เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #2  
เก่า 11-06-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ศรีลังกาเจอคราบน้ำมัน หวั่นรั่วจากเรือสินค้าไฟไหม้นอกฝั่งโคลอมโบ

ทางการศรีลังกาเริ่มการตรวจสอบ หลังพบคราบน้ำมันนอกชายฝั่งทางตะวันตกของประเทศ หวั่นเป็นน้ำมันที่รั่วจากเรือขนสินค้าซึ่งถูกไฟไหม้อย่างรุนแรงนานนับสิบวัน



สำนักข่าว แชนเนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า นายนาลากา โกดาเฮวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอนุรักษ์ชายฝั่งของประเทศศรีลังกา เปิดเผยในวันที่ 10 มิ.ย. 2564 ว่า ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นไปตรวจสอบ คราบน้ำมันบนผิวทะเลพื้นที่ประมาณ 0.35 ตร.กม. ในจุดที่เรือขนสินค้า 'เอ็มวี เอ็กซ์-เพรส' ไฟไหม้และเกยตื้นเมื่อช่วงต้นเดือน

"เมื่อวาน (9 มิ.ย.) ผมนั่งเรือลงตรวจพื้นที่ และสิ่งที่เราสังเกตเห็นคือ คราบน้ำมันบางๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นน้ำมันดีเซล" นายโกดาเฮวาบอกกับผู้สื่อข่าวในกรุงโคลอมโบ "มันดูไม่เหมือนน้ำมันเตา แต่เราต้องขอให้ผู้เชี่ยวชาญของเราเข้าตรวจสอบ"

ทั้งนี้ เรือขนสินค้า เอ็มวี เอ็กซ์-เพรส แจ้งเหตุกรดรั่วไหลบนเรือเมื่อเดือนพฤษภาคม ก่อนจะเกิดเหตุเพลิงไหม้อย่างรุนแรงในวันที่ 20 เดือนเดียวกัน ขณะรอเทียบท่ากรุงโคลอมโบ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาถึง 13 วันกว่าจะควบคุมเพลิงได้ แต่ท้ายเรือกลับจมลงก้นทะเลในตอนที่เรือลากจูงพยายามลากมันไปในเขตน้ำลึก



เหตุไฟไหม้ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์กว่า 1,486 ตู้เสียหายเกือบทั้งหมด และมีตู้บรรจุเม็ดพลาสติกตกทะเลอย่างน้อย 8 ตู้ ส่งผลให้เม็ดพลาสติกจำนวนมหาศาลถูกซัดขึ้นตามแนวชายฝั่งความยาวกว่า 80 กม. ของศรีลังกา จนทางการต้องสั่งระงับการทำประมงในพื้นที่ดังกล่าว

นอกจากนั้น ทางการยังเตรียมรับมือความเป็นไปได้ที่จะมีน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วไหลจากเรือลำนี้ ซึ่งมีน้ำมันเตารวมกว่า 300 ตัน ที่ยังอยู่ในแท็งก์เก็บ โดยนายโกดาเฮวาระบุว่า ตอนนี้เรือ 5 ลำ รวมถึงเรือของหน่วยยามฝั่งอินเดีย 2 ลำ ซึ่งมีอุปกรณ์ป้องกันน้ำมันรั่วไหล ทอดสมอประจำการรอบเรือสินค้าลำนี้แล้ว


https://www.thairath.co.th/news/fore...PANORAMA_TOPIC


*********************************************************************************************************************************************************


1 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อน เป็นผลจาก 'ภาวะโลกร้อน' ที่มนุษย์สร้างขึ้น

ที่ผ่านมา งานวิจัยที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ เป็นการคาดการณ์จาก "ความเสี่ยงในอนาคต" เป็นส่วนใหญ่ (เช่น คลื่นความร้อน, ภัยแล้ง, ไฟป่า) แต่งานวิจัยล่าสุดโดยผู้เชี่ยวชาญ 70 คน ที่ศึกษาผลกระทบทางสุขภาพจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บ่งบอกว่า ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นอย่าง "รุนแรง" เสียด้วย จนถึงขั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตโดยตรง

ที่ผ่านมา งานวิจัยที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ เป็นการคาดการณ์จาก "ความเสี่ยงในอนาคต" เป็นส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อน, ภัยแล้ง, ไฟป่า ที่จะค่อยๆ รุนแรงมากขึ้น อันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน

แต่งานวิจัยล่าสุดโดยผู้เชี่ยวชาญ 70 คน ที่ศึกษาผลกระทบทางสุขภาพจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บ่งบอกว่า ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นอย่าง "รุนแรง" เสียด้วย

จากจำนวนผู้เสียชีวิตใน 732 เมืองทั่วโลก ระหว่างปี 1991-2018 นักวิจัยกลุ่มนี้พบว่า 37% หรือประมาณ 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตจากอากาศร้อน (Heat Deaths) มาจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์กระทำ (Human-made Climate Change) ซึ่งสัดส่วนของประชากรที่เสียชีวิตจากอากาศร้อนมากที่สุดมาจากอเมริกาใต้ นำโดย เมืองเซา เปาโล ประเทศบราซิล ที่มียอดเฉลี่ยถึง 239 คนต่อปี

และเมื่อลองพิจารณารายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร และ สเปน จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 35-39% โดยเฉลี่ย ขณะที่ เม็กซิโก, แอฟริกาใต้, ไทย, เวียดนาม และ ชิลี มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นสูงกว่า 40% แต่ที่น่าวิตกก็คือ บราซิล, เปรู, โคลอมเบีย และ ฟิลิปปินส์ มีอัตราผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 60% หรือมากกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม บทความ The burden of heat-related mortality attributable to recent human-induced climate change ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ระบุว่า เนื่องด้วยข้อมูลจากภูมิภาคที่สำคัญคือ เอเชียใต้และแอฟริกา อันน่าจะเป็นพื้นที่ที่เปราะบางต่อการเสียชีวิตจากอากาศร้อน ยังมีไม่มากพอ จึงทำให้ไม่สามารถคำนวณออกมาได้ชัดเจน แต่ก็คาดว่าตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านี้มาก

งานวิจัยนี้ใช้ตัวเลขผู้เสียชีวิตใน 732 เมือง จาก 43 ประเทศ แล้วนำมาสร้างกราฟเปรียบเทียบกับอุณหภูมิ จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบกับข้อมูลจากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ 10 แบบ (ในกรณีที่ภูมิอากาศโลกไม่เปลี่ยนแปลง) จากการใช้วิธีการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ โดยนักวิจัยสามารถคำนวณเพื่อเปรียบเทียบตัวเลขผู้เสียชีวิตจากความร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น กับตัวเลขผู้เสียชีวิตจากสาเหตุอื่น เพื่อดูว่าอัตราการตายของแต่ละเมืองเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน และทิศทางของการเสียชีวิตจากความร้อนของแต่ละเมืองแตกต่างกันอย่างไร เช่น บางเมืองปรับตัวกับความร้อนได้ดีกว่าหลายเมือง เพราะมีเครื่องปรับอากาศ รวมถึงปัจจัยทางวัฒนธรรม และเงื่อนไขทางสิ่งแวดล้อม

นักวิจัยพบว่า ตั้งแต่ปี 1991 เป็นต้นมา คลื่นความร้อนเป็นสาเหตุสำคัญที่เป็น "ปัจจัยเร่ง" การเสียชีวิต โดยขึ้นอยู่กับว่า ความร้อนนั้นคงอยู่นานแค่ไหน, อุณหภูมิในเวลากลางคืนและระดับความชื้นเป็นอย่างไร หรือความสามารถในการปรับตัวของประชากรมีผลต่ออัตราการเสียชีวิตเพียงใด รวมถึงกรณีจำเพาะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจลดต่ำลง เมื่อประชากร 95% มีเครื่องปรับอากาศ แต่หากไม่มี หรือมีผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้งในอุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส ก็อาจได้รับผลกระทบรุนแรง ซึ่งตัวเลขผู้เสียชีวิตนี้ยังไม่นับรวมภัยพิบัติอื่นๆ ที่เป็นผลมาจากวิกฤติโลกร้อนด้วย เช่น น้ำท่วม ไฟป่า เป็นต้น

ก่อนที่โลกจะเผชิญกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง โดยปกติแล้วในรอบ 100 ปี คลื่นความร้อนระดับรุนแรงมักเกิดขึ้นเพียง 1 ครั้ง แต่นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ผ่านมา คลื่นความร้อนกลับเกิดขึ้น "ถี่ขึ้น" องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ระหว่างปี 2000-2016 ประชากรกว่า 125 ล้านคนทั่วโลก เผชิญกับคลื่นความร้อน และระหว่างปี 1998-2017 มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนดังกล่าวถึง 166,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้ยังหมายรวมถึงผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนปี 2003 ในยุโรป ราว 70,000 คน

อนา วิเซโด-คาบริรา จากมหาวิทยาลัยเบิร์น ผู้เป็นหนึ่งในคณะวิจัย กล่าวว่า ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ปัญหาของอนาคต ที่เราคิดว่าเป็นเรื่องที่คนรุ่นหลังจะต้องเผชิญ แต่เรากลับได้เผชิญกับมันแล้ว ซึ่งในท่ามกลางอนาคตที่มืดมนลงกว่าเดิมนี้ จึงอาจถึงเวลาที่มนุษย์เราต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเสียที.

อ้างอิง: France24, AP News, WHO, Nature.com, Science Daily, The New York Times, The Verge


https://www.thairath.co.th/news/fore...PANORAMA_TOPIC


*********************************************************************************************************************************************************


นักวิจัยชี้ทะเลสาบในโลกสูญออกซิเจนเร็ว เมื่อโลกร้อนขึ้น



ทะเลสาบเป็นตัวบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมันตอบสนองต่อสัญญาณจากภูมิทัศน์และบรรยากาศโดยรอบ ล่าสุด มีรายงานในวารสารเนเจอร์เผยว่าระดับออกซิเจนในทะเลสาบน้ำจืดที่มีอุณหภูมิปานกลางของโลกกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเร็วกว่าในมหาสมุทร 2.75-9.3 เท่า

นักวิจัยจากสถาบันโพลิเทคนิคเรนส์ซเลียร์ ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เผยว่าระดับออกซิเจนในทะเลสาบที่สำรวจทั่วเขตอบอุ่นมาตั้งแต่ พ.ศ.2523 ได้ลดลง 5.5% ที่พื้นผิวน้ำ และ 18.6% ที่ในน้ำลึก ขณะเดียวกันในส่วนย่อยขนาดใหญ่ของทะเลสาบส่วนใหญ่ที่ปนเปื้อนสารอาหารระดับออกซิเจนบนพื้นผิวก็เพิ่มขึ้น อุณหภูมิน้ำก็อยู่ในเกณฑ์ที่เอื้อต่อการเติบโตของไซยาโนแบคทีเรียหรือสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน ที่สามารถสร้างสารพิษได้เมื่อพวกมันเจริญเพิ่มจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ขับเคลื่อน มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่คุกคามความหลากหลายทางชีวภาพของ น้ำจืดและคุณภาพน้ำดื่ม ที่น่าจับตาก็คือสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนทั้งหมดขึ้นอยู่กับออกซิเจน ซึ่งเป็นระบบสนับสนุนด้านอาหารของสัตว์น้ำ เมื่อพวกมันเริ่มสูญเสียออกซิเจน ก็มีโอกาสที่จะสูญเสียสายพันธุ์ตามมา

การวิจัยนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นว่าปัญหาในน้ำจืดมีความรุนแรงมากขึ้น คุกคามแหล่งน้ำดื่มของมนุษย์และความสมดุลที่ละเอียดอ่อน นักวิจัยได้แต่คาดหวังว่างานวิจัยชิ้นนี้จะทำให้เกิดความเร่งด่วนมากขึ้นในการรับมือและจัดการกับผลกระทบที่เป็นอันตรายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2111972
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:40


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger