เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 03-12-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


มุมมองนักวิชาการ กับ กำแพงกันคลื่น ที่ต้องทำ EIA เพราะเป็นโครงการผลาญงบ ............... ผศ.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง ผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมชายฝั่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์



"ทะเล" นิยามในภาพจำของใครหลายคนที่อาจมีองค์ประกอบหลักๆคือหาดทรายสายลมแสงแดดและเสียงคลื่นแต่ในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์แพร่ระบาดของ กำแพงกันคลื่น ทั่วประเทศโดยเฉพาะหาดท่องเที่ยวสำคัญเช่นหาดชะอำและหาดปราณบุรี นั่นทำให้ภาพจำของทะเลในสายตาของคนรุ่นใหม่เริ่มเปลี่ยนไปเพราะหลังปรากฎโครงสร้างดังกล่าวทำให้หาดทรายที่เคยสวยงามถูกแทนที่ด้วยกำแพงกันคลื่นแบบขั้นบันไดที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร้น้ำสีเขียวและลื่น (เป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยว) บางหาดมีซากปรักหักพังของ กำแพงกันคลื่น ที่เสียหายที่สำคัญคือเมื่อมีกำแพงกันคลื่นจะทำให้เกิดการม้วนตัวของคลื่นหน้ากำแพงและพัดพาเอาทรายออกไปทำให้หาดทรายที่ในอดีตเคยทอดยาวสุดลูกหูลูกตาในช่วงฤดูที่ไม่มีมรสุมหายไปอย่างถาวร

ชายฝั่งทะเลเป็นพื้นที่เปราะบางและมีพลวัตสูงที่สุดในโลกความหมายคือมีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติไปอย่างไม่หยุดนิ่งและหากปรากฎสิ่งแปลกปลอมเข้ามากระทบเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดการเสียสมดุลได้โดยเฉพาะในยุคนี้ที่มีภาวะวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change เข้ามาเป็นปัจจัยเสริม นั่นทำให้กระบวนการชายหาดที่นักวิชาการเคยวิเคราะห์หรือคาดคิดไว้อาจเปลี่ยนไปจากเดิมในอดีตจึงทำให้การแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทุกชนิด มีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยขั้นตอนการศึกษาที่รอบด้านและต้องผ่านกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่ในช่วงปี 2556 กลับมีการถอดโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นออกจากโครงการที่ต้องจัดทำEIA เป็นที่มาที่ทำให้ในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์แพร่ระบาดของกำแพงกันคลื่นทั่วประเทศ

ผศ.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง ผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมชายฝั่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ อธิบายความจำเป็นที่โครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นต้องจัดทำ EIA ไว้ 2 ประเด็น

- ประเด็นแรก มองว่า การทำ EIA ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าโครงสร้างเหล่านี้จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบกับสภาพแวดล้อม แต่สิ่งสำคัญคือ ชาวบ้านในพื้นที่ที่ประสบปัญหาสามารถยอมรับผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังมีโครงสร้างได้หรือไม่

- อีกประเด็นคือ ภาครัฐได้มีความพยายามที่จะลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งกระบวนการทำ EIA ต้องจัดทำอย่างเข้มข้นมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย ดังนั้นเมื่อย้อนกลับมาจะพบว่าหากไม่มีการจัดทำ EIA ก็จะเป็นช่องว่างที่ทำให้ประเด็นหลักทั้ง 2 ข้อ ไม่มีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติ หรือสภาพบังคับทางกฎหมาย เมื่อเกิดปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจะไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้มากนัก อนึ่งการเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน เป็นหลักประกันสิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐที่ดี เพราะปัจจุบันจะเห็นว่าแม้จะมีบางโครงการที่ต้องมีขั้นตอนการจัดทำEIAอยู่แล้ว แต่ก็ยังปรากฎขั้นตอนที่บิดเบี้ยว ดังนั้นจะนับประสาอะไรกับโครงการที่ไม่ต้องจัดทำEIA ว่ากระบวนการที่บิดเบี้ยวและไม่สามารถตรวจสอบได้แค่ไหน และนั่นเป็นที่มาที่ทำให้ภาคประชาชนต้องเคลื่อนไหว

?แล้วแนวทางไหนดีที่สุดในการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง?

นี่เป็นคำถาม? ?ที่นักวิชาการและหน่วยงานรัฐต้องหาคำตอบ โดยจะต้องวิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมและตัวแปรที่เป็นปัจจัยสำคัญของปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบที่ได้ ไม่น่าจะใช่ คำตอบเดียวกันในทุกโจทย์ เพราะแต่ละพื้นที่ มีสภาพแตกต่างกัน แต่จะเห็นว่าขณะนี้ กรมเจ้าท่า และ กรมโยธาธิการและผังเมือง พยายามยัดเยียดคำตอบเดิม ๆ ให้กับโจทย์ทุกข้อ ซึ่งหากสามารถแก้ปัญหาได้จริง งบประมาณที่นำมาใช้ควรจะลดลงได้แล้ว แต่หากตรวจสอบจะพบว่าแนวโน้มงบประมาณที่นำมาใช้ในการสร้างกำแพงกันคลื่นกลับเพิ่มขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมชายฝั่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ เปรียบเทียบแนวทางแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งว่าคล้ายกับอาการป่วยที่ต้องกินยาตามแต่ละระดับ เริ่มจากยาอ่อน แต่หากไม่หายจึงค่อยปรับเป็นยาแรง ซึ่งแตกต่างจากวิธีที่กรมโยธาธิการและผังเมืองกำลังเลือกใช้อยู่ เพราะพวกเขามักใช้ยาแรงเข้าไปทันทีโดยไม่ตรวจสอบอาการ ยกตัวอย่างเช่น โครงการปักไม้ชะลอคลื่น หรือ วางถุงทรายขนาดใหญ่ ที่เป็นมาตรการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งแบบชั่วคราว เมื่อถึงฤดูมรสุม หน่วยงานท้องถิ่นจะต้องเริ่มดำเนินการ และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลกัดเซาะหน่วยงานท้องถิ่นก็จะต้องนำโครงสร้างเหล่านี้ออกไป วิธีนี้เป็นจุดอ่อนที่รัฐมองและชอบอ้างว่าเป็นวิธีที่ต้องทำต่อเนื่อง สร้างความลำบากให้กับหน่วยงานท้องถิ่น แต่จากการคำนวน งบประมาณการทำโครงการปักไม้ชะลอคลื่น ของเทศบาลเมืองม่วงงาม จ.สงขลา พบว่าโครงการนี้ไม่ได้ทำทุกปี คือ ในปี 2560 ใช้งบประมาณ 552,660 บาท , ปี 2561 ใช้งบประมาณ 127,400 ปี 2562 ไม่มีการจัดทำเพราะไม่มีการกัดเซาะ และปี 2563 ใช้งบประมาณ 39,000 บาท รวม 4 ปี ใช้งบประมาณ 719,060 บาท

เมื่อนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับข้อมูลโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นหาดม่วงงามระยะทางประมาณ 2.6 กม. ที่มีมูลค่ารวม 226 ล้านบาท จะเห็นว่า ถ้านำเงินงบประมาณจากโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นเปลี่ยนมาเป็นวิธีปักไม้ชะลอคลื่น จะสามารถดำเนินโครงการต่อเนื่องได้ถึง 409 ปี

การจะเปรียบเทียบเพื่อหาคำตอบวิธีที่ดีสุดในมุมมองของนักวิชาการ ม.เกษตรศาสตร์ จึงมองว่าไม่ควรนำเรื่องปัจจัยความลำบากของหน่วยงานมาเป็นตัวตั้ง แต่ควรเอาผลลัพธ์ด้านความคุ้มค่าขอเงินภาษีประชาชนมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเป็นประเด็นหลักมากกว่า อีกทั้งเมื่อนำข้อเท็จจริงเรื่องวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change มาร่วมวิเคราะห์ จะเห็นชัดเจนว่า ทุกภัยพิบัติสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา มาตรการที่เหมาะสม ณ ช่วงเวลาหนึ่ง อาจไม่เหมาะสม เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง การสร้างโครงสร้างที่มีลักษณะคงทนถาวร จึงอาจไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาที่ตรงจุด

"ระยะนี้เริ่มเห็นการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมเกี่ยวกับเรื่องกำแพงกันคลื่นมากขึ้น ส่วนตัวเชื่อว่าการต่อสู้เรื่องนี้อาจต้องใช้เวลา แต่ก็รู้สึกดีใจเพราะหากมองย้อนหลังไปเมื่อ 10 ปีก่อนกระแสกำแพงกันคลื่นยังอยู่ในวงจำกัดแค่กลุ่มนักวิชาการเฉพาะด้าน แต่ปัจจุบันเริ่มพบว่าประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นนี้ได้แล้ว?."


https://dxc.thaipbs.or.th/news_updat...8%9c%e0%b8%a5/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:54


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger