เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #4  
เก่า 04-06-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


ภาวะคุกคามแนวปะการังที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์



"แนวปะการัง" ป่าผืนใหญ่ใต้ท้องทะเลที่กำลังถูกทำลายเพราะการกระทำของมนุษย์ ชวนตระหนักรู้ถึงความสำคัญของปะการัง ถิ่นที่อยู่ของสรรพสิ่งใต้มหาสมุทร
ทุกวันที่ 1 มิถุนายน เป็นวันแนวปะการังโลก (World Coral Reef Day) ที่ย้ำให้ทุกคนร่วมกันตระหนักถึงความสำคัญของปะการัง บ้านหลังใหญ่ของสรรพสิ่งใต้ทะเลที่กำลังถูกมนุษย์ทำร้าย


รู้จักปะการังให้มากขึ้น

"ปะการัง" เป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่ในทะเล ประกอบด้วยตัวปะการังซึ่งเรียกว่า "โพลิป" (polyp) สร้างหินปูนเป็นแกนแข็งเพื่อค้ำจุนตัวเองไว้ ส่วนใหญ่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มโคโลนีประกอบไปด้วยโพลิฟเดี่ยว ๆ จำนวนมาก เป็นกลุ่มที่สร้างแนวปะการังที่สำคัญพบในทะเลเขตร้อนที่สามารถดึงสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากน้ำทะเลมาสร้างเป็นโครงสร้างแข็งเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยได้ โดยโพลิฟจะสร้างโครงสร้างแข็งที่มีลักษณะเฉพาะของปะการังแต่ละชนิด

"แนวปะการัง" เป็นแนวหินปูนใต้ทะเลในระดับน้ำตื้นที่แสงแดดส่องถึง หินปูนดังกล่าวเป็นผลมาจากการเจริญเติบโตของปะการังหลายๆชนิด นอกจากนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกหลายชนิดที่มีส่วนเสริมสร้างหินปูนพอกพูนสะสมในแนวปะการัง เช่น สาหร่ายหินปูน หอยที่มีเปลือกแข็ง ฯลฯ ทั้งปะการังเองและสิ่งมีชีวิตที่สร้างหินปูนได้ เมื่อตายไปแล้วจะยังคงเหลือซากหินปูนทับถมพอกพูนต่อไป เนื่องจากแนวปะการังประกอบด้วยปะการังหลายชนิดและปะการังแต่ละชนิดมีลักษณะโครงสร้างแตกต่างกันไป

โครงสร้างของแนวปะการังมีลักษณะซับซ้อน เต็มไปด้วยซอกหลืบเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตสิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น ปลาชนิดต่าง ๆ กุ้ง หอย ดาวทะเล ปลิงทะเล ฟองน้ำ ปะการังอ่อน กัลปังหา หนอนทะเล สาหร่ายทะเล เป็นต้น ทำให้แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความซับซ้อน และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในทะเล เปรียบเสมือนป่าดิบชื้น ความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการังดึงดูดให้มีการใช้ประโยชน์จากแนวปะการังมากขึ้นทั้งโดยตรงและโดยทางอ้อม ทรัพยากรสัตว์น้ำนานาชนิดจากแนวปะการังถูกนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ และการท่องเที่ยวในแนวปะการังเป็นที่นิยมมากขึ้น


ความสำคัญต่อชีวิตต่อส่ิงมีชีวิต

แนวปะการังมีความสำคัญต่อชีวิตต่อส่ิงมีชีวิตในทะเลและมนุษย์ สายพันธุ์ทางทะเลกว่า 25% พึ่งแนวปะการังในการอยู่อาศัย เพาะพันธุ์วางไข่ และเป็นแหล่งอาหาร เป็นแหล่งที่ปกป้องชายฝั่งจากคลื่นกัดเซาะ เป็นแหล่งประมงอาหารสำหรับมนุษย์ สร้างทรายให้กับชายหาด และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในด้านการผลิตยารักษาโรคอีกด้วย ปะการังเป็นระบบนิเวศที่ไวต่อสิ่งต่างๆ ในช่วงปัจจุบันนี้ปะการังเผชิญปัญหาการฟอกขาว และได้รับความเสียหาย ลดลงอย่างมาก จากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง มลพิษ และความเป็นกรดของน้ำทะเล ครีมกันแดดที่มีสารเคมีอันตรายต่อปะการัง การประมงเกินขนาด และการท่องเที่ยวอย่างไม่มีการจัดการที่ดี ล้วนส่งผลต่อปะการัง ซึ่งถ้าหากปะการังฟอกขา หรือถูกทำลายมหาสมุทรจะสูญเสียระบบนิเวศไปด้วย


ปัจจัยที่เกิดจากมนุษย์ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อแนวปะการังในท้องทะเลไทย

1. การพัฒนาชายฝั่ง เช่น การก่อสร้างที่มีการเปิดหน้าดิน ขุดลอกพื้นที่ชายฝั่ง เพื่อกิจการต่างๆ เช่น ทำถนน ก่อสร้างอาคาร ฯลฯ มีหลายแห่งที่ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องตะกอนถูกชะลงสู่ทะเลในช่วงฤดูฝน หลายแห่งยังมีการจัดการป้องกันไม่ให้ตะกอนถูกพัดพาลงสู่ทะเลไม่ดีพอ เช่น บริเวณอ่าวต่างๆ รอบเกาะภูเก็ต และเกาะสมุย เป็นต้น

2. การปล่อยน้ำเสียลงทะเล เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น อ่าวป่าตองที่จังหวัดภูเก็ตมีชุมชนขนาดใหญ่และขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีระบบบำบัดน้ำเสียรวมสำหรับชุมชน แต่ในปัจจุบันยังไม่สามารถรองรับน้ำเสียทั้งหมดได้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแนวปะการังในจุดที่เห็นได้ชัด คือ บริเวณตอนในของอ่าวป่าตอง พบว่า แนวปะการังตรงจุดนั้นเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ปัญหาที่อาจพบในบางท้องที่เรื่องการลักลอบปล่อยน้ำเสียลงสู่ทะเลก็ยังพบอยู่ เช่น กรณีการลักลอบปล่อยน้ำเสียจากโรงแรมขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่ามีระเบียบข้อบังคับให้โรงแรมที่มีขนาดใหญ่ (จำนวนห้องเกินกว่า 80 ห้องขึ้นไป) ต้องมีระบบบำบัด น้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่ทะเล แต่ยังคงมีการลักลอบปล่อยน้ำเสียโดยไม่ผ่านการบำบัดลงสู่ทะเล

3. การขุดแร่ในทะเล พื้นที่เขตจังหวัดภูเก็ตและพังงาเป็นแหล่งแร่ดีบุกที่สำคัญของประเทศ มีการทำเหมืองแร่ดีบุกทั้งบนฝั่งและในทะเลมาช้านาน มีคำถามว่าการขุดแร่ในทะเลทำให้แนวปะการังเสียหายอย่างไร? อันที่จริงแล้ว การขุดแร่ในทะเลนั้นมิได้ขุดลงบนแนวปะการังโดยตรง แต่เป็นการขุดบนพื้นทะเลนอกแนวปะการังออกไป ปัญหาจึงอาจเกิดขึ้นหากการขุดแร่นั้นอยู่ใกล้แนวปะการัง เนื่องจากเกิดการฟุ้งกระจายของตะกอนที่เกิดจากการขุดพื้นท้องทะเลและล้างแยกแร่ในเรือขุด ซึ่งมีการปล่อยน้ำล้างแร่ลงทะเลโดยตรง ตะกอนที่ฟุ้งกระจายในมวลน้ำอาจแพร่กระจายไปปกคลุมบนแนวปะการังที่อยู่ใกล้เคียง นอกจากปัญหาเรื่องตะกอนแล้ว การขุดแร่ในทะเลอาจทำให้สภาพความลาดชันของพื้นดินใต้ทะเลเปลี่ยนแปลงไปด้วย หากมีการขุดใกล้หาด อาจทำให้ชายหาดทรุดตัวลงได้ ดังที่ปรากฏที่หาดในอ่าวบางเทา จังหวัดภูเก็ต ซึ่งชาวบ้านเรียกขานแหล่งนั้นว่า ?เลพัง?จากที่เคยมีการทดลองในห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับตะกอนที่มีผลต่อปะการัง ได้ผลสอดคล้องกับผลที่พบในธรรมชาติ กล่าวคือปะการังตายมากขึ้นเมื่อมีอัตราการตกตะกอนสูง ตะกอนที่ทับถมปะการังมีผลโดยตรงต่อการหายใจของปะการัง ซึ่งเป็นผลให้ปะการังตายในที่สุด ผลกระทบนี้เป็นผลกระทบทางด้านกายภาพโดยตรง พบว่าปะการังแต่ละชนิดมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อตะกอนแตกต่างกัน ปะการังโขด (Porites lutea) เมื่อถูกตะกอนตกทับถมจะยังคงมีชีวิตได้ระยะหนึ่ง โดยขึ้นอยู่กับปริมาณตะกอนที่ปกคลุม ปะการังจะสร้างเมือกแผ่นบางๆ ออกมา ซึ่งแผ่นเมือกนี้จะจับตะกอนไว้ กระแสน้ำและคลื่นจะช่วยพัดพาลอกเอาแผ่นเมือกออกไป ปะการังก็จะเจริญเติบโตต่อไปได้ แต่ในสถานการณ์ที่มีตะกอนมากเกินไป ปะการังไม่สามารถทนได้ ในที่สุดตัวปะการังอาจจะตายไป เพราะขาดอาหารและออกซิเจน ปริมาณตะกอนที่ปกคลุมบนปะการังมักมีชั้นหนาไม่เท่ากัน กล่าวคือ ด้านข้างของหัว เป็นส่วนที่ตะกอนปกคลุมได้น้อย ส่วนด้านบนของหัว (โดยเฉพาะส่วนที่เว้าลงไป) เป็นส่วนที่ตะกอนตกทับถมและสะสมได้ง่าย ส่วนที่ถูกตะกอนทับถมมักจะตายไป ซึ่งต่อมาถ้าหากมีกระแสน้ำหรือคลื่นพัดพาตะกอนออกไป เนื้อเยื่อปะการังส่วนที่อยู่ด้านข้างที่ยังมีชีวิตก็สามารถแตกหน่อแบ่งตัวขยายออกไป ปกคลุมพื้นผิวที่เนื้อเยื่อตายไปแล้วได้ ทำให้เกิดการฟื้นตัวได้ ดังที่พบที่อ่าวกมลาในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งพบว่าปะการังบางส่วนมีการฟื้นตัวหลังจากตะกอนถูกคลื่นทะเลพัดพาออกไปในช่วงฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ ได้ใช้ปะการัง 4 ชนิดในการทดลอง ได้แก่ ปะการังโขด (Porites lutea) ปะการังกิ่งช่องเล็ก (Montipora digitata) ปะการังเขากวาง (Acropora / ormosa) และปะการังดอกกะหล่ำ (Pocillopora damicornis) พบว่าปะการัง 2 ชนิดแรกทนทานต่อตะกอนได้มากกว่า 2 ชนิดหลัง

4. การทิ้งขยะลงทะเล ขยะที่เป็นปัญหาใหญ่ต่อแนวปะการัง คือ เศษอวน เกือบทุกท้องที่มักพบเศษอวนปกคลุมอยู่บนปะการัง อวนที่พบมีหลายประเภทและหลายขนาด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาทั้งสิ้น อวนที่ปกคลุมปะการังจะทำให้ปะการังตายไป เพราะปะการังไม่สามารถรับแสงแดดได้ และสาหร่ายที่มีลักษณะเหมือนตะไคร่น้ำขึ้นปกคลุมอวนอีกทีหนึ่ง สาหร่ายเหล่านั้นจับตะกอนในมวลน้ำไว้ ทำให้ปะการังตายเร็วขึ้น แหล่งที่มาของเศษอวนเกิดขึ้นได้หลายทาง เช่น 1) อาจเกิดจากชาวประมงซ่อมแซมอวนและตัดเศษอวนที่ไม่ใช้ทิ้งลงทะเล 2) ชาวประมงวางอวนถ่วงตามแนวปะการัง เมื่ออวนขาดและพันกับปะการัง ก็ไม่ได้เก็บขึ้นมา 3) อวนจากเรืออวนล้อมหรือเรืออวนลากขาด ถูกพัดพาไปตามกระแสน้ำ และตกค้างบนแนวปะการัง 4) การลากอวนใกล้ชายฝั่งตามเกาะต่างๆ อาจทำให้อวนติดพันตามกองหิน ทำให้อวนขาดและตกค้างอยู่ในแนวปะการัง อนึ่ง การลากอวนบนแนวปะการัง ตามที่มีการกล่าวถึงกันเสมอนั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะชาวประมงไม่เสี่ยงที่จะให้อวนติดพันกับปะการังซึ่งจะทำให้อวนเสียหายด้วย อีกประการหนึ่งปลาส่วนใหญ่ที่พบในแนวปะการังไม่ใช่ฝูงปลาเศรษฐกิจที่ใช้บริโภค ส่วนใหญ่เป็นปลาสวยงาม ส่วนปลาเศรษฐกิจที่พบ เช่น ปลากะรัง ปลาสร้อยนกเขา ฯลฯ มักหลบอยู่ตามซอกปะการัง และไม่ได้อยู่แบบรวมฝูง ส่วนที่มีการกล่าวกันว่าลากอวนในแนวปะการังนั้น แท้ที่จริง น่าจะเป็นพื้นทรายที่มีกองหินปะปนอยู่ซึ่งบางแห่งอาจมีปะการังขึ้นคลุมหินอยู่อย่างประปราย ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐและประชาชนได้ตระหนักถึงปัญหาเรื่องขยะในทะเลมากขึ้นในท้องที่หลายแห่งได้จัดกิจกรรมการเก็บขยะในทะเลเป็นประจำทุกปี เช่น บริเวณหาดป่าตองและเกาะเฮในจังหวัดภูเก็ต บริเวณเกาะกระดาน เกาะมุก เกาะแหวน และเกาะม้า หินแดง หินม่วง ในจังหวัดตรัง และเกาะพีพี ในจังหวัดกระบี่ เป็นต้น

5. การระเบิดปลาในแนวปะการัง ตามกองหินใต้น้ำที่มีปะการังขึ้นเป็นหย่อมๆ มักพบปลาที่อยู่รวมกันเป็นฝูงอยู่ที่ระดับกลางน้ำจนถึงผิวน้ำ เช่น ปลากล้วยญี่ปุ่น ปลากะพงข้างปาน และปลาโมง เป็นต้น ฝูงปลาเหล่านี้เป็นสิ่งล่อใจให้เกิดการทำประมงอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การระเบิดปลา เป็นที่ทราบกันดีว่าการระเบิดปลาเป็นการทำลายปะการังอย่างรุนแรง เพราะแรงระเบิดนอกจากจะเป็นการฆ่าปลาตามเป้าหมายแล้ว ปะการังยังแตกหักเสียหาย ยากต่อการฟื้นตัว ในอดีตการระเบิดปลาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปตามเกาะต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลจากชุมชน เช่น หมู่เกาะอาดังราวี ในจังหวัดสตูล เกาะกระดาน และเกาะไหง ในจังหวัดตรัง ฯลฯ แต่การระเบิดปลาในแนวปะการังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นน้อยมากในปัจจุบัน เนื่องจากในปัจจุบันมีการท่องเที่ยวทางทะเลมากขึ้น ทำให้การลักลอบระเบิดปลาทำได้ยากขึ้น เพราะประชาชนและนักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแลมากขึ้น

6. การใช้ยาเบื่อปลาในแนวปะการัง จุดประสงค์หลักในการใช้ยาเบื่อ เช่น ไซยาไนด์ ก็เพื่อจับสัตว์น้ำบางประเภท เช่นปลาสวยงามและกุ้งมังกรที่หลบซ่อนอยู่ตามซอกโพรงปะการัง โดยใช้ปริมาณสารเคมีที่ไม่รุนแรงถึงกับทำให้สัตว์น้ำที่ต้องการนั้นตาย แต่อยู่ในสภาพมึนงง จนถูกต้อนเข้าสวิงได้ สารพิษยังคงสะสมอยู่ในตัวสัตว์น้ำ ทำให้อยู่ในสภาพอ่อนแอและมีชีวิตสั้นลง ปะการังเองก็จะได้รับผลกระทบจากสารเคมีด้วย แต่ยังไม่มีการศึกษากันอย่างจริงจังว่าผลกระทบที่เกิดกับปะการังรุนแรงมากน้อยเพียงไร ปัจจุบันยังพบว่าชาวประมงในบางพื้นที่ลักลอบใช้ไซยาไนด์ในการจับปลาและกุ้งมังกร

7. การลักลอบเก็บปะการัง ปะการังที่มีชีวิตมักมีสีสีสันสวยงาม จึงมักนิยมใช้ประดับตู้ปลา ซากหินปะการังก็เช่นกัน มักถูกนำมาจัดตามตู้โชว์ แต่ในปัจจุบันนี้ปะการังเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง (ประเภทสัตว์น้ำ) ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 โดยห้ามมิให้บุคคลใดครอบครองปะการัง อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีการกระทำผิดในกรณีนี้อยู่บ้าง


(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:04


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger