เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #4  
เก่า 17-06-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


โครงการนำร่อง Rigs-to-Reefs ครั้งแรกของเมืองไทย "พลิกบทบาทขาแท่นปิโตรเลียม" สู่บ้านปลาหลังใหม่ใต้ทะเล



หากผืนป่าเปรียบเสมือนศูนย์กลางของระบบนิเวศบนผืนดิน ปะการังก็เรียกได้ว่าเป็นระบบนิเวศที่มีค่าที่สุดในผืนน้ำเสมือน "ผืนป่าแห่งท้องทะเล" โดยแม้จะครอบคลุมเพียง 0.1% ของพื้นมหาสมุทร แต่กลับเป็นบ้านของสัตว์ทะเลราวหนึ่งในสี่ และมีส่วนช่วยรักษาสภาพสมดุลธรรมชาติของชายฝั่ง

อย่างไรก็ตาม ผลจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาวซึ่งนำไปสู่วิกฤตการณ์เงียบใต้ทะเลขึ้น เมื่อบ้านปลาในธรรมชาติลดน้อยลงไปได้สร้างผลกระทบเป็นห่วงโซ่ โดยประชากรกว่า 500 ล้านคนทั่วโลกต่างอาศัยแนวปะการังเป็นแหล่งอาหารและรายได้หลัก ทั้งหล่อเลี้ยงชาวประมงจากรุ่นสู่รุ่นและการท่องเที่ยว

แนวคิดการสร้างแหล่งปะการังเทียมเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรใต้ท้องทะเลจึงได้ริเริ่มขึ้น โดยประเทศไทยได้เริ่มศึกษาพัฒนาแหล่งปะการังเทียมมากกว่า 20 ปีจากวัสดุที่หลากหลาย ซึ่งหนึ่งในนวัตกรรม "สร้างบ้านปลา" ที่โดดเด่น และเห็นผลสำเร็จอย่างเป็นที่ประจักษ์คือ โครงการนำร่องการใช้ขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมเพื่อการจัดวางเป็นปะการังเทียม (Rigs-to-Reefs) บริเวณเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครั้งแรกของประเทศไทย


เปิดผลสำเร็จ 2 ปี เส้นทางขาแท่นหลุมปิโตรเลียม สู่ชีวิตใหม่ใต้ท้องทะเล

แม้การนำขาแท่นหลุมปิโตรเลียมมาจัดวางเป็นปะการังเทียมจะไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นมาแล้วกว่า 40 ปี รวมถึงประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนอกชายฝั่งฟลอริด้า อ่าวเม็กซิโก บรูไน และมาเลเซีย แต่โครงการดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้นำองค์ความรู้จากต่างประเทศมาพัฒนาและปฏิบัติจริง ผ่านความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด บริษัทพลังงานชั้นนำของโลก ได้บุกเบิกแนวคิดของโครงการฯ และร่วมมือกับสถาบันปิโตรเลียมและผู้ประกอบการปิโตรเลียมรายอื่นๆ ในอ่าวไทย ผ่านการนำโครงสร้างเหล็กจำลองวัสดุเดียวกับขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมไปวางไว้ในพื้นที่อ่าวโฉลกหลำของเกาะพะงัน เพื่อผลักดันให้เกิดโครงการศึกษาทดลองอย่างจริงจังร่วมกัน โดยได้ผลประจักษ์ของประชากรปลาและสิ่งมีชีวิตเกาะติดที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนกระทั่งได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินงานจริง

ทั้ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมเจ้าท่า กรมประมง กองทัพเรือ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จึงเกิดเป็นโครงการ นำร่องการใช้ขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมจำนวน 7 ขาแท่น ไปจัดวางเป็นปะการังเทียมเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล บริเวณเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (โครงการนำร่องฯ) โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลโครงการฯ ร่วมกับ เชฟรอน ผู้ส่งมอบขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมที่ไม่ใช้งานแล้วจำนวน 7 ขาแท่น ให้แก่ ทช. ในปี 2563 เพื่อนำไปจัดวางเป็นปะการังเทียม รวมทั้งให้การสนับสนุนในการจัดวางและงบประมาณการดำเนินโครงการฯ พร้อมด้วยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จุฬาฯ) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการศึกษาทางวิชาการให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาการของทั้งในและต่างประเทศ จนนำมาสู่ผลสำเร็จจากการจัดวางขาแท่นปิโตรเลียมตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี ในวันนี้

