![]() |
|
#5
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
เกรตแบร์ริเออร์รีฟ มรดกโลกของออสเตรเลีย เผชิญปัญหาอะไรบ้าง ![]() เกรตแบร์ริเออร์รีฟ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมาตั้งแต่ปี 1981 ... ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES เกรตแบร์ริเออร์ยังไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในบัญชีมรดกโลกของยูเนสโกที่ "ตกอยู่ในอันตราย" หลังจากที่รัฐบาลออสเตรเลียพยายามโน้มน้าวให้เกิดขึ้น รายงานจากยูเนสโก หรือองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ยังไม่มีการดำเนินการที่เพียงพอในการปกป้องแนวปะการังนี้จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก หรือควบคุมคุณภาพของน้ำให้ได้ตามเป้าหมาย แต่คณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกตัดสินใจให้เวลาออสเตรเลียมากขึ้น ออสเตรเลียระบุว่า ได้รับปากที่จะมอบงบประมาณมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 7.27 หมื่นล้านบาท) เพื่อฟื้นฟูเกรตแบร์ริเออร์รีฟ เกรตแบร์ริเออร์รีฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก เป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบมากที่สุดของออสเตรเลีย แต่การฟอกขาวของปะการังและปัญหาอื่น ๆ ได้สร้างความเสียหายอย่างรวดเร็วต่อแนวปะการังขนาดใหญ่แห่งนี้ แนวปะการังนี้มีความพิเศษอย่างไร และเพราะอะไร เกรตแบร์ริเออร์รีฟ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมานาน 40 ปีแล้ว เพราะ "มีความสำคัญทางธรรมชาติและทางวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง" ครอบคลุมความยาวกว่า 2,300 กิโลเมตร ตามแนวชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ประกอบด้วยแนวปะการังน้อยใหญ่ราว 3,000 แห่ง นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก เต็มไปด้วยพืชและสัตว์ทะเลจำนวนมากที่อาศัยอยู่ตามโครงสร้างของปะการังต่าง ๆ เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างตกตะลึงกับความหลากหลายและความสวยงามของแนวปะการังแห่งนี้มานานหลายสิบปีแล้ว ที่นี่มีปะการังอาศัยอยู่มากกว่า 400 ชนิด มีปลาราว 1,500 สายพันธุ์ และมีสิ่งมีชีวิตที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์หลายชนิดอย่างเต่าตนุยักษ์ โครงสร้างทางทะเลของแนวปะการังแห่งนี้ยังช่วยคุ้มครองชายฝั่งจากคลื่นและพายุขนาดใหญ่ด้วย ทำไมจึงมีความเสี่ยง ปัญหาโลกร้อนได้ทำให้แนวปะการังแห่งนี้สูญเสียปะการังไปแล้วราวครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่ปี 1995 โดยเฉพาะปะการังประเภทที่มีขนาดใหญ่และมีกิ่งก้าน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยอยู่สิ่งมีชีวิตทางทะเลจำนวนมาก ได้รับความเสียหายอย่างมาก ส่วนโพลิปของปะการัง (coral polyp) ซึ่งเป็นส่วนเนื้อเยื่อที่สำคัญของปะการังนี้ มีความอ่อนไหวต่ออุณหภูมิของน้ำทะเลมาก พวกมันอาจตายได้ ถ้าน้ำทะเลอุ่นเกินไป เฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แนวปะการังนี้เผชิญกับการฟอกขาวขนาดใหญ่แล้ว 3 ครั้ง การฟอกขาวเกิดขึ้นเมื่อปะการังที่เผชิญกับความเครียดขับสาหร่ายที่อาศัยอยู่ในปะการังและช่วยทำให้ปะการังมีสีสันและชีวิตชีวาออกไป ทำให้ปะการังกลายเป็นสีขาว กระบวนการนี้เรียกว่า การฟอกขาว ![]() แนวปะการังนี้เผชิญกับการฟอกขาวครั้งใหญ่มาแล้ว 3 ครั้ง ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นสาเหตุให้เกิดการเซาะกร่อนของแนวปะการังและการเป็นกรดของน้ำทะเล ถ้าน้ำทะเลที่เย็นขึ้นไหลกลับมา ก็เป็นไปได้ว่า แนวปะการังต่าง ๆ จะกลับคืนมาด้วย การฟื้นตัวอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10-15 ปี แต่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า เกรตแบร์ริเออร์รีฟ กำลังเข้าใกล้การล่มสลาย การศึกษาหนึ่งพบว่า หลังเกิดการฟอกขาวปะการังในปี 2016 และ 2017 มีปะการังที่โตเต็มวัยเหลืออยู่ไม่มากพอที่จะช่วยฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ในปี 2019 ออสเตรเลียได้ลดระดับโอกาสการฟื้นตัวในระยะยาวของแนวปะการังนี้ลงมาอยู่ที่ระดับ "แย่มาก" หน่วยงานอุทยานทางทะเลเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ระบุแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นความเสี่ยงมากที่สุด ภัยคุกคามอื่น ๆ มีอะไรบ้าง กิจกรรมของมนุษย์อย่าง การพัฒนาตามแนวชายฝั่ง และมลพิษจากการทำการเกษตร ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังมานานหลายปีแล้วเช่นกัน เศษตะกอน ไนโตรเจน และยาฆ่าแมลงจากพื้นที่การเกษตรใกล้เคียง ได้ไหลลงมาสู่แนวปะการัง ทำให้คุณภาพของน้ำแย่ลง และทำให้สาหร่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น การหาปลาผิดกฎหมายก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง และแม้แต่ตัวนักท่องเที่ยวเองก็ได้สร้างความเสียหายต่อปะการังขณะออกท่องเที่ยว ![]() ปะการังฟอกขาวในปี 2017 .... ที่มาของภาพ,BRETT MONROE GARNER ดาวมงกุฎหนาม ซึ่งเป็นนักล่าปะการังตามธรรมชาติ กลายเป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน เมื่อสัตว์ทะเลลดน้อยลง ดาวมงกุฎหนามขยายตัวมากขึ้น ปลาดาวเพียงตัวเดียวสามารถที่จะทำให้พื้นที่ปะการังขนาดใหญ่หายไปได้ มีการทำอะไรเพื่อปกป้องแนวปะการังนี้แล้วบ้าง หลังการฟอกขาวปะการังในปี 2016 และ 2017 รัฐบาลออสเตรเลียได้รับปากว่าจะมอบงบประมาณช่วยเหลือมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.21 หมื่นล้านบาท) มาตรการต่าง ๆ รวมถึง ความพยายามในการกำจัดดาวมงกุฎหนามและจ่ายเงินให้เกษตรกรเพื่อลดการปล่อยน้ำจากการทำการเกษตรลงทะเล แต่ผู้ไม่เห็นด้วยระบุว่า มาตรการเหล่านี้ไม่ได้ช่วยแก้ไขเรื่องสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่คุกคามอยู่ จำเป็นต้องทำอะไร ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หนทางเดียวในการรักษาแนวปะการังไว้คือ การเร่งตัดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง สหประชาชาติระบุว่า ต่อให้สามารถรักษาอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นเพียง 1.5 องศาเซลเซียส ปะการังราว 90% ของโลกจะยังคงตายอยู่ดี อุณหภูมิโลกได้เพิ่มขึ้นแล้วราว 1 องศาเซลเซียส นับตั้งแต่ช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า มนุษย์ต้องเลิกใช้เชื้อเพลิงที่มาจากฟอสซิล แม้ว่า ออสเตรเลียจะชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือปัญหาระดับโลก แต่ผู้ไม่เห็นด้วยระบุว่า รัฐบาลออสเตรเลียยังคงไม่เร่งดำเนินการ ในฐานะหนึ่งในประเทศที่ส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ที่สุดของโลก ออสเตรเลียยังคงสนับสนุนให้ใช้ถ่านหิน ก๊าซ และน้ำมัน โดยได้มีการโน้มน้าวให้ยูเนสโกขึ้นทะเบียนแนวปะการังนี้ให้อยู่ในกลุ่ม "ตกอยู่ในอันตราย" รัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของแนวปะการังนี้ เป็นแหล่งที่มีอุตสาหกรรมถ่านหินมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ออสเตรเลีย รับปากว่าจะตัดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 26% จากระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2005 ให้ได้ภายในปี 2030 แต่สหประชาชาติระบุว่า ออสเตรเลียยังห่างไกลจากเป้าหมายนั้น จนถึงขณะนี้ออสเตรเลียยังคงไม่ยอมรับปากว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 แม้ว่า สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร และหลายชาติในเอเชียและยุโรปรับปากแล้วก็ตาม https://www.bbc.com/thai/international-57962757
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|