![]() |
|
#8
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
เตรียมเซ็น MOU แก้ปัญหาโลมาสูญพันธุ์จากโครงการสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา .................. โดย นราวิชญ์ เชาวน์ดี สองกระทรวง ?คมนาคม-ทรัพยากรฯ? เตรียมเซ็น MOU แก้ปัญหาการสูญพันธุ์ของ "14 ตัวสุดท้าย โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา" คาดมาตรการก่อน-ระหว่าง-หลังก่อสร้างจะช่วยได้ ผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์ทางทะเล "ธรณ์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์" ชี้ "งบประมาณ" น่าจะเป็นปัจจัยชี้ขาดความเป็นไปได้ เสนอตั้งกองทุนอนุรักษ์โลมาช่วยระยะยาว "หากจะหาโอกาสจากวิกฤต" ![]() (ภาพ : NEGROS SEASON OF CULTURE) แก้ปัญหาด้วย MOU วันนี้ (1 พ.ย. 2565) ได้มีการจัดการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เรื่องการแก้ปัญหาโลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลาสูญพันธุ์ สืบเนื่องจากโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ที่สำนักงาน ทส. กรุงเทพฯ "เพื่อหารือเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม พร้อมป้องกันปัญหาโลมาอิรวดีสูญพันธุ์บริเวณทะเลสาบสงขลา โดยมี 6 หน่วยงานประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ข้อสรุปว่าจะมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความมือ (MOU) การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหาการใกล้สูญพันธุ์ของโลมาอิรวดี ในบริเวณทะเลสาบสงขลา ระหว่างสองกระทรวง โดยมีคณะกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงความมือ (MOU) ประกอบด้วย ผู้แทนกรมทางหลวงชนบท กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้แทนจากหน่วยงานในพื้นที่ โดยจะมีการประชุมวางแผนจัดทำร่าง MOU ใน 8 และ 22 พฤศจิกายน 2565 และจะนำเข้าที่ประชุมผู้บริหารเพื่อพิจารณาเห็นชอบกรอบความร่วมมือใน 29 พฤศจิกายน 2565 จากนั้นจะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอพิจารณาอนุมัติในเดือนธันวาคม 2565 และคาดว่าจะมีพิธีลงนาม MOU บริเวณจุดเริ่มต้นโครงการก่อสร้างจังหวัดพัทลุง ในเดือนมกราคม 2566" อภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผย โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา-อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง วงเงิน 4,841 ล้านบาท ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 18 ต.ค. 2565 เป็นโครงการก่อสร้างสะพานขนาด 2 ช่องจราจร (สามารถขยายเป็น 4 ช่องจราจรได้ในอนาคต) รูปแบบสะพานคานขึง (Extradosed Bridge) และสะพานคานคอนกรีตรูปกล่องความหนาคงที่ (Box Segmental Bridge) รวมระยะทางทั้งสิ้น 7 กิโลเมตร เชื่อม จ.พัทลุง กับ จ.สงขลา เพื่อลดระยะทางประมาณ 80 กม. หรือลดระยะเวลาในการเดินทางราว 2 ชั่วโมง คาดว่าเมื่อแล้วเสร็จจะเป็นแลนด์มาร์ค (Landmark) ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในพื้นที่ ส่งเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกในการคมนาคมขนส่ง กำหนดเริ่มสร้างปลายปี 66-68 ใช้เวลาสร้าง 3 ปี จากนั้นจะเปิดให้ประชาชนสัญจรภายในปี 69 "ส่วนของ ทช. ได้มีมาตรการ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ก่อนดำเนินการก่อสร้าง จะต้องทำการศึกษาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำผลการศึกษามาดำเนินการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด ระหว่างก่อสร้าง หากมีอะไรส่งผลกระทบต่อโลมาอิรวดีหรือสิ่งแวดล้อม