![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ส่อง COP26 : ความหวังสำคัญในการอนุรักษ์มหาสมุทร .......... ต่อ ![]() เครดิตภาพ https://thaipublica.org/2021/11/sustainability4all05/ จอห์น เคอร์รี ผู้แทนพิเศษด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐอเมริกา กล่าวในที่ประชุมสหประชาชาติเร็วๆ นี้ว่า สหรัฐอเมริกาตระหนักดีถึงความเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรกับสภาพภูมิอากาศอย่างแยกไม่ออก และจะให้การสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ทะเลที่สำคัญๆ เช่น 30?30 ซึ่งตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่คุ้มครองทางทะเล หรือพื้นที่ที่ปลอดจากกิจกรรมประมงทำลายล้าง เช่น อวนลาก ให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2030 รวมไปถึงการผลักดันพันธกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการขนส่งทางเรือให้เป็นศูนย์ (Zero Emission Shipping Mission) โดยเรือขนส่งขนาดยักษ์อย่างน้อยร้อยละ 5 ต้องเดินเรือโดยไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเลยภายในปี 2030 ข้อเรียกร้อง 30?30 ที่พยายามผลักดันให้เกิดพื้นที่คุ้มครองทางทะเลทั่วโลกให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ภายในปี 2030 ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ และได้รับการบรรจุอยู่ในร่างเบื้องต้นของข้อตกลงการประชุมสุดยอดด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (COP15) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะนักวิทยาศาสตร์มองว่า เป็นมาตรการที่ชัดเจนและจับต้องได้ที่สุด โดยในปัจจุบันเรามีพื้นที่คุ้มครองทางทะเลโดยรวมทั้งหมดทั่วโลกราวร้อยละ 8 เท่านั้น ส่วนของประเทศไทย ปัจจุบันมีพื้นที่คุ้มครองทางทะเลไม่ถึงร้อยละ 6 การเพิ่มพื้นที่คุ้มครองทางทะเลให้ได้ถึงร้อยละ 30 ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกจึงนับเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง ความร่วมมือ Because the Ocean เป็นการรวมกลุ่มของประเทศพัฒนาและกำลังพัฒนาจำนวน 41 ประเทศ (พ.ย. 2021) ที่ต้องการชูบทบาทของมหาสมุทรในนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Ocean-Climate nexus) ตั้งแต่การประชุม COP21 ที่กรุงปารีส ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ความร่วมมือ Because the Ocean ได้ผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าในการพิจารณามาตรการอนุรักษ์ทะเลให้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (Nationally Determined Contributions ? NDCs) ภายใต้ข้อตกลงปารีส นอกจากนี้ยังได้รวบรวมมาตรการที่เกี่ยวข้องกับมหาสมุทรในยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนำเอามหาสมุทรมาเป็นส่วนหนึ่งของทางออก ซึ่งสามารถใช้ได้กับ NDCs แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAPs) แผนการสื่อสารด้านการปรับตัว (AC) และกรอบนโยบายระดับชาติ (National Policy Framework) แอนนา-มารี ลอรา ผู้อำนวยการนโยบายสภาพภูมิอากาศของ Ocean Conservancy กล่าวว่า การประชุม COP26 ต้องบูรณาการประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมหาสมุทรเข้าไปในกระบวนการพิจารณาด้วย โดยหวังว่าจะเห็นการเชื่อมโยงด้านนโยบายระหว่างมหาสมุทรและสภาพภูมิอากาศ (Ocean-Climate Dialogue) เป็นผลสำเร็จหลังการประชุม ส่วน Ghislaine Llewellyn รักษาการฝ่ายมหาสมุทรของ WWF International ให้ความเห็นว่า หาก COP26 ประสบความสำเร็จ เราคงจะได้เห็นเรื่องของมหาสมุทรอยู่ในแผนการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจน รวมไปถึงการลงทุนด้านงบประมาณให้มากเพียงพอต่อการแก้ไขปัญหา "คนนับล้านๆ ที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งและหมู่เกาะที่ลุ่มต่ำ ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องสู้สุดชีวิต และเรียกร้องให้หัวหน้ารัฐบาลในงานประชุมครั้งนี้ต้องยกระดับการแก้ปัญหา เพราะวิกฤติด้านสภาพภูมิอากาศก็คือวิกฤติทางทะเล ซึ่งเราได้เห็นตัวอย่างจากปรากฏการณ์คลื่นความร้อนที่ทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรสูงขึ้นจนทำให้ระบบนิเวศทางทะเลหลายแห่งพังพินาศ โดยเฉพาะแนวปะการังเกรตแบริเออร์รีฟในออสเตรเลีย" แอนนา-มารี กล่าวทิ้งท้าย ล่าสุดระหว่างการประชุม COP26 ปานามา เอกวาดอร์ โคลัมเบีย และคอสตาริกา ได้ประกาศถึงความร่วมมือในการจัดตั้งเครือข่ายพื้นที่คุ้มครองทางทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันออก (Eastern Tropical Pacific Marine Corridor หรือ CMAR) ที่จะทำให้เกิดพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่ปราศจากการทำประมงที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 ร้อยล้านไร่ หรือมีขนาดพอๆ กับประเทศไทยทั้งประเทศ พื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นทางการอพยพสำคัญของสัตว์ทะเลหายากทั้งเต่าทะเล วาฬ ฉลาม และปลากระเบน นับเป็นการแสดงเจตนารมณ์สำคัญในการอนุรักษ์มหาสมุทร ที่จะช่วยสนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาโลกร้อน การประชุม COP26 เป็นเวทีสำคัญในการประชุมและต่อรองเพื่อหาทางออก ทุกประเทศต้องเร่งแก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วนและรับผิดชอบโดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบก้าวกระโดดให้ได้ และต้องตระหนักว่าการแก้ปัญหาวิกฤตทางทะเลก็นับเป็นการลงมือแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศด้วยเช่นกัน ยังต้องติดตามว่าจะมีแผนการอนุรักษ์มหาสมุทรที่ได้รับรองจากการประชุม COP26 ครั้งนี้หรือไม่ ทั้งนี้ ทุกประเทศต้องไม่ลืมว่าการที่มหาสมุทรจะช่วยปกป้องเราจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ต้องเป็นระบบนิเวศที่ยังสมดุล สมบูรณ์และได้รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ที่ผ่านการทำงานในองค์กรสิ่งแวดล้อมระดับโลกหลายแห่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาโครงการเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและความยั่งยืน, เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ReReef รวมถึงเป็นนักเขียน นักแปลบทความด้านสิ่งแวดล้อมและทางออกด้านการอนุรักษ์ เครดิตข้อมูลที่มา : https://thaipublica.org/2021/11/sustainability4all05/ https://mgronline.com/greeninnovatio.../9640000111443
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
ชาวฮินดูลงแม่น้ำในอินเดีย แม้ "โฟมพิษ" ลอยฟ่อง ตัก-อาบประกอบพิธีกรรม ![]() ชาวฮินดูลงแม่น้ำในอินเดีย ? วันที่ 10 พ.ย. ซีเอ็นเอ็น และ รอยเตอร์ รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในอินเดียว่า โฟมพิษที่ก่อตัวเป็นชั้นลอยเหยือผิวน้ำหลายส่วนของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ใกล้กรุงนิวเดลี ขณะที่ชาวฮินดูรวมตัวกันริมแม่น้ำสายนี้เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลศาสนา และศาสนานิกชนบางคนลงไปอาบน้ำด้วย. ฟองโฟมขาวที่ผสมกันระหว่างน้ำเสียและขยะอุตสาหกรรมก่อตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในหลายส่วนของแม่น้ำยมุนา (Yamuna River) ? สาขาของแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ ? ซึ่งไหลไปทางใต้ราว 1,376 กิโลเมตร จากเทือกเขาหิมาลัย ผ่านหลายรัฐของประเทศ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า โฟมที่มีกลิ่นฉุนและลอยเหนือผิวน้ำประกอบด้วยแอมโมเนียและฟอสเฟตในปริมาณสูง ซึ่งสามารถส่งผลในปัญหาระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง. ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลฉัฐปูชา (Chhath Puja) ซึ่งเป็นเทศกาลที่อุทิศแด่สุริยเทพ เมื่อต้นสัปดาห์นี้ โดยชาวฮินดูบางคนลุยโฟมพิษเพื่ออาบน้ำและสวดมนต์ในแม่น้ำ. กัณจัญ เทวี ศาสนิกชนผู้หนึ่ง บอกกับรอยเตอร์ว่า ไม่มีทางเลือกแต่จำเป็นต้องอาบน้ำปนเปื้อน "น้ำสกปรกสุดๆ แต่เราไม่ทางตัวเลือกมากนัก. การอาบน้ำในแม่น้ำเป็นพิธีกรรม เราจึงมาที่นี่เพื่ออาบน้ำ" ส่วนเพรส ทรัสต์ ออฟ อินเดีย รายงานว่า รัฐบาลส่งเรือดำน้ำไปตักโฟมออก แต่ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่า อาจเกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ. "แม่น้ำในเขตพื้นที่ของกรุงเดลีเป็นแม่น้ำที่เสื่อมโทรมในระบบนิเวศ. ไม่มีปลาหรือนกน้ำจืด เป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว" ภิม สิงห์ เรวัต จากเครือข่ายเอเชียใต้ว่ายด้วยเขื่อน แม่น้ำ และประชาชน (SANDRP) กล่าว ![]() NEW DELHI, INDIA ? NOVEMBER 8: A view of the toxic foams floating on Yamuna Water at ITO, on November 8, 2021 in New Delhi, India. (Photo by Amal KS/Hindustan Times via Getty Images) แม่น้ำปนเปื้อนของอินเดีย เป็นเวลาหลายทศวรรษ หลายพื้นที่ของแม่น้ำยมุนาได้รับผลกระทบจากการทิ้งสารเคมีที่เป็นพิษและน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัด. ในหลายพื้นที่ แม่น้ำดำและเป็นโคลน ขณะที่ขยะพลาสติกเรียงรายริมฝั่งแม่น้ำ. คณะกรรมการติดตามของรัฐบาลระบุว่า แม่น้ำแห้งนี้มีมลพิษมากที่สุดในพื้นที่โดยรอบกรุงนิวเดลี เนื่องจากประชากรหนาแน่นในเมืองและมีขยะในปริมาณสูง. แม่น้ำเพียง 2% ของความยาวไหลผ่านเมืองหลวง แต่เมืองหลวงมีส่วนปริมาณมลพิษราว 76% ของทั้งหมดในแม่น้ำ. เรวัต จาก SANDRP กล่าวว่า แม่น้ำที่มีมลพิษส่งผลกระทบต่อผู้อาศัยอยู่ในหลายเมืองที่อยู่ปลายน้ำ "ชาวบ้านหลายพันคนใช้น้ำชลประทานจากแม่น้ำ. พวกเขาเอาถังลงแม่น้ำเพื่ออาบน้ำและดื่ม" ในปี 2560 โฟมคล้ายกันลอยเหนือผิวทะเลสาบ Varthur ในเมืองทางใต้ของบังกาลอร์ จากนั้น ลมกระโชกแรงพัดสารเคมีที่เป็นฟองออกมาบนถนน และในปีเดียวกันนั้น ไฟไหม้ทะเลสาบในบังกาลอร์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเกิดจากร่องรอยของน้ำมันในน้ำ. https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_6725250
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|