"จุดเริ่มต้นของโครงการเกิดจากคำถามที่ว่า ทำอย่างไรให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากขาแท่นผลิตปิโตรเลียมที่ไม่ใช้งานแล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุดแทนการนำไปจัดการบนฝั่ง? นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เล่าถึงที่มาของโครงการนำร่องฯ ว่า ?อ่าวไทยเปรียบเสมือนบ้านของเรา โดยตลอดกว่า 60 ปีของการดำเนินธุรกิจของเชฟรอนในประเทศไทย เราให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และได้วัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลมาตลอด เราสังเกตถึงความอุดมสมบูรณ์และการเติบโตของประชากรปลาในบริเวณ แท่นผลิตปิโตรเลียม โดยมีปลาหลากหลายชนิด รวมถึงฉลามวาฬเข้ามาแวะเวียนเสมอ โดยนอกจากบทบาทขณะที่อยู่กลางอ่าวไทยในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศแล้ว ขาแท่นหลุมปิโตรเลียมยังมีอีกหนึ่งบทบาทแฝงซึ่งทำหน้าที่เสมือนปะการังเทียมอยู่ตลอด จึงเกิดแนวคิดต่อยอดการใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพูนทรัพยากรทางทะเลรวมถึงประชากรปลาผ่านการพลิกบทบาทจากปลายทางของขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมที่ไม่ใช้งานแล้วสู่บ้านปลาแห่งใหม่ โดยแม้จะเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย แต่ในฐานะบริษัทพลังงานที่มีกิจการทั่วโลก เราจึงสามารถนำโครงการ Rigs-to-Reefs ที่เชฟรอนเคยทำจากต่างประเทศมาปรับใช้สำหรับโครงการนี้เพื่อศึกษาความเป็นไปได้การต่อยอดโครงการในประเทศไทย"

จากทฤษฎีหลักการทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมีสิ่งของที่ใหญ่พอสมควรและอยู่นิ่งลงไปวาง แนวโน้มคือมีสิ่งมีชีวิตมาเกาะติด พร้อมสัตว์ทะเลเข้ามาอาศัยอยู่ โดยขาแท่นหลุ่มปิโตรเลียมที่นำไปจัดวางเป็นปะการังเทียมนั้นอยู่กับทะเลมายาวนานกว่า 30 ปี และเรียกได้ว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของท้องทะเลไปเสียแล้ว โดยจากลักษณะที่ซับซ้อน และวัสดุที่ทำจากเหล็กกล้าและมีพื้นที่ผิวแข็ง ทำให้มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเป็นที่อยู่อาศัยและที่หลบภัยของสัตว์ทะเลเป็นอย่างดี โดยมีการวางแผนงานและนำกระบวนการจัดการให้เป็นไปตามมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในโครงการ ซึ่งส่วนของขาแท่นดังกล่าวไม่เคยสัมผัสกับปิโตรเลียมมาก่อน และเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


ฟื้นฟูอ่าวโฉลกหลำกับความหวังใหม่ของธรรมชาติและชุมชน

โครงการดังกล่าวได้จุดประกายความหวังให้แก่ทุกชีวิตในพื้นที่อ่าวโฉลกหลำ ด้วยความคาดหวังที่จะเห็นความ อุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเพื่อหล่อเลี้ยงผู้คนในชุมชนและเป็นบ้านใหม่ให้สัตว์ทะเลนานาชนิด โดยหลังจากจัดวางแท่นปะการังเทียมเป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 จนถึงเดือนตุลาคม 2565 เรียกได้ว่าความคาดหวังดังกล่าวเริ่มกลายเป็นความจริง โดยอ่าวโฉลกหลำบริเวณทางเหนือของเกาะพะงัน ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของโครงการนำร่อง เนื่องจากมีกายภาพที่เหมาะสม ทั้งความอุดมสมบูรณ์สำหรับสัตว์ทะเล ไปจนถึงเส้นทางที่เหมาะสมต่อการขนย้าย และสามารถเอื้อประโยชน์ต่อชุมชนในพื้นที่

รศ.ดร. ศุภิชัย ตั้งใจตรง กรรมการผู้อำนวยการ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ถึงความสำเร็จของโครงการฯ ว่า "จากการศึกษาติดตามอย่างใกล้ชิดพบว่าผลสำเร็จของโครงการฯ ออกมาในเชิงบวกทั้งมิติของธรรมชาติ และมิติของมนุษย์ โดยเราพบว่าคุณภาพน้ำทะเลและคุณภาพตะกอนพื้นท้องทะเลในบริเวณกองปะการังเทียมอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม และพบแพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด ส่งผลให้ความหลากหลายของปลาเพิ่มขึ้นจาก 15 ชนิด เป็น 36 ชนิด ซึ่งแม้ความหนาแน่นของประชากรปลาในบริเวณกองปะการังเทียมจะยังไม่เทียบเท่าแนวปะการังธรรมชาติ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือมวลชีวภาพของปลาในด้านขนาดและน้ำหนักจะมีมากกว่า โดยปลาที่สำรวจพบส่วนใหญ่เป็นปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ปลาหางแข็ง ปลากล้วย ปลาข้างเหลือง และยังพบปลาที่เคยหายไปจากพื้นที่ได้กลับเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ปะการังเทียม นอกจากนี้เรายังพบการปกคลุมของสิ่งมีชีวิตเกาะติด โดยมีปะการังดำเป็นกลุ่มเด่นอีกด้วย แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของปะการังเทียมจากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมจะกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งอนุบาลของสัตว์น้ำที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าแนวปะการังธรรมชาติ รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเป็นแหล่งประมงที่สำคัญของชาวประมงในพื้นที่ในอนาคต"

ทางด้านชาวบ้านในชุมชน ต่างมีเสียงตอบรับในเชิงบวก เนื่องจากโครงการดังกล่าวเปรียบเสมือนความหวังในการ หล่อเลี้ยงอาชีพของคนในชุมชนทั้งในด้านการประมงและการท่องเที่ยวในอนาคต โดยนายพี พัฒนศิริ หรือพี่จาว เจ้าของร้าน Sunset Walk ตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่เกาะพะงันกล่าวว่า ?การมีบ้านปลาเพิ่มมากขึ้นถือเป็นความฝันของชาวเกาะมาตั้งแต่ได้ยินโครงการนี้ครั้งแรก เมื่อก่อนที่บริเวณอ่าวเราก็ใช้วิธีสร้างปะการังเทียมเช่นเดียวกันแต่เป็นแท่งปูนบ้าง แท่งสี่เหลี่ยมบ้าง แต่พอเป็นโครงการ Rigs-to-Reefs นั้น ต่างจากบ้านปลาหลังเล็กๆ ที่เราเคยเอาไปวางกันเอง เพราะการเอาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียม 7 แท่นไปวางเรียกได้ว่ากลายเป็นอาณาจักรปลาได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าปลาหลายชนิดจะต้องแวะไปที่นั่นตั้งแต่นักล่าไปจนถึงผู้อยู่อาศัยและปลาสวยงาม แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ครั้งแรกที่ได้มีโอกาสไปเห็นก็คิดว่าเป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่มากและก็เป็นเรื่องที่ส่งผลประโยชน์ให้ชุมชนได้ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแต่การจัดสรรการใช้ประโยชน์ให้เกิดผลสูงสุดทั้งกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม?

"เราเห็นความแตกต่างระหว่างก่อนมีแท่นกับหลังทำโครงการฯ ซึ่งจากอาชีพหลักของเราที่เป็นชาวประมงอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริง ทำให้เราไม่ต้องออกไปจับปลาไกลเกินไป และมีกลุ่มปลาเศรษฐกิจอยู่เยอะขึ้น ซึ่งปลาบางชนิดที่แต่ก่อนไม่เคยมีมาก็เริ่มมีเข้ามามากขึ้น" นายคำนึง สิงหนาท หรือพี่ยุ่ง ชาวประมงในพื้นที่อ่าวโฉลกหลำกล่าวเสริม


ถอดบทเรียน Rigs to Reefs แห่งแรกในไทย สู่องค์ความรู้ใหม่ของประเทศ

นอกจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวแล้ว แต่การรับฟังเสียงของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ถือเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินการในทุกย่างก้าว โดยนายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดี กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวถึงการกำกับดูแลของภาครัฐว่า "เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศให้สมบูรณ์และสำรวจโครงการฯ อย่างแม่นยำสำหรับการนำองค์ความรู้ไปต่อยอดในอนาคต ทำให้เราจำเป็นต้องออกมาตรการให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่คุ้มครองก่อนในช่วง 1-2 ปีแรก หลังจากนั้นเรามีแผนที่จะเปิดให้พื้นที่ส่วนนี้สามารถทำประมงโดยใช้เครื่องมือที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น คันเบ็ด รวมถึงเปิดให้เป็นจุดดำน้ำสำคัญแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งเรามองว่ามีความสวยงามทัดเทียมกับจุดดำน้ำที่เกิดจากธรรมชาติ โดยหากผลสำรวจและเก็บข้อมูล รวมถึงงานวิจัยที่ได้รับการรับรองจากทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชี้ว่าเป็นที่น่าพอใจ และให้ประโยชน์มากกว่าให้โทษ ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งก็จะตั้งเป้าแผนงานในการต่อยอดในพื้นที่อื่นต่อไป"

จากจุดเริ่มต้นของโครงการนำร่อง Rigs-to-Reefs ที่ได้ศึกษาแนวทางตลอดกว่าทศวรรษจากความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ ทำให้วันนี้เราได้เห็นความสำเร็จแรกในประเทศไทยในการพลิกบทบาทขาแท่นหลุม ผลิตปิโตรเลียมสู่บ้านปลาหลังใหม่ใต้ท้องทะเล โดยมากกว่าผลสำเร็จของโครงการ คือ "ความหวังใหม่" ของประเทศไทยในการคืนชีวิตให้ผืนป่าแห่งท้องทะเลสีครามอีกครั้ง ดังเช่นที่ได้รับขนานนามว่าเป็นทะเลมรดกของโลก โดยโครงการดังกล่าว ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการอนุรักษ์ผืนน้ำซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของทุกชีวิตผ่านนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของโลกนี้ให้สวยงามสมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่อไป


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9660000054954

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:30


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger