบภายในร่างกาย และภาวะไม่สมดุลระหว่างอนุมูลอิสระกับสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากฝุ่น PM2.5 อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะกระดูกเสื่อมและโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ได้

ก่อนหน้านี้เคยมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่เผยแพร่เมื่อปี 2017 ชี้ว่ามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM2.5 ในเมืองบอสตันของสหรัฐฯ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้ป่วยกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนถึงกว่า 86,000 รายต่อปี

ทีมวิจัยชุดดังกล่าวยังตั้งข้อสังเกตว่า คนหนุ่มสาววัย 20-30 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงที่มวลกระดูกสะสมตัวจนมีความหนาแน่นและแข็งแกร่งสูงสุดในชีวิต อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศจนสะสมมวลกระดูกได้น้อยลง และมีความเสี่ยงจะเป็นโรคกระดูกพรุนสูงกว่าเดิมเมื่อมีอายุมากขึ้น


https://www.bbc.com/thai/international-51008026

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:10


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger