![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ปะการังอัจฉริยะ!! Innovareef นวัตกรรมตรวจวัดภาวะโลกร้อน - ฟื้นนิเวศทะเล ............. ต่อ ๐ อนาคต นวัตปะการังไทยรุ่นต่อๆ ไป สำหรับแผนการผลิตนวัตปะการังในอนาคต รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าวว่า "จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงอีก และจะเพิ่มความละเอียดสมจริงตามธรรมชาติให้กับปะการังเทียมยิ่งขึ้น" "สำหรับนวัตปะการังรุ่นต่อๆ ไป เราจะออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะเจาะจงเหมาะสมกับสัตว์น้ำแต่ละชนิดในละแวกนั้นๆ เช่น ปลาหมอทะเลชอบถิ่นอาศัยแบบถ้ำ ก็จะมีนวัตปะการังที่มีลักษณะแบบนั้น เป็นต้น" นอกจากนี้ ทีมวิจัยกำลังวิจัยต่อยอดร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ในการออกแบบนวัตปะการังที่ผสานนาโนเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถปกป้องปะการังจากสภาวะโลกร้อน "หากอุณหภูมิในท้องทะเลเปลี่ยนแปลงถึงจุดหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อปะการัง สารนาโนที่เคลือบอยู่บนนวัตปะการังจะแตกตัวแบบอัตโนมัติและปล่อยสารปกป้องไม่ให้ปะการังตาย" นวัตปะการังเป็นหนึ่งในความหวังที่จะฟื้นฟูแนวปะการังตามธรรมชาติให้กลับคืนมาสู่ท้องทะเลโดยเร็ว อาจใช้เวลา 10-20 ปี หรือกึ่งศตวรรษ แต่ก็ยังดีกว่าที่วันนี้เราไม่ได้เริ่มทำอะไร อย่างน้อยรุ่นลูกหลานต้องได้เห็นความงามของท้องทะเล "แม้ธรรมชาติจะถูกทำลายไปแล้ว แต่มนุษย์สามารถฟื้นฟูและสร้างธรรมชาติให้กลับคืนมาได้ด้วยการใช้นวัตกรรม เราหวังว่านวัตปะการังจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการฟื้นฟูระบบนิเวศ กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน การประมง และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์" รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าวทิ้งท้าย ผู้สนใจร่วมพัฒนา หรือนำนวัตปะการังไปใช้ฟื้นฟูระบบนิเวศทางน้ำ สามารถติดต่อ ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ (Veterinary Medical Aquatic Animals Research Center-VMARC) คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โทร. 0 2251 8887, 0 2218 9510 อีเมล vmarc.clinic@gmail.com ข้อมูลเพิ่มเติม https://mgronline.com/greeninnovatio.../9650000104111
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
อช.สิมิลัน เก็บ "ดาวมงกุฎหนาม" ผู้ล่า ตัวการทำแนวปะการังเสียหาย ![]() เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ดำน้ำกำจัดและสำรวจการแพร่ระบาดของปลาดาวมงกุฎหนามบริเวณเกาะบอนและเกาะตาชัย โดยปลาดาวมงกุฎหนาม (Crown-of-thorns starfish, Acanthaster planci) พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ดาวมงกุฎหนาม เป็นผู้ล่าที่สำคัญของปะการังและเป็นตัวการที่ทำให้แนวปะการังเสียหาย ทำให้จำนวนปะการังลดลงในธรรมชาติ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ยังดำเนินการดำน้ำเก็บขยะเศษซากเครื่องมือทำประมง บริเวณจุดดำน้ำลึกกองหินพินาเคิล เกาะตาชัย (Tachai Pinacle) รวมทั้งลาดตระเวนในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งไม่พบการกระทำผิดแต่อย่างใด https://www.matichon.co.th/local/qua...e/news_3650728
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
กรมประมง ฝังไมโครชิพปลาบึกถอดDNA เล็งปั้นสายพันธุ์คุณภาพ ป้องสูญพันธุ์ ![]() กรมประมง จัดทำข้อมูลรหัสประจำตัวปลาบึกอิงหลักพันธุศาสตร์พร้อมติดไมโครชิพ 100 ตัว ป้องผสมพันธุ์สายเลือดเดียวกัน ผลิตปลาบึกสายพันธุ์คุณภาพ คงความหลากหลายทางพันธุกรรมให้ปรับตัวได้ดีแม้ในสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง เล็งขยายเชิงพาณิชย์ นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ?ปลาบึก? ถือเป็นปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจัดเป็นปลาที่อยู่กลุ่มสัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ในอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์? (CITES) ในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix I) ในประเทศไทยพบการกระจายตัวอยู่ในแม่น้ำโขงตั้งแต่จังหวัดเชียงรายจนถึงจังหวัดอุบลราชธานี กรมประมงได้ศึกษาการเพาะพันธุ์ปลาบึกจนประสบความสำเร็จด้วยวิธีผสมเทียมครั้งแรกของโลกเมื่อปีพ.ศ. 2526 ปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะขยายพันธ์ปลาบึก และได้นำลูกพันธุ์ปลาที่ได้กระจายให้กับหน่วยงานกรมประมงทั่วประเทศเพื่อพัฒนาต่อยอดการขยายพันธุ์ทั้งในบ่อดินและบ่อซีเมนต์เพื่อไม่ให้ปลาบึกสูญพันธุ์ไป นอกจากนี้ กรมประมงได้ให้ความสำคัญกับการนำหลักพันธุศาสตร์มาวางแผนการผสมพันธุ์ทั้งในด้านจำนวนพ่อแม่พันธุ์ วิธีการผสม การนำปลารุ่นใหม่มาทดแทนพ่อแม่พันธุ์ปลาชุดเก่า ตลอดจนควบคุมกิจกรรมในโรงเพาะฟัก และควบคุมการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมให้เป็นไปในทิศทางที่ดี หลีกเลี่ยงการผสมเลือดชิด เพื่อคงความหลากหลายทางพันธุกรรมที่มีอยู่ไว้ให้มากที่สุด โดยในปี 2565 ได้วางแนวทางเบื้องต้นในการบริหารจัดการปลาบึกเพื่อการอนุรักษ์ในแม่น้ำโขงและการเพาะขยายพันธุ์เพื่อการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ ดังนี้ 1. วางแผนบริหารจัดการพันธุ์ปลาบึกให้เหมาะสมต่อการเพาะพันธุ์เพื่อการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์และปลาบึกที่เหมาะสมต่อการปล่อยในถิ่นกำเนิดแม่น้ำโขง 2. มอบหมายให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทุกจังหวัดรวบรวมข้อมูลความหลากหลายของปลาบึกที่อยู่ในจังหวัดและรายงานให้ทราบถึงแหล่งที่มาทางพันธุกรรมของพ่อแม่พันธุ์ปลาบึก 3. มอบหมายให้กองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด บูรณาการร่วมกันจัดทำโครงการวิจัยเกี่ยวกับปลาบึกเพื่อเสนอขอทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) และล่าสุดเพื่อคงความหลากหลายทางพันธุกรรมของสายพันธุ์ ตลอดจนควบคุมการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมปลาบึก กรมประมงได้ดำเนินการจัดทำข้อมูลรหัสประจำตัวปลาพร้อมฝังไมโครชิพ เพื่อบันทึกเป็นฐานข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับตัวปลา อาทิ แหล่งที่มา เพศปลา รวมถึงการใช้ประโยชน์ร่วมกับข้อมูลเครื่องหมายพันธุกรรมเพื่อระบุคู่ผสมที่มีความแตกต่างทางพันธุกรรม ซึ่งจะนำไปสู่การจัดทำแผนการเพาะพันธุ์ปลาบึกให้คงความหลากหลายทางพันธุกรรมอย่างยั่งยืน นายสง่า ลีสง่า ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ กล่าวเพิ่มเติมว่า การฝังไมโครชิพในครั้งนี้ กรมประมงได้ทำการฝังไมโครชิพในปลาบึกน้ำหนัก 10 - 60 กิโลกรัม จำนวน 100 ตัวที่นายเสน่ห์ ผลประสิทธิ์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิด้านการจัดการทรัพยากรประมง ได้มอบให้กรมประมงไว้ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย ด้วยกระบอกฉีดพิเศษที่ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับร่างกายสัตว์น้ำเมื่อฝังไมโครชิพเข้าไปชั้นใต้ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ พร้อมเก็บข้อมูลการเจริญเติบโต อาทิ น้ำหนัก ความยาวลำตัวและรอบอก ตลอดจนเก็บตัวอย่างครีบปลาบึกเพื่อใช้สำหรับตรวจสอบข้อมูลด้านดีเอ็นเอในอนาคต เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลทางพันธุกรรมก่อนกระจายไปยังหน่วยงานต่าง ๆ การเพาะขยายพันธุ์ปลาบึก ความยากอยู่ที่การลำเลียงพ่อแม่พันธุ์ขึ้นมาศึกษาวิจัย โดยไม่ให้ได้รับความบอบช้ำ เนื่องจากเป็นปลาที่ตายง่ายมาก อีกทั้งแหล่งที่อยู่อาศัยในธรรมชาติเสื่อมโทรมลงทำให้ประชากรปลาบึกไม่สามารถสืบพันธุ์และเจริญเติบโตได้ทันต่อความต้องการ ส่งผลให้จำนวนประชากรปลาบึกตามธรรมชาติลดลงอย่างต่อเนื่อง นับเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของกรมประมงที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในอนุรักษ์ปลาบึกเพื่อคงไว้ในแม่น้ำโขงสืบไป https://www.bangkokbiznews.com/environment/1035089
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
เตรียมเซ็น MOU แก้ปัญหาโลมาสูญพันธุ์จากโครงการสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา .................. โดย นราวิชญ์ เชาวน์ดี สองกระทรวง ?คมนาคม-ทรัพยากรฯ? เตรียมเซ็น MOU แก้ปัญหาการสูญพันธุ์ของ "14 ตัวสุดท้าย โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา" คาดมาตรการก่อน-ระหว่าง-หลังก่อสร้างจะช่วยได้ ผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์ทางทะเล "ธรณ์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์" ชี้ "งบประมาณ" น่าจะเป็นปัจจัยชี้ขาดความเป็นไปได้ เสนอตั้งกองทุนอนุรักษ์โลมาช่วยระยะยาว "หากจะหาโอกาสจากวิกฤต" ![]() (ภาพ : NEGROS SEASON OF CULTURE) แก้ปัญหาด้วย MOU วันนี้ (1 พ.ย. 2565) ได้มีการจัดการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เรื่องการแก้ปัญหาโลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลาสูญพันธุ์ สืบเนื่องจากโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ที่สำนักงาน ทส. กรุงเทพฯ "เพื่อหารือเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม พร้อมป้องกันปัญหาโลมาอิรวดีสูญพันธุ์บริเวณทะเลสาบสงขลา โดยมี 6 หน่วยงานประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ข้อสรุปว่าจะมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความมือ (MOU) การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหาการใกล้สูญพันธุ์ของโลมาอิรวดี ในบริเวณทะเลสาบสงขลา ระหว่างสองกระทรวง โดยมีคณะกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงความมือ (MOU) ประกอบด้วย ผู้แทนกรมทางหลวงชนบท กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้แทนจากหน่วยงานในพื้นที่ โดยจะมีการประชุมวางแผนจัดทำร่าง MOU ใน 8 และ 22 พฤศจิกายน 2565 และจะนำเข้าที่ประชุมผู้บริหารเพื่อพิจารณาเห็นชอบกรอบความร่วมมือใน 29 พฤศจิกายน 2565 จากนั้นจะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอพิจารณาอนุมัติในเดือนธันวาคม 2565 และคาดว่าจะมีพิธีลงนาม MOU บริเวณจุดเริ่มต้นโครงการก่อสร้างจังหวัดพัทลุง ในเดือนมกราคม 2566" อภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผย โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา-อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง วงเงิน 4,841 ล้านบาท ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 18 ต.ค. 2565 เป็นโครงการก่อสร้างสะพานขนาด 2 ช่องจราจร (สามารถขยายเป็น 4 ช่องจราจรได้ในอนาคต) รูปแบบสะพานคานขึง (Extradosed Bridge) และสะพานคานคอนกรีตรูปกล่องความหนาคงที่ (Box Segmental Bridge) รวมระยะทางทั้งสิ้น 7 กิโลเมตร เชื่อม จ.พัทลุง กับ จ.สงขลา เพื่อลดระยะทางประมาณ 80 กม. หรือลดระยะเวลาในการเดินทางราว 2 ชั่วโมง คาดว่าเมื่อแล้วเสร็จจะเป็นแลนด์มาร์ค (Landmark) ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในพื้นที่ ส่งเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกในการคมนาคมขนส่ง กำหนดเริ่มสร้างปลายปี 66-68 ใช้เวลาสร้าง 3 ปี จากนั้นจะเปิดให้ประชาชนสัญจรภายในปี 69 "ส่วนของ ทช. ได้มีมาตรการ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ก่อนดำเนินการก่อสร้าง จะต้องทำการศึกษาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำผลการศึกษามาดำเนินการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด ระหว่างก่อสร้าง หากมีอะไรส่งผลกระทบต่อโลมาอิรวดีหรือสิ่งแวดล้อม ทช. จะปรับเปลี่ยนแผนดำเนินงาน เพื่อลดผลกระทบให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด และหลังการก่อสร้าง ทช. จะติดตามผลการดำเนินงานในทุกมิติ เพื่อที่จะพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ทั้งนี้ ทช. จะนำข้อคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่านมาทำการศึกษา เพื่อหาแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมแก้ไขปัญหาการใกล้สูญพันธุ์ของโลมาอิรวดีในบริเวณทะเลสาบสงขลาต่อไป" อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผย "งบประมาณ" ปัจจัยชี้ขาด "เป็นการประชุมที่สำคัญมาก ๆ เพราะถือว่าเป็นการประชุมครั้งแรก ๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาและอนุรักษ์มาร่วมกันเพื่อการคงอยู่ของสัตว์ทะเลหายาก โลมาอิรวดี ที่เหลือเพียง 14 ตัวสุดท้ายในประเทศไทยที่ทะเลสาบสงขลา ผมเข้าร่วมในฐานะประธานคณะทำงานสัตว์ทะเลหายาก ได้ฟังและได้เสนอแนะบางเรื่องต่อที่ประชุม อันมีท่านเลขารัฐมนตรีทั้ง 2 กระทรวง ท่านอธิบดีทั้งสองกรม และอีกหลายท่านเข้าร่วม อันดับแรกคือการดูแลผลกระทบระหว่างการก่อสร้าง กรมทางหลวงชนบทกำหนดไว้ 4 มาตรการ ปรากฏใน EIA (รายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ) เช่น 1. ม่านดักตะกอน 2. ลาดตระเวนตรวจดูโลมาหากบังเอิญเข้ามาใกล้ 3. ระบบ Acoustic Survey ตามประชากรโลมา และ 4. การช่วยดูแลพี่น้องชาวประมงและเพิ่มที่อยู่ของสัตว์น้ำซึ่งนั่นก็เป็นตามหลักการ ดูแลผลกระทบโดยตรง เพิ่มข้อมูลวิจัยให้มากขึ้น และการช่วยลดผลกระทบอื่นๆ ในส่วนของกระทรวงทรัพยากรฯ หลักๆ คือกรมทะเล มีโครงการต่างๆ นำเสนอเพียบเลยครับ ครอบคลุมแทบทุกด้าน แต่สิ่งสำคัญในส่วนนี้คืองบประมาณที่เพียงพอปัญหาเรื่องงบเป็นปรกติทั่วไป เสนอแล้วโดนตัดจากขั้นตอนต่างๆ ทำให้หลายฝันไปไม่ถึงเป้าหมาย ว่าง่ายๆ คืองานบางอย่างโดนหั่นเยอะไปจนทำแค่นั้นมันก็ไม่มีประโยชน์เพราะฉะนั้น จุดสำคัญสำหรับผมคืองบประมาณในตอนจบ ไม่ใช่ตอนเริ่มหากเราอยากได้ผลลัพธ์ เราต้องเน้นย้ำตรงนี้" ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยผ่านเฟสบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat เสนอตั้ง "กองทุนเพื่ออนุรักษ์โลมา" นอกจากในเรื่องงบประมาณที่ต้องรอดูต่อไปแล้ว ผศ.ดร.ธรณ์ ยังเสนอการจัดตั้งกองทุนเพื่ออนุรักษ์โลมา ศูนย์อนุรักษ์โลมาในพื้นที่กรมทางหลวงชนบทโดยร่วมมือกับ กรมทะเล และหน่วยพิทักษ์ของเขตห้ามล่า ร่วมมือกับกรมอุทยาน "ผมเสนอการจัดตั้งกองทุนเพื่ออนุรักษ์โลมา ซึ่งเปิดให้องค์กรต่างๆ และผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมช่วยได้ ยังหมายถึงการใช้เงินที่ง่ายขึ้นกว่าเงินงบประมาณปรกติ ยังมีอีกบางงานที่อาจทำร่วมกัน เช่น ศูนย์อนุรักษ์โลมาในพื้นที่กรมทางหลวงชนบท (ร่วมกับกรมทะเล) หน่วยพิทักษ์ของเขตห้ามล่า (ร่วมกับกรมอุทยาน) ทั้งหมดนั้น ทำให้เราพอเห็นกรอบและเห็นเส้นทางที่ต้องไป ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีมาก ผมเห็นความตั้งใจจริงของทุกหน่วยงานที่เข้าร่วม ทว่า?เรื่องนี้เป็นงานแสนสาหัส นักอนุรักษ์ทั่วโลกทราบดีว่าการอนุรักษ์โลมาน้ำจืดคือที่สุดของที่สุดแห่งความยาก เป็นประชากรเฉพาะ พื้นที่อาศัยจำกัด มีการใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ แต่มองในมุมกลับกัน เมื่อเมืองไทยเอาจริงกับเรื่องนี้ มันจึงเป็นโอกาสดียิ่ง และเป็นก้าวกระโดดของการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากของไทย" ผศ.ดร.ธรณ์กล่าว https://greennews.agency/?p=31266
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|