ทช. จะปรับเปลี่ยนแผนดำเนินงาน เพื่อลดผลกระทบให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด และหลังการก่อสร้าง ทช. จะติดตามผลการดำเนินงานในทุกมิติ เพื่อที่จะพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ทั้งนี้ ทช. จะนำข้อคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่านมาทำการศึกษา เพื่อหาแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมแก้ไขปัญหาการใกล้สูญพันธุ์ของโลมาอิรวดีในบริเวณทะเลสาบสงขลาต่อไป" อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผย "งบประมาณ" ปัจจัยชี้ขาด "เป็นการประชุมที่สำคัญมาก ๆ เพราะถือว่าเป็นการประชุมครั้งแรก ๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาและอนุรักษ์มาร่วมกันเพื่อการคงอยู่ของสัตว์ทะเลหายาก โลมาอิรวดี ที่เหลือเพียง 14 ตัวสุดท้ายในประเทศไทยที่ทะเลสาบสงขลา ผมเข้าร่วมในฐานะประธานคณะทำงานสัตว์ทะเลหายาก ได้ฟังและได้เสนอแนะบางเรื่องต่อที่ประชุม อันมีท่านเลขารัฐมนตรีทั้ง 2 กระทรวง ท่านอธิบดีทั้งสองกรม และอีกหลายท่านเข้าร่วม อันดับแรกคือการดูแลผลกระทบระหว่างการก่อสร้าง กรมทางหลวงชนบทกำหนดไว้ 4 มาตรการ ปรากฏใน EIA (รายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ) เช่น 1. ม่านดักตะกอน 2. ลาดตระเวนตรวจดูโลมาหากบังเอิญเข้ามาใกล้ 3. ระบบ Acoustic Survey ตามประชากรโลมา และ 4. การช่วยดูแลพี่น้องชาวประมงและเพิ่มที่อยู่ของสัตว์น้ำซึ่งนั่นก็เป็นตามหลักการ ดูแลผลกระทบโดยตรง เพิ่มข้อมูลวิจัยให้มากขึ้น และการช่วยลดผลกระทบอื่นๆ ในส่วนของกระทรวงทรัพยากรฯ หลักๆ คือกรมทะเล มีโครงการต่างๆ นำเสนอเพียบเลยครับ ครอบคลุมแทบทุกด้าน แต่สิ่งสำคัญในส่วนนี้คืองบประมาณที่เพียงพอปัญหาเรื่องงบเป็นปรกติทั่วไป เสนอแล้วโดนตัดจากขั้นตอนต่างๆ ทำให้หลายฝันไปไม่ถึงเป้าหมาย ว่าง่ายๆ คืองานบางอย่างโดนหั่นเยอะไปจนทำแค่นั้นมันก็ไม่มีประโยชน์เพราะฉะนั้น จุดสำคัญสำหรับผมคืองบประมาณในตอนจบ ไม่ใช่ตอนเริ่มหากเราอยากได้ผลลัพธ์ เราต้องเน้นย้ำตรงนี้" ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยผ่านเฟสบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat เสนอตั้ง "กองทุนเพื่ออนุรักษ์โลมา" นอกจากในเรื่องงบประมาณที่ต้องรอดูต่อไปแล้ว ผศ.ดร.ธรณ์ ยังเสนอการจัดตั้งกองทุนเพื่ออนุรักษ์โลมา ศูนย์อนุรักษ์โลมาในพื้นที่กรมทางหลวงชนบทโดยร่วมมือกับ กรมทะเล และหน่วยพิทักษ์ของเขตห้ามล่า ร่วมมือกับกรมอุทยาน "ผมเสนอการจัดตั้งกองทุนเพื่ออนุรักษ์โลมา ซึ่งเปิดให้องค์กรต่างๆ และผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมช่วยได้ ยังหมายถึงการใช้เงินที่ง่ายขึ้นกว่าเงินงบประมาณปรกติ ยังมีอีกบางงานที่อาจทำร่วมกัน เช่น ศูนย์อนุรักษ์โลมาในพื้นที่กรมทางหลวงชนบท (ร่วมกับกรมทะเล) หน่วยพิทักษ์ของเขตห้ามล่า (ร่วมกับกรมอุทยาน) ทั้งหมดนั้น ทำให้เราพอเห็นกรอบและเห็นเส้นทางที่ต้องไป ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีมาก ผมเห็นความตั้งใจจริงของทุกหน่วยงานที่เข้าร่วม ทว่า?เรื่องนี้เป็นงานแสนสาหัส นักอนุรักษ์ทั่วโลกทราบดีว่าการอนุรักษ์โลมาน้ำจืดคือที่สุดของที่สุดแห่งความยาก เป็นประชากรเฉพาะ พื้นที่อาศัยจำกัด มีการใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ แต่มองในมุมกลับกัน เมื่อเมืองไทยเอาจริงกับเรื่องนี้ มันจึงเป็นโอกาสดียิ่ง และเป็นก้าวกระโดดของการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากของไทย" ผศ.ดร.ธรณ์กล่าว https://greennews.agency/?p=31266
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|